บทที่ 4
เฉินกวงมองหญิงสาวที่ดูแลหงหงอยู่ไม่ห่าง ชายหนุ่มแอบตำหนิตัวเอง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้หงหงไม่สบายและมีอาการแบบนี้มันเป็นเพราะเขาหรือเปล่า ยิ่งคิดเฉินกวงก็อดโทษตัวเองในใจไม่ได้ ถึงแม้ท่าทางที่เขาทำเมื่อเช้ามันจะมีสาเหตุ
แต่สาเหตุมันก็เป็นเรื่องที่เขาไม่ควรจะเก็บเอามาใส่ใจแล้วในตอนนี้เพราะเขาและซิงอีเป็นของกันและกันแล้ว แล้วก็มีลูกด้วยกันแล้ว ไม่ว่าสาเหตุที่หญิงสาวยอมแต่งงานกับเขามันจะเป็นเพราะอะไรนั้นเขาก็ควรจะพยายามลืมไปให้ได้สักที แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นมันก็ลืมได้ยากจริง ๆ
เพราะเฉินกวงรู้ดีว่าเพราะอะไร อะไรที่ทำให้คนอย่างเขาได้คนที่รักมาอยู่ข้าง ๆ และเพราะรู้ก็เลยห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากไม่ได้ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นความคิดที่วนไปวนมา ยิ่งเวลามือขวาของเขามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ คนของเขา ชายหนุ่มก็ยิ่งเผลอตัวกังวลไปโดยที่ยังไม่มีอะไรแปลกประหลาดด้วยซ้ำ
รู้ทั้งรู้ว่าลูกน้องของเขาจะไม่มีวันยุ่งหรือวุ่นวายกับภรรยาของเขาแน่ ๆ แต่สำหรับซิงอีแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าเธอมองเขา มองมือขวาของเขาอย่างไร ยังคงรักอีกฝ่ายเหมือนที่เธอเคยรักเมื่อก่อนหรือเปล่า แม้เรื่องที่เขารู้มันจะนานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนหญิงสาวจะแต่งกับเขา แต่จนถึงวันนี้เฉินกวงก็ลืมเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้สักที
“มา ปะ อืม กอก กอก” เสียงเด็กน้อยที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง อู๋ไฉ่หงแอบยิ้มในใจเมื่อคนเป็นพ่อเดินมากอดแม่ของเธอที่อุ้มเธออยู่
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ ที่จริงเด็กทั่ว ๆ ไปหนึ่งขวบก็เริ่มพูดเป็นคำได้แล้ว แต่หงหงดูเหมือนจะพัฒนาการช้าไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เธอพอจะเข้าใจเด็กน้อยก็คงเครียดจากท่าทางแปลก ๆ ของพ่อแม่ เด็กมักจะรับอะไรได้เร็วกว่าผู้ใหญ่เสมอ ๆ อยู่แล้ว ความมึนตึงระหว่างพ่อกับแม่กระทบกับสภาพจิตใจเด็กน้อยพอสมควร ขนาดเวลานอนหงหงยังใส่ถุงมือป้องกันเล็บข่วนตัวเองอยู่เลย ในนิยายคือยุคปี 90 แม้จะมีหมอเด็กเก่ง ๆ แล้ว แต่หมอเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กโดยตรงยังไม่มีเหมือนยุคที่เธอจากมา
คงเป็นเพราะไม่ต้องโฟกัสอะไร เรื่องที่ทำให้หยุดสนใจได้จึงเป็นเรื่องพ่อแม่และคนรอบ ๆ ตัว ถ้าหากคนใดคนหนึ่งรอบตัวเด็กน้อยคิดอะไรแปลก ๆ เด็กคนนั้น ๆ ก็รับซึมซับความรู้สึกเหล่านั้นไปด้วยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อู๋ไฉ่หงมองสายตาพ่อของเธอแล้วก็เข้าใจได้ เด็กน้อยกำลังจะถอนหายใจแต่นึกได้ว่านั่นอาจจะทำให้ตัวเองร้องไห้ออกมาและต้องถูกหมอฉีดยาจึงพยายามทำอารมณ์ให้นิ่งขึ้น
“พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันเถอะ” ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อย เสียงของพ่อเธอก็ดังขึ้น
“เที่ยวเหรอคะ แล้วงาน” แม่ของเธอถาม
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอกครับ ได้พักบ้างก็ดี บางทียายหนูของพวกเราอาจจะอยากได้อากาศบริสุทธิ์ ๆ เผื่อจะทำให้อารมณ์ของลูกคงที่ขึ้น”
เมื่อค้านไม่ได้หญิงสาวก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันให้คนไปเตรียมของก่อนนะคะ คุณจะไปไหน กี่วันคะ”
“ไปทะเลก็ได้ครับ พาลูกไปว่ายน้ำหน่อย ไปสุดสัปดาห์นี้ก็ได้” บรรยากาศของทั้งสองทำให้อู๋ไฉ่หงหัวเราะก่อนจะเปล่งเสียงสุดแรงเพื่อพูดออกมา
“อุง อุง อุง กอก เอิก เอิก” ซิงอียิ้ม
“เหมือนลูกอยากให้คุณอุ้มนะคะ ดูท่าทางจะพอใจ”
เฉินกวงพยักหน้า “ผมก็ว่าอย่างนั้น” และดูเหมือนบรรยากาศของทั้งสองจะกลับมาเป็นปกติมากขึ้น
เฉินกวงจึงแยกตัวออกมาเพื่อโทรหามือขวาของตัวเอง “สุดสัปดาห์นี้ฉันไม่ทำงานนะ ถ้ามีประชุมก็ยกเลิก นายไม่ต้องตามอยู่ดูแลเรื่องที่นี่แทนฉัน ให้อาอิงไปแทน”
“ครับเจ้านาย” หานตงตอบรับ เขารับรู้เลยว่าทำไมเจ้านายไม่พาเขาไปด้วย ปกติจะเป็นเขาที่ติดตามตลอดแต่ตอนนี้เขาคงถูกลดความสำคัญแล้ว
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครให้ผู้หญิงที่เจ้านายชอบมาชอบเขาล่ะ ต่อให้ตอบรับหรือไม่ก็ดูผิดมากอยู่ดี ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะไปเตรียมทุกอย่างตามที่เจ้านายต้องการ
อีกด้านซิงอี้ที่เห็นสามีแยกตัวออกไปก็สงสัย เธอหันมองซ้ายขวาอยู่พักใหญ่ จนเฉินกวงกลับมาจึงได้หายระแวงไปบ้าง “ไปไหนมาคะ” หญิงสาวถาม
“ผมไปสั่งงานมา คุณไม่ต้องกังวลหรอก เตรียมเที่ยวให้สนุกดีกว่า อย่าลืมนะ ความคิดของพวกเราหงหงตัวน้อยแอบมองอยู่นะ” ชายหนุ่มยิ้มและชี้ไปยังลูกสาวที่ยังคงมองทั้งสองตาแป๋ว
แต่สำหรับอู๋ไฉ่หงอยากจะบอกกับทั้งสองนักว่า (ก็เข้าใจกันเร็ว ๆ สิ ฉันจะได้ไม่ต้องกลายเป็นไบโพลาร์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวเศร้าอย่างนี้) แต่แน่นอนว่าสองสามีภรรยาไม่เข้าใจใบหน้างอ ๆ ของลูกสาวตัวน้อยแม้แต่นิด
อู๋ไฉ่หงในร่างเด็กน้อยได้แต่คิดวางแผน ถ้าเธอป่วย พ่อก็จะอยู่กับแม่มากขึ้น แต่มันก็ทำให้ทั้งสองกังวล เธอไม่รู้เนื้อเรื่องหรือสถานการณ์ของทั้งสองตอนนี้ แต่เท่าที่เห็นและแอบฟังพวกป้า ๆ แม่บ้าน แม้ว่าพ่อของเธอจะรักแม่มาก แต่วัน ๆ ก็เอาแต่ยุ่งกับเรื่องงาน หลังจากแม่เธอคลอดเลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเหมือนตอนที่ท้อง
(หรือทำให้ท้องอีกรอบดีนะ) เด็กน้อยเหนื่อยใจเธอจะไปบังคับสองคนนั้นให้มีลูกได้อย่างไร ไม่ใช่เทพอุ้มสมสักหน่อย
ว่ากันว่าลูกคือโซ่ทองคล้องใจ เธอจะทำให้ได้เลยคอยดู