บทที่สิบสี่

2164 Words
จิตติพัฒน์ยอมรับว่าเขาไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก พลางเกิดคำถามในใจว่าทำไมอาการหูดับจะต้องมาเป็นตอนนี้ด้วย ตัวเขาในตอนนี้ยังไม่อยากคุยกับใครแม้แต่กับโชลเมทเอง และจิตติพัฒน์ไม่ต้องการให้เธอรับรู้เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตัดสินใจว่าจะขออยู่เงียบ ๆ แบบนี้ดีกว่า ด้านเเพรววาเองเธอเริ่มมีสีหน้าที่กังวลมากเพราะกลัวว่าจะสื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง แถมรถเมย์สายที่ผ่านทางเข้าหมู่บ้านก็กำลังแล่นตรงมาแล้ว สุดท้ายเด็กสาวก็ลุกขึ้นมายืนรอรถเมย์ที่วิ่งมาจอดเทียบป้ายเพื่อให้เธอเดินขึ้น ตรงจังหวะที่พอดีกับจิตติพัฒน์ซึ่งเงยหน้ามองพลางแสดงสีหน้าฉงนใจ แผ่นหลังของคนที่กำลังเดินก้าวขึ้นรถมันช่างดูคุ้นหูคุ้นตายิ่งนัก สายตาของจิตติพัฒน์จ้องมองชนิดที่ไม่ยอมหันไปมองทางอื่น วินาทีต่อมาเด็กหนุ่มถึงกับนั่งนิ่งเหมือนกับรูปปั้น เพราะในตอนที่เด็กสาวเดินมานั่งตรงฝั่งเดียวกับตนจึงรู้ในทันทีนั้น เธอคือแพรววาโชลเมทของจิตติพัฒน์ น่าแปลกดีที่แม้จะอาการหูดับแต่เขากลับไม่ได้ยินแพรววาพูดเลยแม้แต่คำเดียว หรือเธอคิดว่าเขาไม่ต้องการที่จะคุยด้วยหรือเปล่าถึงได้เงียบแบบนี้ จิตติพัฒน์ทำท่าจะเปิดปากเอ่ยทักไปแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ไม่นานรถเมย์ก็แล่นออกจากป้ายไปเสียแล้ว จิตติพัฒน์ทำได้แค่มองตามหลังรถไปอย่างเลื่อนลอย และเผลอพูดออกมาเบา ๆ ว่า "ไปแล้วเหรอ" แล้วตามมาด้วยการรีบปิดปากของตัวเองทันที ทว่ามันก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะในเสี้ยววินาทีต่อมามีเสียงตอบกลับว่า [ใครไปไหน... เจตเหรอ] เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้จะเปิดบทสนทนาอย่างไรดี สุดท้ายเขาก็ตอบกลับไปแค่ว่า "เปล่า ไม่มีอะไรหรอก" ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา ซึ่งจิตติพัฒน์เข้าใจดีว่าแพรววายังนั่งอยู่ในรถคงไม่ใช่เรื่องดีหากมีคนเห็นเธอคุยคนเดียว ทว่าทันใดนั้นเองที่เด็กหนุ่มหันมาเห็นรถกู้ภัยหลายคันมากมาย รวมทั้งรถตำรวจกับรถพยาบาลกำลังแล่นตัดผ่านหน้าของจิตติพัฒน์ไป แม้จะไม่ได้ยินเสียงแต่มันก็ทำให้เขาไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก และตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มได้ยินเสียงอันแผ่วเบาอันล่องลอยตามสายลมมา [เจ็บจังเลย... ขะ ขะ ขยับตัวไม่ได้] ทันทีที่ได้ยินเสียงแบบนั้นเขาก็ไม่รอช้ารีบวิ่งตามขบวนรถกู้ภัยในทันที ขณะที่กำลังวิ่งไล่ตามไปนั้นจิตติพัฒน์เกิดความสับสนขึ้นมาในใจ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องขนาดนี้ด้วย แม้จะยังอยู่ในความสับสนในจิตใจแต่จิตติพัฒน์ก็ยังคงวิ่งไปตามถนนทางเดิน พยายามหลบหลีกไม่เผลอวิ่งชนกับใครจนกระทั่งเด็กหนุ่มวิ่งมาเห็น ฝูงชนกำลังรุมดูอะไรบางอย่างและเขามองเห็นควันสีขาวลอยฟุ้งบนอากาศ พริบตานั้นเด็กหนุ่มก็หาทางทะลวงฝูงชนออกมาสู่ท้องถนน แล้วสายตาของเขาก็ถึงกับต้องเบิกโตด้วยความตกใจ เพราะภาพที่เขาเห็นคือรถบัสกับรถอีกหลายคนต่างชนกันระเนระนาด มีรถบัสคันหนึ่งพลิกนอนตะแคงขวาอยู่ไม่ไกลมากนัก เสียงของแพรววาดังเข้ามาอีกครั้ง [ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนติดอยู่ในนี้] ตอนนี้เขายังหูดับอยู่จึงไม่ทันสังเกตว่ามีรถกู้ภัยสองคันใหญ่ กำลังแล่นมาจอดไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่และแน่นอนว่าจิตติพัฒน์ก็ไม่ได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ร้องทักว่าอย่าเข้าไป จิตติพัฒน์กระโดดขึ้นมาอยู่บนรถบัสและก้มมองลงมา เห็นผู้โดยสารจำนวนสี่ถึงห้าคนนอนทับกันอยู่และมีได้รับบาดเจ็บพอสมควร เด็กหนุ่มใช้สองมือและดึงช่องตรงประตูฉุกเฉินออก ด้วยพลังของฟีนิกซ์ทำให้เขาสามารถดึงบานประตูฉุกเฉินเข้ามาได้ คนแรกที่เขามองหามากที่สุดคือแพรววาซึ่งเธออาจนอนเจ็บตรงไหนสักแห่งบนรถ จิตติพัฒน์กระโดดเข้ามาในรถและเริ่มประเมินอาการบาดเจ็บของแต่ละคน ผู้โดยสารผู้ชายนอนอยู่ใกล้ ๆ ดูจะได้รับบาดเจ็บหนักมาก เด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ เข้ามายกร่างอีกฝ่ายขึ้นประคองตัวอย่างระมัดระวัง เพราะลักษณะอาการบาดเจ็บนี้คล้ายกับเพื่อนของเขาที่โดนรัศมีแรงระเบิด ทำให้ได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงทว่ามันก็ยังมีข้อแตกต่างคือเพื่อนของจิตติพัฒน์ มีพลังในการรักษาตัวเองผิดกับผู้ชายคนนี้ที่จะต้องส่งตัวให้ถึงมือหมอโดยด่วน ประจวบเหมาะที่มีเจ้าหน้าสองคนโผล่มาที่ประตูฉุกเฉินพอดี "ไอ้หนุ่ม ข้างล่างมีคนเจ็บกี่คน" เจ้าหน้าที่ทางด้านซ้ายมือถาม "สี่ถึงห้าคน" จิตติพัฒน์ตอบ "ผู้ชายคนนี้บาดเจ็บหนักครับ ต้องพาเขาออกจากตรงนี้ก่อน" "โอเค เข้าใจแล้วจะมีคนลงไปช่วยนายนะ" จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็วิทยุรายงานทีมคนอื่น ๆ เพื่อขออุปกรณ์ในการขนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บจากนั้นก็มีสองเจ้าหน้าที่ลงมาด้านในเพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนจิตติพัฒน์พยายามมองหาแพรววาและหาทางจะเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งที่เขาเห็นเธอครั้งสุดท้าย ในใจนึกภาวนาขออย่าให้เธอไม่เป็นอะไรมาก เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงไม่ให้เผลอเหยียบร่างคนเจ็บและพอมาถึงกลางลำตัวรถ จิตติพัฒน์เห็นร่างของเด็กสาวคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ "แพรว" จิตติพัฒน์ไม่รอช้ารีบวิ่งตรงไปหาเธอทันที เขาพบว่าศีรษะของเธอได้รับบาดเจ็บคาดว่าน่าจะโดนเศษกระจกบาดบวกกับแรงกระแทก เด็กหนุ่มหันไปมองก็เห็นเจ้าหน้าที่หลายคนเริ่มทยอยพากันช่วยขนย้ายผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทางออกมีแค่ทางเดียวเขาคงไม่อาจไปลัดคิวได้จึงทำได้แค่หาอะไรมารองรับศีรษะของแพรววาเอาไว้ ตอนนี้เขาทำได้แค่รอให้มีการขนย้ายคนเจ็บออกไปก่อนซึ่งมีการขนย้ายออกจากรถสามคนแล้ว ไม่นานเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตามมาสมทบเพื่อมาดูอาการเด็กสาว "นายไม่ต้องกังวลหรอก พวกเราจะส่งเธอให้ถึงมือหมอเอง" เจ้าหน้าที่กล่าว "นายไม่ควรอยู่ตรงนี้อาจโดนข้อหาขัดขวางงานเจ้าหน้าที่" จิตติพัฒน์ให้ความร่วมมืออย่างว่าง่ายและกระโดดออกมาจากรถบัสทันที เขาเห็นคนบาดเจ็บกำลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและแพรววาคงเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้หน้าที่ของเขาจบลงแล้วแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจ ที่อาการหูดับของจิตติพัฒน์ยังไม่มีท่าทีจะหายไปตอนนี้ซึ่งเด็กหนุ่มยอมรับว่าไม่เคยหูดับยาวนานขนาดนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามจิตติพัฒน์คิดว่าไว้ว่าหากเขากลับมาได้ยินเสียงปกติเมื่อไหร่ คงจะติดต่อหาพวกมงคลพัสและเขาต้องเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ จิตติพัฒน์พบว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตนอยู่ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย ประกอบกับไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องอยู่ที่นี่ เพราะแพรววาปลอดภัยแล้วเขาคงไม่ต้องตามไปถึงโรงพยาบาล ทว่าในวินาทีที่จิตติพัฒน์กำลังก้าวเท้าเดินออกจากบริเวณดังกล่าวและตั้งใจจะให้ฝูงชนค่อย ๆ กลืนเขาหายไปเอง เสียงของแพรววาดังขึ้นในจิตใต้สำนึกอีกครั้งและคำพูดของเด็กสาว ได้ทำให้จิตติพัฒน์ถึงกับหยุดชะงัก [เธอนี่เอง... ในที่สุดฉันก็หาเธอเจอ เจต] สิ้นเสียงของเด็กสาวแล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง จิตติพัฒน์หายจากอาการหูดับพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ❤️❤️❤️❤️ หลังเหตุการณ์ในวันนั้นจิตติพัฒน์แทบไม่มีสมาธิที่จะโฟกัสกับภารกิจตรงหน้าเลย ตอนนี้ทางเบื้องบนอนุมัติไฟเขียวในการออกค้นหาอัญมณีที่ถูกขโมยไป ทีมของร้อยเอกจันฮุนถูกส่งมาในฐานะทีมให้ความช่วยเหลือ ทว่าเนื่องจากสมาชิกในทีมยังพักรักษาตัวอยู่จึงยังไม่สามารถทำภารกิจได้เลยในทันที เบาะแสล่าสุดที่จิตติพัฒน์กับทุกคนได้มาคือกลุ่มคนที่ขโมยอัญมณีเป็นกลุ่มกบฎนำโดย น้ำเขียว ว่ากันว่าเป็นลูกนอกสมรสของพระราชบิดากษัตริย์ฮุนบันอันเกิดจากสนมลับ ร้อยเอกจันฮุนจึงคิดว่าการที่น้ำเขียวขโมยอัญมณีสีฟ้าไป ก็คงเพื่อใช้แสดงอำนาจในความชอบธรรมในการขึ้นครองราชบัลลังภ์ จะให้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาดเพราะในอนาคตต้องเกิดความวุ่นวายภายในประเทศแน่นอน แม้รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหนแต่จิตติพัฒน์ก็ไม่สามารถโฟกัสกับมันได้ เนื่องจากตอนนี้มันมีอีกปมหนึ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเด็กหนุ่มมาก ๆ ซึ่งมันก็คือแพรววารู้แล้วว่าโชลเมทของเธอคือใครนั้นเอง แปลได้ว่าความลับที่เขาตั้งใจจะปกปิดเป็นแตกกระเจิงเพราะตัวของเขาเองทั้งสิ้น ย้อนกลับไปในเหตุการณ์บนรถบัสโดยในตอนนั้นแพรววายังไม่ถึงกับหมดสติ เธอแค่เพียงมึนหัวเพราะถูกกระแทกในวินาทีที่รถพลิกนอนตะแคงข้าง ทุกอย่างเลือนลางไปหมดและเธอก็เริ่มมองเห็นไม่ชัดเพราะอาการมึนหัว แม้จะยังอยู่ในช่วงหูดับแต่เด็กสาวก็พยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แพรววาใช้ทุกอย่างที่มีพยายามส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ จนสุดท้ายเธอก็แทบไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เพราะสติของเธอกำลังจะหมดลงไปเรื่อย ๆ ทว่าทันใดนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังแววเข้ามาในจิตใต้สำนึก เสียงเดียวที่แพรววาจะได้ยินในเวลาที่หูดับ [แพรว...] แล้วจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่มาช่วยปฐมพยาบาลให้ วินาทีนั้นแพรววาได้พยายามที่จะลืมตาแม้จะลืมตาไม่สนิท แต่ก็ไม่ถึงกับมองเห็นไม่ชัดทำให้แพรววาได้พบกับความจริงว่า โชลเมทของเธอไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นยุวชนทหารที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ โลกมันช่างกลมจนน่าฉงนใจยิ่งนักสำหรับเธอแม้อาการหูดับจะหายไป มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกแล้วเพราะตอนนี้แพรววารู้ตัวจริงของโชลเมทแล้ว "แล้วไงต่อละ" มงคลพัสถาม "อะไร" จิตติพัฒน์ขมวดคิ้ว "อย่ามาทำไขสือเจต นายก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร" มงคลพัสพูด "ตอนนี้โชลเมทรู้ตัวตนของนายจนได้ หลังจากที่นายพยายามทำทุกอย่างที่จะไม่พูดคุยกับเธอ ทีนี้เป็นไงล่ะสุดท้ายเธอก็ต้องรู้เข้าสักวัน" จิตติพัฒน์ยังไม่พูดอะไรมากและเดินไปตามถนนคนเดินอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนอาหารในโรงแรมจะไม่ค่อยถูกปากแก๊งภูเขาไฟเสียเลย ทำให้พวกเขาต้องแยกย้ายไปหาอะไรกินเสียหน่อย เหลือแค่เพียงจิตติพัฒน์กับมงคลพัสที่ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรกันดี อาจเพราะเวลานี้ยังไม่มีใครมาตั้งร้านรถเข็นขายอาหาร แดดยังแรงอยู่คงไม่มีใครทนร้อนได้หรอกแถมคนเดินยังน้อยอยู่ สุดท้ายสองหนุ่มไปจบลงที่ร้านบะหมี่แทนเพราะทั้งสองเดินมาได้กว่าสองชั่วโมงแล้ว มงคลพัสยังไม่ล้มเลิกที่จะถามความเห็นของจิตติพัฒน์ว่า จากนี้เขาจะทำอย่างไรต่อในเมื่อแพรววารู้แล้วว่าเขาคือโชลเมท ทว่าตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก ซึ่งมงคลพัสก็ดูออก "ฉัน... ยังไม่อยากคุยเรื่องนี้เท่าไหร่" จิตติพัฒน์ยอมรับ "เออ ไม่คุยก็ไม่คุย ฉันได้แค่หวังละนะ" มงคลพัสพูดขณะกำลังกินบะหมี่อยู่ จิตติพัฒน์ที่ได้ยินก็หันมาขมวดคิ้วมอง "หวัง... นายหวังอะไรวะ มะตูม" "หึ..." มงคลพัสหัวเราะในลำคอ "ฉันแค่หวังว่านายกับเธอไม่เผลอเจอกันโดยไม่ได้นัดหมายนะสิ" ❤️❤️❤️❤️
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD