บทที่ 1
อู๋ไฉ่หงนักแสดงสาวมากความสามารถที่กำลังขึ้นเทรนเป็นที่สนใจอยู่ในอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ เพราะเธอกำลังจะเล่นบทตัวร้ายเป็นครั้งแรก
หญิงสาวที่รอเข้าฉากกำลังส่องกระจกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเมกอัปบนหน้าของเธอก่อนจะชี้บอกผู้ช่วยจะให้ซับเหงื่อให้หน่อย
“ตรงนี้เหงื่อซึมแล้ว” และเพียงแค่อู๋ไฉ่หงเอ่ยปาก ทีมงานส่วนตัวของหญิงสาวก็รีบเข้ามาประชิดตัวทันที คนหนึ่งซับเหงื่อ อีกคนตรวจดูเมกอัปและแตะซับแป้งเพิ่ม
ผู้กำกับเดินมาหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รถสปอร์ตสีแดงสดที่ตอนนี้บรรดาช่างเทคนิคกำลังติดตั้งกล้องและอุปกรณ์เซฟตี้ต่าง ๆ ให้กับตัวรถที่ใช้ประกอบฉากอยู่
“ฉากนี้สำคัญมาก ฉันอยากให้เธอแสดงอารมณ์ออกมาให้หมด เหมือนพระเอกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตขาดเขาไปเธอจะอยู่ต่อไปไม่ไหว ต่อให้ต้องเอาชีวิตของตัวเองมาแลกเธอก็ทำได้ อะไรแบบนั้น”
ผู้กำกับอธิบายความรู้สึกตัวละครที่อู๋ไฉ่หงต้องแสดงออกมา
อู๋ไฉ่หงพยักหน้า เธอรู้ดีที่ผู้กำกับเดินมาหาถึงที่เพราะฉากนี้สำคัญมากและมันก็ไม่ควรถ่ายซ้ำ หรือถ่ายซ่อมเพราะจะต้องใช้เอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ เพื่อให้ภาพที่ออกมาดูสมจริงที่สุด
“เธอไม่ต้องเหยียบคันเร่งแรงนักนะ เดี๋ยวฉันใช้มุมภาพช่วยเอา แต่ไปเน้นตอนหักพวกมาลัย เอาให้ตัวโยกเลย แต่ถ้าไม่โยกช่วงนั้นก็อาจจะต้องแกล้งทำตัวโยกไปมาเหมือนรถเสียหลักหน่อย” คำของผู้กับกำอู๋ไฉ่หงเข้าใจทั้งหมด
“ได้ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ทำเหมือนเรื่องที่ฉันแสดงเป็นตำรวจใช่ไหม”
เพราะผู้กำกับคนนี้เคยร่วมงานด้วยกันมาแล้วหลายเรื่องจึงดูสนิทกันดี
“ใช่ ๆ แบบนั้นเลย ฉันต้องการภาพที่สมจริง แต่ก็ไม่อยากถ่ายหลายครั้ง ไปเตรียมตัวเถอะ”
ผู้กำกับวัยกลางคนบอกกับนางร้ายของเรื่อง เมื่อเห็นว่าทีมช่างของเขาถอยออกจากรถคันหรูแล้ว
“ไม่ต้องกังวลเรื่องฉากก่อนหน้าที่เธอจะคุยกับพระเอกนะ เราถ่ายฉากนี้ก่อนแล้วเดี๋ยวไปถ่ายเจาะฉากนั้นเอา”
ผู้กำกับบอกหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปประจำที่และส่งสัญญาณให้บรรดาทีมงานรับรู้ว่ากำลังจะเริ่มถ่ายจริง
ผู้ช่วยผู้กำกับบอกขั้นตอนก่อนที่จะเริ่มบอกสัญญาณถ่ายจริง
ทันทีที่อู๋ไฉ่หงได้ยินเสียงจากวิทยุที่ซ่อนอยู่ในรถเธอก็เริ่มเหยียบคันเร่งให้รถขับออกไป หญิงสาวเอ่ยต่อว่าตัดพ้อพระเอกระหว่างที่ขับรถไปด้วยซึ่งเธอก็พูดตามบทได้เป๊ะเป๊ะ จนผู้กำกับที่มองมอนิเตอร์ยิ้มอย่างพอใจ
“ดีมากเหลืออีกนิดเดียว ตรงโค้งด้านหน้าเธอหักเข้าอีกด้านแบบเร็ว ๆ หน่อย”
ที่จริงตอนแรกฉากนี้จะใช้CGแต่อู๋ไฉ่หงกับผู้กำกับเป็นคนประเภทเดียวกัน จึงถ่ายจริงแต่ลดความเร็วลงเท่านั้น
อู๋ไฉ่หงได้ยินอย่างนั้น ก็พูดบทท่อนสุดท้ายที่เธอจะต้องพูดออกมาก่อนที่จะรถจะถึงจุดที่เธอจะต้องหักพวงมาลัยอย่างเร็วเพื่อให้กล้องจับภาพเอาไว้
“ฉันก็อยากรู้นักว่าครั้งนี้คุณจะเลือกฉันหรือมัน” พูดจบหญิงสาวก็แสดงท่าตกใจที่ก้มลงปาดน้ำตาจนไม่เห็นทางก่อนจะหักพวงมาลัยอย่างเร็วตามมา ซึ่งที่จริงเธอขับไม่เร็วเลยสักนิด ไม่ถึง 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
เสียงเครื่องยนต์คำรามเบา ๆ ขณะที่อู๋ไฉ่หงนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เธอพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นและเครียดจากการต้องถ่ายทำฉากสำคัญ ฉากนี้เธอต้องแสดงเป็นนางร้ายที่พยายามเรียกร้องความรักจากพระเอก ด้วยการดึงพวงมาลัยรถไปทางข้างทางขณะรถวิ่งอยู่ แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องออกแรงหักพวงมาลัย รถกลับเสียหลักพุ่งลงข้างทางอย่างรุนแรง ร่างของอู๋ไฉ่หงที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับกระจกหน้าอย่างแรง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะมืดมิดลง
แต่ดูเหมือนตอนที่หญิงสาวหักพวงมาลัยจะรุนแรงไปนิดทำให้รถหมุนและเท้าของเธอก็เผลอเหยียบคันเร่ง ตอนนี้สองมือของอู๋ไฉ่หงจึงต้องยื้อพวงมาลัยเอาไว้ สุดกำลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเมื่อรถหรูคันสวยไถลลื่นออกจากถนนตกไปที่ไหล่ทาง
หญิงสาวที่ไม่ได้คาดเข็มขัด ถลาไปกระแทกกระจกเต็มแรงก่อนจะหลุดออกจากตัวรถไป และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เธอจำได้
อู๋ไฉ่หงรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวคิดว่าเธอน่าจะหมดสติไปหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ความรู้สึกเจ็บปวดแทรกซึมผ่านร่างกาย เมื่อเธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เสียงดังอื้ออึงในหัวและความรู้สึกปวดหัวรุนแรงทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ อู๋ไฉ่หงพยายามรวบรวมสติ จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เพียงคร่าว ๆ เธอคิดว่าตัวเองคงจะถูกส่งตัวมาพักฟื้นในรถของดารา หัวของเธอปวดจนแทบจะระเบิด จึงพยายามมองไปรอบ ๆ เพราะคิดว่าตนเองอาจจะถูกพามานอนที่รถบ้านของเธอที่กองละคร หรือไม่ก็อยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็ปวดหัวเกินกว่าจะลืมตา จึงเอ่ยเรียกผู้จัดการหรือคนเฝ้าของเธอ
เธอพยายามจะเรียกผู้จัดการหรือทีมงานของเธอเพื่อขอน้ำหรือยาแก้ปวด (ใครก็ได้...เอาน้ำมาให้ฉันหน่อย) อู๋ไฉ่หงพยายามส่งเสียงออกมา แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นเสียงเล็ก ๆ แปลกประหลาดที่ออกมาจากปากของเธอ
“คา ค่า นำ นำ อุ๊ อา บู้ บาบา”
หญิงสาวสงสัยและเปิดตาขึ้นมาดูทุกอย่างให้ชัดอีกครั้ง เธอไม่ได้อยู่ในรถบ้าน แล้วก็ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลด้วย แต่ตอนนี้สถานที่ที่เธออยู่เหมือนกับบ้านของคนมากกว่า
อู๋ไฉ่หงรู้สึกงุนงงจึงเริ่มเปล่งเสียงอีกครั้งแต่ก็เป็นแบบเดิม เธอขมวดคิ้วด้วยความสับสน เสียงที่ออกมามันไม่ใช่เสียงของเธอ มันเหมือนเสียงทารกมากกว่า เธอพยายามพูดอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม
“แอร๊ะ แอออ เออ อา อุก บู้ บู”
ทุกคำที่เธอพยายามพูดออกไปมากมายกลับกลายเป็นเสียงเด็กเล่นน้ำลายไปได้
หญิงสาวยกมือของตัวเองขึ้นมาดูแต่ก็ต้องตกใจเมื่อมันเป็นมือเล็ก ๆ สั้น ๆ ที่ใส่ถุงมือกลม ๆ เอาไว้
(นี่มันอะไรเนี่ย)
ในจังหวะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้ ก่อนที่ร่างหนึ่งจะเข้ามายืนอยู่เหนือเธอ ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นฉายแววรักใคร่และอ่อนโยน ขณะที่เธอค่อย ๆ โอบอุ้มอู๋ไฉ่หงขึ้นมาอย่างเบามือ อู๋ไฉ่หงกำลังคิดทบทวนแต่ก็มีคนแปลกหน้าวิ่งมาอุ้มเธอขึ้นจากเปล
“ตื่นแล้วหรือจ๊ะ หงหง” เสียงหวานละมุนดังขึ้นข้างหู แต่เมื่อได้ยินชื่อที่หญิงสาวเรียก อู๋ไฉ่หงกลับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
(หงหง) เธอคิดในใจ (นี่มันอะไรเนี่ย)
หญิงสาวที่ตอนนี้ใช้ร่างของเด็กทารกขืนตัวออกจากคนที่เข้ามาอุ้มร่างของเธอขึ้น
“เป็นอะไรเจ้าซาลาเปาน้อยของแม่”
คำนั้นบอกชัดว่านี่คงเป็นแม่ของเธอ ว่าแต่แล้วเธอเป็นใครกันล่ะ ที่สำคัญที่นี่มันที่ไหน เธอคงไม่ได้นอนสลบอยู่ที่รถบ้านที่กองละคร หรือหากอุบัติเหตุมันร้ายแรงจนโคม่าแล้ว เธอก็ต้องหลับอยู่ที่โรงพยาบาล
หรือเธอกำลังฝันไปเรื่อยใช่ไหม หญิงสาวกำลังคิดวุ่นวายอยู่ในอ้อมกอดของคนที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ของเธอ