พระราชวังซางเป่ย
ตำหนักส่วนพระองค์
เสียงพระสรวลดังกระหึ่มออกมาจากห้องทรงงาน เมื่อฮ่องเต้น้อยแห่งหยวนเป่ยได้รับพระราชสาสน์จากอุปราชรูปงามส่งกลับมาว่าได้ส่งหนังสือสมรสที่พระองค์ได้ลงนามเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหนังสือสมรสดังกล่าวฮ่องเต้หนุ่มทรงออกหน้าทำแทนผู้เป็นอา จนทำให้ทั้งสองแคว้นได้เป็นทองแผ่นเดียวกันอย่างรวดเร็ว
ซึ่งองค์หญิงฟางเยี่ยนลี่ก็ได้ลงพระนามเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ทั้งๆ ที่ยังเดินทางไม่ถึงวังหลวง แต่หนังสือสมรสกลับลงนามพร้อมประทับตราประจำพระองค์ทั้งสองฝ่ายเสร็จเรียบร้อยก่อนทำพิธีอภิเษกเสียอีก จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าองค์หญิงจากต้าซางบัดนี้คือพระชายาเอกของอินอวิ๋นหยาง อุปราชรูปงามซึ่งเป็นที่เลื่องลือและกล่าวขานไปทั่วหล้า และถือได้ว่าเป็นคู่อภิเษกที่อินอวิ๋ฉวี่ฮ่องเต้แห่งหยวนเป่ย ทรงออกหน้าเป็นพ่องานให้ผู้เป็นอาของพระองค์ทุกอย่าง
“ในที่สุดแผนการของข้าก็สำเร็จลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว อินอวิ๋นหยางคราวนี้ละเจ้าไม่พ้นเงื้อมมือของข้าแน่”
รับสั่งอยู่ในพระทัยพลางพระสรวลออกมา ก่อนจะยื่นส่งให้ขันทีที่มาถวายงานแทนเสี่ยวฉิงจื่อ ด้วยรับพระบัญชาจากฝ่าบาทน้อยให้ไปนำเสด็จองค์หญิงต้าซางมาเข้าพบพระองค์ เพื่อลงมือตามแผนขั้นต่อไป
“เอาหนังสือสมรสของอุปราชไปเก็บไว้ที่หอสมุดหลวง และให้อาลักษณ์ลงบันทึกในประวัติเชื้อพระวงศ์อย่างละเอียด แล้วก็ไม่ต้องอยู่รับใช้ข้า หากมีอะไรจะเรียกเอง...ออกไปได้!”รับสั่งกับขันทีที่ถวายงานรับใช้ภายในห้องทรงงาน
ซึ่งขันทีคนดังกล่าวยืนถวายงานอยู่ใกล้ๆ หากแต่สายตานั้นเฝ้าสังเกตไปทั่วบริเวณพระตำหนัก ด้วยเป็นคนของอุปราชที่ถูกส่งมาสอดแนมความเคลื่อนไหวของอินอวิ๋นฉวี่
“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ขันทีคนดังขานรับสั่งเสียงเบา พลางยื่นมือรับหนังสือสมรสจากพระหัตถ์
ท่ามกลางสายพระเนตรของอินอวิ๋นฉวี่ทรงทอดพระเนตรร่างสันทัดของขันทีกำลังล่าถอยออกไปจากห้องทรงงาน
“ถ้าไม่ติดว่าข้าต้องแสแสร้งแกล้งทำเป็นคนไม่รู้ความอยู่ในเวลานี้ มีหรือที่ข้าจะให้อาลักษณ์บันทึกประวัติอินอวิ๋นหยางลงในประวัติราชวงศ์ แต่ช่างเถอะถึงแม้จะลงบันทึกในตอนนี้ หากแต่ต่อไปในวันข้างหน้าข้าก็สามารถทำลายมันลงได้เช่นกัน”ฮ่องเต้น้อยรับสั่งในสิ่งที่ทรงคาดการณ์อยู่ในพระทัย
ทันใดนั้นเอง
ร่างของเสี่ยวฉิงจื่อ ขันทีคนสนิทของพระองค์ก็ก้าวเข้ามาภายในพระตำหนักส่วนพระองค์อย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! ”เสียงของเสี่ยวฉิงจื่อและท่าทางร้อนรนเช่นนั้น ทำให้ฮ่องเต้น้อยขวดคิ้วเข้าหากันทันใด
“เป็นอะไรของเจ้าเสี่ยวฉิงจื่อ ท่าทีร้อนรนพิลึก”รับสั่งถามกลับไปพลางส่ายพระพักตร์ไปมา
“มีอะไรก็รีบๆ จงรายงานมา ข้าอยากจะเอนหลังนอนกลางวันเสียหน่อย”รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์ขึ้นตบพระโอษฐ์เบาๆ เพื่อไม่ให้เสียงหาวนอนเล็ดรอดออกมา ท่ามกลางสายตาของขันทีคนสนิท
“เห็นทีฝ่าบาทไม่อาจทำสิ่งใดต่อไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ อุปราชมีพระบัญชาให้หรงเฉินนำกองทหารองครักษ์มาสับเปลี่ยนกำลังพร้อมถวายอารักขาองค์หญิงต้าซางไปยังสถานที่ประทับส่วนพระองค์ตั้งแต่ย่ำรุ่งของวันนี้แล้ว อีกทั้งยังมีรับสั่งฝากกลับมาอีกว่าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินจะทรงจัดเป็นการภายใน ด้วยเพราะต้องการความเป็นส่วนพระองค์ จึงนำเสด็จองค์หญิงต้าซางไปไม่นำมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระองค์ฝากพระราชสาสน์มาพร้อมกับหรงเฉินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ปัง!!!! พระหัตถ์กระหน่ำลงบนโต๊ะตรงพระพักตร์เสียงดังกึกก้อง พร้อมพระวรกายทรงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“อีกแล้วเหรอ!”รับสั่งเพียงแค่นั้นพลันเงียบงันลงทันใด
“เจ้ามานี่!”รับสั่งพร้อมกวักพระหัตถ์ให้ขันทีคนสนิทเข้ามาใกล้ๆ พระองค์
เสี่ยวฉิงจื่อไม่รอช้ารีบก้าวเข้าไปหาฮ่องเต้น้อยอย่างรวดเร็ว และทันทีที่มาถึง
ฉาด!!!! พระหัตถ์กระหน่ำลงที่ใบหน้าขันทีคนสนิททันใด แรงพระหัตถ์เล่นเอาเสี่ยวฉิงจื่อหน้าหันไปอีกทาง
“นี่คือโทษของเจ้าที่ได้รับ! ทำงานอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง! คราวที่แล้วก็องค์หญิงต้าเหลียง คราวนี้ก็เป็นองค์หญิงต้าซาง ไม่มีนางแล้วข้าจะเดินตามแผนได้อย่างไรต่อไป! ไอ้ลูกเต่า!!!”รับสั่งสบถออกมาด้วยแรงพิโรธ
เสี่ยวฉิงจื่อได้แต่ยืนเงียบงันพลางหลบสายตาลงต่ำมองแต่พื้นพระตำหนัก เมื่อฮ่องเต้หยวนเป่ยทอดพระเนตรจับจ้องเขม็งไม่ยอมละสายพระเนตรอยู่เช่นนั้น แม้จะเจ็บตัวและเจ็บภายในใจเพียงใดจำต้องอดทนเอาไว้เพื่อแผนการใหญ่ในวันข้างหน้า หากแต่ยังไม่ทันจะมีรับสั่งสิ่งใด ขันทีคอยถวายงานอยู่ด้านหน้าพระตำหนักก้าวเข้ามาภายในห้อง
“กราบทูลฝ่าบาท องครักษ์หรงเฉินมาขอเข้าเฝ้าเพื่อถวายสาสน์ชี้แจงจากองค์อุปราชพ่ะย่ะค่ะ”
“หรงเฉินอย่างนั้นเหรอ หากข้าจำไม่ผิดคนผู้นี้คือองครักษ์คนสนิทของเสด็จอาติดตามไปด้วยทุกที่”รับสั่งรำพึงออกมาพร้อมความคิดบางอย่างสวนขึ้นทันใด จนทำให้สายพระเนตรแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ให้หรงเฉินไปรอข้าที่ห้องทรงงาน อีกเพียงครู่ข้าจึงจะออกไป”รับสั่งตอบกลับไป
“พ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู้นั้นขานรับสั่งพลางรีบล่าถอยออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
พร้อมสุรเสียงของฮ่องเต้น้อยดังแทรกขึ้นเมื่อพระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรเสี่ยวฉิงจื่อ ที่กำลังยืนก้มหน้าเอาแต่มองพื้นพระตำหนักอยู่ในขณะนี้
“ไสหัวของเจ้าออกไป! ถ้าข้าไม่เรียกไม่ต้องเอาหน้าของเจ้ามาให้เห็นอีก!”รับสั่งตวาดสุรเสียงกร้าว
“พ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวฉิงจื่อขานรับสั่งเสียงเบาพร้อมรีบล่าถอยออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายพระเนตรของอินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้
ตุบ! พระวรกายประทับลงบนตั่งอย่างแรง พระพักตร์สั่นระริกทุกครั้งยามที่พิโรธ และจะมีพระอาการฮึดฮัดด้วยความรู้สึกคับแค้นอยู่ในพระทัย ที่ไม่อาจทำอะไรผู้เป็นอาของพระองค์ได้แม้แต่น้อย ราวกับว่าแผนการที่วางเอาไว้ อุปราชผู้นั้นสามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่ามาบัดนี้ได้เลือนหายไปเมื่อทรงได้ยินชื่อของหรงเฉินองครักษ์คนสนิทของอินอวิ๋นหยาง
พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในชายแขนเสื้อฉลองพระองค์พร้อมดึงขวดยาขนาดย่อมออกมาทอดพระเนตร ที่เสี่ยวฉิงจื่อได้มอบสูตรยาลับมาให้กับพระองค์แล้ว และในยามนี้ทรงคิดออกแล้วว่าจะใช้สูตรยาลับที่ครอบครองอยู่ในขณะนี้ได้อย่างไรต่อไป
“ครั้งนี้ท่านชนะที่วางแผนได้แยบยลกว่า หลานคนนี้นับถือยิ่งนัก แต่ครั้งหน้าเป็นทีของข้าบ้างนะเสด็จอา”รับสั่งพร้อมเค้นเสียงพระสรวลอยู่ภายในลำคอ นิ้วพระหัตถ์เฝ้าคลึงขวดยาที่อยู่ในพระหัตถ์ตรงพระพักตร์ไปมาด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม