ตอนที่ 5. หรือสามีข้าเป็นชายผู้ชอบตัดแขนเสื้อ/2
หลิวชิวเยว่เลิกผ้าห่มทิ้งตัวลงนอนคลุมผ้าไว้ หันหลังให้คนที่นอนฝั่งตรงข้าม กิริยานั้นทำให้เจ้าบ่าวหมาดๆ ลอบถอนหายใจ
เมื่อเดือนก่อน ฮ่องเต้ได้ยินข่าวลือไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับเขา เพื่อปกป้องเกียรติของแม่ทัพคนสนิท จึงประทานสมรสพระราชทาน เสิ่นมู่ฉือไม่อาจขัดพระประสงค์ได้ จำต้องเลือกสตรีนางหนึ่งมาเป็นภรรยา เขาตั้งข้อแม้ว่าภรรยาที่ตนเลือกนั้นต้องไม่เป็นสตรีจากตระกูลขุนนาง ฮ่องเต้ยินยอมด้วยรู้ว่าเขาเป็นคนตงฉินไม่ชอบเล่นพรรคเล่นพวก และไม่ต้องการเกี่ยวพันกับตระกูลขุนนางใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่สร้างความหวาดระแวงให้กับฮ่องเต้ แม่สื่อนำรายชื่อหญิงสาวจากตระกูลต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับขุนนางส่งเข้าไปในจวนแม่ทัพใหญ่ ชะตาลิขิตให้เขาเลือกบุตรีของคหบดีหลิวมาเป็นเจ้าสาว
ขะ คร่อก ฟี้ ขะ คร่อก ฟี้ !
เสียงบางอย่างดังขึ้น ดึงให้เสิ่นมู่ฉือหลุดจากภวังค์ หันไปมองร่างกลมบนเตียงวิวาห์ ต้นเสียงดังมาจากร่างของฮูหยินของเขา คราแรกเสียงนั้นดังเป็นจังหวะเนิบช้า ก่อนจะทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจังหวะลมหายใจที่ดังต่อเนื่อง จนเสียงสะท้อนไปทั่วห้อง ใบหน้าของเสิ่นมู่ฉือเหมือนคนอมของขม
คนอ้วนก็มีชะตาของคนอ้วน แม่ทัพเช่นเขากลับมีชะตาน่าเวทนากว่า...
///
เช้าวันต่อมา หลิวชิวเยว่ตื่นขึ้นมาบนเตียง หันไปมองเตียงอีกฟากห้องไม่เห็นแม้แต่เงาของของผู้เป็นสามี แม่นมฉีกับหลิงเอ๋อเข้ามาปรนนิบัตินาง
“เตรียมน้ำร้อนให้ข้าอาบด้วย”
หลิวชิวเยว่อยากอาบน้ำให้สบายตัว แม่นมฉีกับหลิงเอ๋อจึงขนน้ำร้อนมาผสมน้ำในอ่างไม้ให้นางแช่ตัว แม่นมฉีเป็นผู้รอบคอบสั่งให้นำถังไม้แช่ตัวมาจากบ้านเดิม ด้วยรู้ว่าขนาดตัวของคุณหนูหลิวนั้นต้องใช้ถังไม้สั่งทำพิเศษ การขนน้ำใส่ให้เต็มถังใบใหญ่นั้นจำต้องขนกันหลายรอบ แม่นมฉีจึงต้องหาบ่าวในบ้านมาช่วยขนน้ำ ที่นี่มีแต่บ่าวผู้ชายจึงขนน้ำมาวางให้ได้แค่หน้าเรือน สองบ่าวขนน้ำกันจนเหนื่อยหอบ
“คุณหนูข้าเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
หลิงเอ๋อนำคุณหนูไปยังห้องน้ำ หลิวชิวเยว่หย่อนตัวลงในถังไม้ แช่ร่างลงไปในน้ำอุ่นๆ ให้ความรู้สึกสบายตัว จนเผลอพึมพำร้องเพลงออกมา
“เช้านี้คุณหนู อารมณ์ดีมากเลยนะเจ้าคะ”
หลิงเอ๋อมองดูท่าทางสำราญใจของผู้เป็นเจ้านายแล้วรู้สึกเบาใจ นึกถึงตอนที่นางกับแม่นมฉีมายืนรอปรนนิบัติคุณหนู ท่านแม่ทัพเปิดประตูเดินออกมาด้วยอาการเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอ ใบหน้าอิดโรยใต้ขอบตามีรอบดำคล้ำเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็มิได้ทำให้ความหล่อเหลาลดน้อยลง
“คุณหนูเจ้าคะ เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
แม้รู้ตัวว่าไม่ควรถาม แต่หลิงเอ๋อก็อดปากไว้ไม่ไหว อยากรู้ว่าค่ำคืนวิวาห์นั้นเป็นเช่นไร แล้วแม่นมฉีได้สอนสั่งอะไรคุณหนูไปบ้าง
“ก็... อืม ก็ดี”
หลิวชิวเยว่จะตอบอะไรได้มากกว่านี้ ตลอดทั้งคืนเจ้าบ่าวพาตัวเองไปนอนอยู่ที่ตั่งนอนอีกฟากห้อง ปล่อยให้เจ้าสาวนอนหลับสบายอยู่บนเตียงวิวาห์อย่างเดียวดาย
“ดีหรือเจ้าคะ เช่นนั้นแล้ว การเข้าหอนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดี”
หลิงเอ๋อได้ฟังผู้เป็นเจ้านายบอกเช่นนั้น ก็คิดเอาเองว่าหากไม่ดี คุณหนูน่าจะบ่นออกมาแล้ว คุณหนูมิใช่คนที่ชอบเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ หากมีสิ่งใดไม่ได้ดั่งใจนางก็มักจะเอ่ยออกมาตรงๆ เช่นนี้แล้วท่านแม่ทัพก็นับว่าใช้ได้
“หลิงเอ๋อ เมื่อครู่เจ้าได้พบท่านแม่ทัพหรือไม่”
“พบเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพยังบอกว่า ไม่ต้องปลุกคุณหนู รอคุณหนูตื่นแล้วค่อยพาไปเคารพศาลบรรพชน”
เนื่องจากแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือไร้ซึ่งบิดามารดา ลูกสะใภ้จึงไม่ได้ปรนนิบัติบิดามารดาของสามี ทำได้เพียงเซ่นไหว้เคารพศาลบรรพชนเท่านั้น หลิวชิวเยว่เองจึงไม่ต้องลำบากเรื่องนี้ มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะออกไปทำหน้าที่ของตนเอง
หลิวชิวเยว่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกไปยังห้องโถงของจวน แม่ทัพเสิ่นเห็นภรรยามาถึงจึงเดินไปรับ ในห้องมีผู้คนอยู่หลายคนเมื่อเดินเข้าไป ทุกคนต่างพากันคำนับ
“คารวะฮูหยินท่านแม่ทัพ”
หลิวชิวเยว่จำท่านหมอจินซีถิงที่เคยช่วยรักษาให้นางได้ เสิ่นมู่ฉือจึงแนะนำคนอื่นๆ ให้นางได้รู้จัก
“เจ้าคงรู้จักท่านหมอจินซีถิงแล้ว นี่คือท่านกุนซือจ้าวหยุนฟาง จางหมิ่น หลี่ซวน ทุกคนทำงานให้ข้า”
“คารวะทุกท่าน ข้าหลิวชิวเยว่ ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน หากวันหน้ามีสิ่งใดโปรดชี้แนะข้าด้วย”
หลิวชิวเยว่เอ่ยกับทุกคนพลางยิ้มให้อย่างสนิทสนม ในชาติก่อนเป็นประธานบริษัทมีลูกน้องใต้อาณัติมากมาย การซื้อใจผู้คนย่อมไม่ใช่การแสดงอำนาจข่มเหง ล้วนต้องใช้น้ำใจผูกมัดพวกเขาให้ทำงานด้วย ในยุคสมัยใดสิ่งนี้ย่อมไม่ต่างกัน
“พวกเรามิกล้า เกรงใจฮูหยินแล้ว”
อัธยาสัยอันดีของนางทำให้ลูกน้องของเสิ่นมู่ฉือรู้สึกประทับใจ เมื่อวานพวกเขาต่างได้ยินผู้คนนินทาฮูหยินท่านแม่ทัพว่าเป็นสตรีกาลกิณี ก็รู้สึกหวั่นวิตกแทนผู้เป็นนาย รูปโฉมของหลิวชิวเยว่หากเทียบกับสตรีทั่วไปนับว่าด้อยกว่ามาตรฐานหลายส่วน ท่านแม่ทัพเสิ่นเข้าหอกับนางอาจจะต้องทนฝืนใจสักหน่อย
รุ่งเช้าพวกเขาจึงพากันลอบสังเกต ได้เห็นว่าใบหน้าของท่านแม่ทัพคล้ายคนนอนไม่พอ ใต้ตามีรอยคล้ำ สีหน้าดูอิดโรย ในขณะที่ฮูหยินดูสดใสยิ่ง นั่นแปลว่าค่ำคืนวิวาห์ที่ผ่านมาน่าจะหวานชื่น อนาคตของทั้งสองคนดั่งภรรยาร้องสามีรับ พวกเขาคลายกังวลไปไม่น้อย
“ฮูหยินต่อไปเรื่องในจวนล้วนต้องฝากให้เจ้าช่วยดูแล นี่หวังไห่เป็นพ่อบ้านของจวนข้า เขาจะช่วยแนะนำเจ้า”
เสิ่นมู่ฉือแนะนำพ่อบ้านหวังไห่ให้หลิวชิวเยว่รู้จัก และมอบหมายหน้าที่ดูแลจวนให้ภรรยา
“เจ้าค่ะ ท่านพี่โปรดวางใจ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
หลิวชิวเยว่รับคำ เป็นฮูหยินของจวนนี้ย่อมต้องทำหน้าที่ของตนเอง พ่อบ้านหวังไห่เดินนำไปยังเรือนด้านหลัง อันเป็นพื้นที่ของเรือนชมจันทร์ ด้านหน้าเรือนคนรับใช้ในจวน ต่างมายืนรอนายหญิงคนใหม่ เมื่อหลิวชิวเยว่มาถึงพวกเขาเหล่านั้นต่างทำความเคารพ
“คารวะฮูหยินท่านแม่ทัพ”
หลิวชิวเยว่นั่งลงเก้าอี้ที่เตรียมไว้ แม่นมฉีกับหลิงเอ๋อยืนประกบซ้ายขวา พ่อบ้านหวังจึงเริ่มแนะนำคนงานในบ้านทีละคน บอกหน้าที่ของพวกเขาให้รับรู้ หลิวชิวเยว่มองคนงานในบ้านล้วนมีแต่ผู้ชาย หลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ความทรงจำของร่างเดิมได้ไหลเวียนเข้ามาในสมอง ทำให้รู้ว่าเคยได้ยินคำนินทาเกี่ยวกับแม่ทัพเสิ่นว่า
นอกจากแม่ไก่และวัวตัวเมีย จวนท่านแม่ทัพใหญ่มีเพียงหยกแต่ไร้บุปผา คนสนิทข้างกายของท่านแม่ทัพล้วนเป็นบุรุษหน้าตาดี แม่ทัพเสิ่นอายุสามสิบแล้วไม่เคยมีแม้แต่อนุสักคน หากบุรุษไม่นิยมชมบุปผาจะเป็นคนเช่นไร...