เทือกเขาหลงเมิ่ง
จวนอุปราช
เสียงบรรเลงจากกู่ฉินดังออกมาจากพระตำหนักใหญ่ของอุปราชหน้าหยก นิ้วพระหัตถ์เรียวยาวดั่งเช่นอิสตรีกรีดลงบนเส้นสายบนกู่ฉิน ร่ายเสียงบรรเลงขับขานแข่งไปพร้อมกับสายลมหนาวเย็นยะเยือกบนเทือกเขาสูง ที่เต็มไปด้วยหมอกเมฆาสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณมองไปทิศทางใด มีแต่ทะเลหมอกสุดสายตา ช่างขับกับอาภรณ์ขาวสีโปรดของอุปราชลือชื่อยิ่งนัก
อินอวิ๋นหยางโปรดปรานสีขาวมากที่สุด อาภรณ์ที่สวมใส่มีเพียงสีขาวเท่านั้น เครื่องใช้ส่วนพระองค์ล้วนขาวบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งสิ้น และดอกไม้ที่ทรงโปรดปรานมากที่สุดคือดอกเหมยสีขาว ที่กำลังเบ่งบานและร่วงหล่นลงสู่พื้นมาตามกระแสลมแรง จนปลิวเข้าไปยังพระตำหนักที่อุปราชรูปงามทรงบรรเลงกู่ฉินอยู่ในขณะนี้และสิ้นสุดลงพร้อมเสียงของหรงเฉินดังขึ้นอยู่ทางหน้าประตูพระตำหนัก
“กระหม่อมหรงเฉินพ่ะย่ะค่ะ”เสียงองครักษ์คนสนิทรายงานตัวอยู่ด้านนอก ทันทีที่องค์อุปราชบรรเลงเพลงพิณจนจบ
“เข้ามา!”สุรเสียงทุ้มใหญ่รับสั่งอนุญาต
ครืดดดด!!!! ประตูห้องพักผ่อนสำหรับดื่มชาและนั่งชมทิวทัศน์ของเทือกเขาหลงเมิ่งถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยร่างสูงของหรงเฉินก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าว
“กลับมาแล้วเหรอ...นั่งลงก่อนสิ”รับสั่งถามสุรเสียงนุ่มนวล
“พ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินทรุดกายลงนั่งตรงพระพักตร์
ถ้วยชาใบน้อยเต็มไปด้วยน้ำชาสีเหลืองอ่อน ไอขาวกำลังพวยพุ่งถูกยื่นส่งให้องค์รักษ์คนสนิท พลางยกถ้วยชาในส่วนของพระองค์พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งถาม
“งานที่ข้าสั่งให้เจ้าไปทำคืบหน้าอย่างไรบ้าง”รับสั่งพร้อมยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม
“กระหม่อมได้ทำตามพระบัญชาของพระองค์เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงต้าซางถูกวางยาที่ได้รับจากบ้านหลังเขาจนตอนนี้พระนางเริ่มมีพระอาการสำแดงออกมาแล้ว หมอยาที่หลังเขาหลงเมิ่งได้กำชับเอาไว้ว่า ตัวยาดังกล่าวหากนำไปใช้กับผู้ที่มีสภาพร่างกายปกติจะมีอาการเพียงแค่ไร้สิ้นเรี่ยวแรงจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ที่น่าตกใจมากนั้นก็คือองค์หญิงผู้นั้นมีอาการรุนแรงมากเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
รายงานข่าวของหรงเฉินไม่ได้ทำให้อุปราชรูปงามมีท่าทีเปลี่ยนแปลงหรือแสดงอาการอื่นใดออกมาแม้แต่น้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาดุจเดิม นอกจากเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ
“เจ้าอย่าบอกนะว่านางตายก่อนที่จะถึงมือของข้า!”รับสั่งถามกลับไป
องครักษ์คนสนิทมองพระพักตร์งามดั่งรูปสลักอยู่เพียงครู่ แม้จะล่วงรู้ว่าทรงวางแผนเพื่อปกป้องพระชนม์ชีพของพระองค์ก็ตามที ทว่าแผนการแต่ละอย่างที่ทรงวางเอาไว้นั้นช่างเลือดเย็นและสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ที่ได้รับอย่างยิ่งยวด
“นางยังไม่ตายพ่ะย่ะค่ะ และกระหม่อมยังสืบล่วงรู้มาว่าองค์หญิงต้าซางก่อนจะถูกคัดเลือกมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหยวนเป่ย ทรงมีอาการประชวรเป็นโรคประหลาดที่เป็นๆ หายๆ มาโดยตลอด ทั่วกายเต็มไปด้วยตุ่มฝีแผลผุพองขึ้นมาและหายเป็นพักๆและจะมีอาการหนักมากในช่วงฤดูร้อน แต่จะหายไปเองเมื่ออยู่ในที่เย็นหรือฤดูหนาวมาเยือน นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้าซางส่งองค์หญิงผู้นี้มาหยวนเป่ย”
รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏบนพระพักตร์ของอุปราชลือชื่อครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ต้าซางคิดที่จะใช้โรคประหลาดจากองค์หญิงผู้นั้นส่งมาที่หยวนเป่ยเพราะคิดว่าเป็นโรคระบาดอย่างนั้นสิ”รับสั่งสวนขึ้นมา
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ต้าซางต้องการแพร่โรคระบาดนี้ให้กับหยวนเป่ยควบคู่ไปกับแผนปลงพระชนม์พระองค์ เพื่อได้รับผลที่ตามมาพร้อมกัน และก่อนที่กระหม่อมจะมารายงานให้พระองค์ทรงทราบได้แวะเข้าไปรายงานผลให้กับทางหมอยาที่หลังเขาหลงเมิ่งที่สกัดยาดังกล่าวออกมา ซึ่งหมอยาบอกว่าองค์หญิงป่วยด้วยโรคชนิดหนึ่งและมีผลต่อตัวยาที่พระองค์ใช้กับนางเป็นอย่างมาก โรคที่นางเป็นอยู่จะสำแดงออกมาทันทีและจะยิ่งทำให้ทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีกหลายเท่า รวมไปถึงทำลายรูปโฉมตลอดทั่วทั้งพระวรกาย”
พระพักตร์หล่อเหลาเงยขึ้นทอดพระเนตรหรงเฉินครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น พระเนตรสีน้ำตาลคู่โศกสลดลงเล็กน้อย
“สภาพของนางอยู่มิสู้ตายจริงๆ เช่นนั้นก็ดีตายเร็วขึ้นมาหน่อยจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างทรมาน”รับสั่งออกมาเบาๆ
พระหัตถ์คลึงหยกสีขาวทรงกลมไปมาอยู่เช่นนั้น เมื่อทรงใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ ท่ามกลางสายตาของหรงเฉินกำลังนั่งรอพระบัญชาจากพระองค์
“หรงเฉิน!”รับสั่งหาองครักษ์คนสนิท
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“นำองค์หญิงต้าซางไปประทับที่ตำหนักท้ายจวน อย่าให้ออกมาเดินเพ่นพ่านแพร่โรคประหลาดนี้เป็นอันขาด และอย่าให้ผู้ใดเข้ามาพบเห็นสภาพของนางเป็นเช่นนั้น จัดเวรยามยืนเฝ้าด้านหน้าพระตำหนักป้องกันไม่ให้หลบหนีออกจากจวนของข้า เมื่อถึงวาระสุดท้ายของนางจงสร้างสุสานเพื่อเป็นเกียรติยศสุดท้ายที่ข้ามอบให้ ในฐานะพระชายาเอกของข้า”รับสั่งโดยไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
อุปราชหนุ่มเอี้ยวพระวรกายไปทางด้านหลัง ซึ่งวางตำราเอาไว้มากมายก่อนจะเปิดหีบขนาดย่อมหยิบของบางอย่างออกมา พระหัตถ์กำสิ่งนั้นเอาไว้พร้อมยื่นส่งให้หรงเฉิน ท่ามกลางความแปลกใจขององครักษ์คนสนิท
“นี่มันกำไลทองคำไม่ใช่เหรอพ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินถามกลับไปอย่างสงสัย
“ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มาเป็นพระชายาของข้า ครั้นจะใช้สัมฤทธิ์นำมาทำก็ไม่ควรเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์จากต้าซางและยังเป็นพระชายาอุปราชแห่งหยวนเป่ย จึงใช้ทองคำมาทำแทน และนางจะต้องสวมกำไลนี้ไว้ที่ข้อเท้า ก่อนที่จะเหยียบย่างเข้ามาที่จวนนี้!”
“อะไรนะ! กำไลข้อเท้าอย่างนั้นเหรอพ่ะย่ะค่ะ!”หรงเฉินเอ่ยออกมาทันทีเมื่อได้ยินว่าเจ้าสิ่งนี้แท้จริงใช้ทำอะไร
“ถูกต้อง! เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก เมื่อนางหลบหนีออกจากจวนไปที่ใดข้าจะได้ยินเสียงที่ดังจากกำไลข้อเท้านี้ตามนางกลับคืนมาได้ดั่งเดิม และที่สำคัญใส่ได้แต่ไม่มีผู้ใดถอดออกได้มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะถอดกำไลข้อเท้านี้ให้กับนางด้วยตัวเอง”อุปราชหนุ่มรับสั่งพร้อมยื่นส่งให้หรงเฉินรับกำไลดังกล่าว
หรงเฉินยื่นมือรับกำไลทองคำจากพระหัตถ์นำมาถือไว้ในมือ พร้อมเอ่ยขึ้น
“กระหม่อมคิดว่าพระองค์จะทรงมอบกำไลนี้เป็นของแทนใจให้แก่พระชายา ไม่คิดว่ากลับทรงมอบกำไลข้อเท้านี้เปรียบดั่งเช่นโซ่ตรวนพระองค์ต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินอดไม่ได้ที่จะทูลถามกลับไป
พระเนตรสีน้ำตาลคู่โศกจับจ้องใบหน้าองครักษ์คนสนิทของพระองค์ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“เจ้ายังไม่ชินอีกเหรอหรงเฉินว่าข้าเป็นอย่างไร ติดตามข้ามานานสิบกว่าปีไม่ควรที่จะตั้งคำถามเช่นนี้กับข้า องค์หญิงต้าซางคือหมากที่ถูกส่งมาจากฮ่องเต้ต้าเหลียงและต้าซางจับมือร่วมกัน รวมไปถึงอวิ๋นฉวี่ก็ใช้นางเพื่อกำจัดข้าด้วยเช่นกัน ไม่มีเหตุผลกลใดที่จะทำให้ข้าต้องไว้ชีวิต”รับสั่งสุรเสียงเย็นยะเยียบในขณะที่หรงเฉินนั่งเงียบงัน ก่อนจะตัดสินใจกราบทูลกลับไป
“กระหม่อมเพียงแค่รู้สึกเห็นใจในชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงต้าซางก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินกราบทูลกลับไป
“เห็นใจนางอย่างนั้นเหรอ”อุปราชหนุ่มรับสั่งสวนกลับไปทันควัน
“พ่ะย่ะค่ะ! เพราะจากที่สืบข่าวมาทรงเป็นองค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปราน แม้ว่าจะมีพระบิดาและพระมารดาเป็นอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม เมื่อครั้งที่พระองค์สั่งประหารเชื้อพระวงศ์หมู่ของต้าซาง”
คำกราบทูลของหรงเฉินทำให้อุปราชหนุ่มทรงนึกออกได้ขึ้นมาทันทีว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าซางคือพระองค์ใด
“ข้าจำได้แล้วว่าฮ่องเต้ของต้าซางในตอนนี้คือผู้ใด ในเวลานั้นสาเหตุที่รอดชีวิตเพราะเพราะถูกส่งตัวไปรักษาที่แคว้นหยู่”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้พระเชษฐาขององค์หญิงปกครองแคว้นต้าซางสืบต่อไปภายใต้ร่มเงาของหยวนเป่ย แต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ กลับไม่โปรดองค์หญิงเอาเสียเลย อีกทั้งประชวรด้วยโรคประหลาดติดต่อกันมานานหลายปี ทำให้ไม่ค่อยปรากฏพระวรกายให้ผู้คนทั่วไปได้พบเห็น ทรงเก็บตัวอยู่แต่ในพระตำหนักส่วนพระองค์ ดูท่าการมาหยวนเป่ยเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์ในครั้งนี้ ไม่ล่วงรู้ด้วยซ้ำไปว่าถูกใช้เป็นหมากเพื่อให้มาทำลายหยวนเป่ยและลอบปลงพระชนม์พระองค์”หรงเฉินกราบทูลกลับไปตามความรู้สึกของตัวเอง
เฮ้อ! เสียงทอดถอนหายใจดังออกมาจากพระวรกายใหญ่ของอุปราชรูปงาม
“ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ นางก็ไม่ได้รับการยกเว้นให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ทำตามแผนที่วางเอาไว้ตามเดิมหลังจากที่นำนางไปอยู่ที่ตำหนักท้ายจวนแล้ว จงนำหนังสือสมรสที่ข้าลงนามแล้วไปมอบให้อวิ๋นฉวี่ที่วังหลวง นี่คือสิ่งที่จะได้รับจากข้าในฐานะพระชายาเอกของอุปราชแห่งหยวนเป่ย ข้าจึงยินยอมลงนามในหนังสือสมรสนี้ตามความต้องการของทุกฝ่าย และจัดส่งสาสน์กลับไปที่ต้าซางว่าองค์หญิงผู้นั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกของข้าเป็นที่เรียบร้อย...ว่าแต่นางมีนามว่าอะไร”รับสั่งถามกลับไป
“องค์หญิงฟางเยี่ยนลี่พ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินทูลตอบกลับไป
“ฟางเยี่ยนลี่อย่างนั้นเหรอ”รับสั่งพระนามองค์หญิงผู้อาภัพพลางพยักพระพักตร์ขึ้นลง
“ไปจัดการตามแผนขั้นต่อไป และส่งคนตามประกบอวิ๋นฉวี่เอาไว้ตลอดเวลา”รับสั่งกำชับ
ครั้นหรงเฉินได้ยินเช่นนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ทันใดว่าหลงลืมข่าวสำคัญที่ยังไม่ได้รายงานให้อุปราชหนุ่มได้ล่วงรู้
“กระหม่อมยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้ทูลให้ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินเอ่ยทูลขึ้นมาทันที
“เรื่องอะไร!”รับสั่งถาม
“กระหม่อมสืบล่วงรู้มาว่า เสี่ยวฉิงจื่อ ซึ่งเป็นขันทีคนสนิทของฝ่าบาท เขียนสาสน์โต้ตอบสั่งการบางอย่างระหว่างสองแคว้น และยังทำหน้าที่ประสานงานระหว่างฝ่าบาทกับต้าซางและต้าเหลียงอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อุปราชหนุ่มพระเนตรลุกวาวโรจน์ขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ตามมันไปอย่าให้คลาดสายตา! และรายงานความเคลื่อนไหวส่งกลับมาให้ข้าล่วงรู้ทุกระยะ”รับสั่งพร้อมยกนิ้วพระหัตถ์ชี้ไปที่ร่างหรงเฉิน
“ทันทีที่เจ้าล่วงรู้ว่าขันทีผู้นั้นเป็นภัยร้ายต่อหยวนเป่ยของข้า จงฆ่ามันทิ้งซะ! อย่าให้มีชีวิตรอดเป็นอันขาด!”รับสั่งกำชับ
“พ่ะย่ะค่ะ!”หรงเฉินขานรับพระบัญชาก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“อีกสิบวันองค์หญิงจากต้าซางก็จะถึงหยวนเป่ย พระองค์จะให้ขบวนเสด็จแวะพักที่เมืองหลวงก่อนหรือจะให้กระหม่อมนำมาที่จวนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”หรงเฉินถามกลับไป
“นำนางมาที่จวนนี้เลย! เปลี่ยนเส้นทางไม่ต้องเข้าเมืองหลวง มีเพียงขบวนทรัพย์บรรณาการเท่านั้นที่เดินทางเข้าหยวนเป่ยได้เพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดของนางถูกแพร่ออกไป ส่วนองค์หญิงผู้นั้นให้กองทหารของเราคอยอารักขากลับมา มีเพียงนางเท่านั้นที่จะเข้ามาอยู่ที่จวนนี้ได้ จวนนี้นอกจากคนของข้า! ห้ามไม่ให้ผู้ใดเหยียบย่างเข้ามาแม้แต่เพียงผู้เดียว!”
“แม้แต่นางกำนัลผู้ติดตามขององค์หญิงก็ไม่ให้เข้ามาถวายการรับใช้ด้วยอย่างนั้นเหรอพ่ะย่ะค่ะ!”หรงเฉินไม่วายถามกลับไป
“ใช่!”รับสั่งตอบสวนกลับไปโดยไม่เสียเวลาครุ่นคิด
“แต่สภาพขององค์หญิงในตอนนี้ต้องมีคนช่วยคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นางไม่มีกำลังและเรี่ยวแรงที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เลยพ่ะย่ะค่ะเพราะผลจากการวางยาของพระองค์ จึงทำให้มีพระอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว”หรงเฉินทูลรายงานกลับไป
รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์บางๆ เมื่อได้ยินคนสนิทมีใจเมตตาให้อีกฝ่าย
“เจ้าหลงลืมไปแล้วอย่างนั้นเหรอว่าสุดท้ายแล้ว จุดจบของนางก็คือตายสถานเดียว! เช่นนั้นจะมีบริวารคอยรับใช้หรือเปล่าก็ไม่ต่างกันแม้แต่น้อยหรงเฉิน ข้าเข้าใจว่าเจ้ามีใจเมตตา แต่สำหรับข้า คำว่าเมตตาสามารถมอบให้เพียงแค่บางคนเท่านั้นที่สมควรจะได้รับ และนางเป็นหมากสำคัญที่ถูกส่งมากำจัดข้าโดยเฉพาะ ความตายคือจุดจบของนางเท่านั้นที่จะได้รับ”รับสั่งอย่างเหี้ยมเกรียม
“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”หรงเฉินขานรับสั่งเสียงเบาพลางล่าถอยออกไปจากห้องดังกล่าว ท่ามกลางสายพระเนตรของอุปราชรูปงาม
นิ้วพระหัตถ์เรียวงามคลึงก้อนกลมทำด้วยหยกสีขาวไปมาเมื่อทรงย้อนนึกถึงคำทัดทานของหรงเฉินและเรื่องราวขององค์หญิงจากต้าซางผู้อาภัพ
“ฟางเยี่ยนลี่เจ้าผิดที่ถูกกำหนดให้เป็นหมากตัวหนึ่งที่หวังทำลายหยวนเป่ยและลอบสังหารข้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้โทษข้าไม่ได้ต้องโทษตัวเจ้าเอง”รับสั่งพลางคลึงหยกทรงกลมสีขาวไปมาอยู่เช่นนั้น