บทที่หก

2258 Words
คำพูดสุดท้ายของโชลเมทยังคงติดอยู่ในใจของจิตติพัฒน์ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องสนใจด้วย อย่างไรก็ตามสุพิศาลก็พาทั้งกลุ่มมาอยู่ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ เพราะเสียงจ้อแจ้ที่ดังมาจากด้านล่าง แปลว่าคณะนักเรียนที่มาคงจะมีจำนวนไม่น้อย หลังจากที่พากันขึ้นมาชั้นสองแล้วแก๊งภูเขาไฟต่างแยกย้าย ไปดูงานศิลปะในแต่ละโซน โดยภานุวัชร์บอกว่าหากร้อยโทปฏิญญาติดต่อมา ให้ทุกคนกลับมาเจอกันที่บันไดทางขึ้น-ลงของพิพิธภัณฑ์ จิตติพัฒน์ตัดสินใจเดินดูภาพวาดตามลำพัง เขายังไม่คิดจะเล่าในสิ่งที่ได้ยินให้เพื่อนฟัง แต่ความหงุดหงิดที่กำลังลุกโชติอยู่ในใจนี่สิ ที่จิตติพัฒน์ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไม่พอใจขนาดนั้น [บ้าเอ้ย ! เป็นอะไรไปว่ะ] จิตติพัฒน์คิดอยู่ในใจ ระหว่างที่เขากำลังเดินชมภาพวาดไปเรื่อย ๆ เสียงคนเดินขึ้นบันไดก็ดังไม่ไกลจากจุดที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ มันเป็นเสียงนักเรียนไม่กี่คนกำลังเดินคุยกัน จิตติพัฒน์ตัดสินใจเดินแยกออกมาและเดินตรงไปยังอีกโซนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากเสียงพูดคุยดังกล่าว เขาเดินมาอยู่ในภาพถ่ายที่ถูกนำมาใส่ในกรอบรูปอย่างดี แต่ละภาพถ่ายมีป้ายเขียนไว้ว่ามันคือสถานที่ไหนและใครคือคนที่เจ้าของภาพ เขาสะดุดมาที่ภาพถ่ายรูปหนึ่งทางขวามือมันเหมือนเป็นเมืองท่าที่ไหนสักแห่ง มันเป็นภาพถ่ายขาวดำโดยคนที่ถ่ายภาพนี้ไว้มีชื่อว่า ณคุณ วิถีตน ส่วนเมืองท่าที่อยู่ในภาพถ่ายตั้งอยู่ประเทศไนร์ก้า มันมีชื่อเรียกว่า "เมืองไบเดน" ถูกบันทึกว่ามันถ่ายเอาไว้ในวันที่ 19 เดือน 2 ปี 23 ที่ 74 จิตติพัฒน์ชะงักตรงวันที่ดังกล่าว เพราะพ่อของเขาตายหลังวันของภาพถ่ายนี้ได้เพียงสิบวันเท่านั้น เคยมีคนถามกับจิตติพัฒน์ว่าเคยคิดถึงจิดารันต์ไหม คำตอบของเขาคือ ไม่ !... ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้หญิงใจร้ายที่กล้าทรยศหักหลังครอบครัวแบบนั้นด้วย และเขายังเคยสาบานต่อหน้าหลุมศพพ่อด้วยว่า เขาจะไม่มีวันให้อภัยเธอเป็นอันขาดเพราะเธอไม่ใช่แม่ของเขา ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจทอดทิ้งครอบครัวไป ภาพของพ่อในห้องนั่งเล่นก่อนจะจบชีวิตตัวเอง มันได้หวนกลับมาฉายในสมองของเด็กหนุ่มอีกครั้ง สองมือของจิตติพัฒน์ที่ว่างเปล่าก็กำแน่นโดยอัตโนมัติ ไฟแห่งความแค้นและความเกลียดลุกโชนอยู่ในหัวใจของเขา จิตติพัฒน์รู้ดีว่ามันไม่มีวันดับไปจากใจเขาอย่างแน่นอน จนกว่าเขาจะตามล่าสองชู้นี้ให้เจอเสียก่อนและล้างแค้นให้กับพ่อ กอบกู้เกียรติที่พ่อต้องเสียให้สองชู้นี้เรื่องนี้เขาไม่เคยบอกใคร แม้แต่กับเพื่อนที่สนิทด้วยอย่างมงคลพัสเพราะเขาเชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจแน่นอน ระหว่างที่จิตติพัฒน์จมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่หน้าภาพถ่ายขาวดำ เสียงด้านนอกก็ดังขึ้นเป็นเสียงเด็กสาวที่น่าจะอายุไล่เลี่ยเขา ทว่าเสียงของเธอมันเหมือนทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ "ฉันขอเดินดูโซนนี้นะ" เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวผมยาวผูกหางม้าสีดำสวมเสื้อสีขาว ตรงขอบแขนเสื้อกับคอเสื้อจะเป็นแถบสีแดงและสวมกางเกงวอร์มสีขาวมีแถบสีแดง ใบหน้ารูปไข่และมีผิวขาวเหลืองน่าตาสดใสมาก ตรงด้านอกข้างขวามีป้ายชื่อเขียนไว้ว่า "แพรววา" จิตติพัฒน์ยอมรับว่าเขาไม่อาจละสายตาจากเด็กสาวคนนี้ได้เลย แต่เดชะบุญที่เขาได้สติรีบหลบสายตากลับมามองที่ภาพถ่ายอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาอาจโดนมองว่าเป็นไอ้โรคจิตถ้ำมองก็ได้ สักพักเสียงของเพื่อนเธอก็ดังไล่หลังว่า "เดี๋ยวฉันมานะ ไปเข้าห้องน้ำแปปหนึ่ง" จิตติพัฒน์ใช้หางตาเหล่มองดูพบว่าเด็กสาวเจ้าของชื่อ แพรววาไม่ได้มาคนเดียว เขาแกล้งทำเป็นสนใจภาพถ่ายขาวดำตรงหน้าแต่ความจริง เขากำลังแอบฟังเด็กสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกแรงดึงดูดบางอย่างให้ต้องสนใจเด็กสาวอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้ ที่สำคัญเสียงของเธอมันช่างเหมือนเสียงของโชลเมทเหลือเกิน วินาทีนั้นเองที่จิตติพัฒน์หยุดชะงักในความคิด เขาก่นด่าตัวเองในใจว่ากำลังคิดอะไรไร้สาระไปได้ จิตติพัฒน์ตัดสินใจไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว โดยไม่ทันสังเกตเลยว่า เด็กสาวที่เขากำลังสนใจอยู่ก็แอบมองเขาอยู่เหมือนกัน ทั้งสองเดินไปที่โซนห้องถัดไปมันก็เป็นลานกว้างใหญ่ เป็นโซนภาพวาดสีน้ำโดยตรงนี้ถูกใช้ชื่อเรียกว่า "ห้องศิลปะไม่มีขีดกำจัด" จิตติพัฒน์พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตามไปสะกดรอย ทว่าสุดท้ายเขาก็เดินตามเด็กสาวมาจนได้ซึ่งจิตติพัฒน์พยายามอย่างยิ่ง ที่จะแกล้งทำเป็นชมภาพวาดบนผนังโดยเขาเดินอยู่คนละฝั่งกับสองสาว ด้วยความที่ห้องมันค่อนข้างเงียบสนิททำให้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงพูดคุยของอีกฝ่ายได้ จับใจความได้ว่าเด็กสาวนามแพรววาเป็นนักกีฬาประเภทวิ่งของโรงเรียน และกำลังกลุ้มใจกับเรื่องที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาสารภาพบอกชอบ แถมยังคอยตามตื้ออยู่มันทำให้เธออึดอัดพอสมควร เนื่องจากเธอไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่คนนี้เลยนอกจากความเคารพที่มีให้ในฐานะ "รุ่นพี่" "แล้วเธอบอกพี่เขาไปหรือยังล่ะ ว่าไม่ได้คิดแบบที่พี่เขาคิดน่ะ" เพื่อนของเด็กสาวถาม "บอกไปแล้ว แต่... ดูจะกลายเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา" "ยังจะตามตื้ออยู่เหรอ" "ใช่นะสิ ไม่งั้นฉันคงไม่หนักใจแบบนี้หรอก" "นี่ยัยแพรว ฉันถามอะไรเธอได้ไหม" "จะถามอะไร" "ที่เธอบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เสมอแมน เพราะอาการหูดับหรือเปล่า" จิตติพัฒน์หยุดชะงักและหันมามองแผ่นหลังของเด็กสาวตรงหน้า ไม่ผิดแน่เมื่อครู่เขาได้ยินว่าเธอคนนั้นก็มีอาการหูดับเหมือนกับเขา ไม่รู้ทำไมที่จู่ ๆ ก็มานึกถึงประโยคหนึ่งจากรุ่นพี่คนหนึ่งในหน่วยรบพิเศษว่า "เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างถูกจัดสรรเอาไว้ตามจังหวะและเวลาของมัน" ทันใดนั้นเองระหว่างที่จิตติพัฒน์กำลังยืนมองสองสาว เขารับรู้ถึงอันตรายบางอย่างได้และเมื่อเขาเงยหน้ามองเพดาน โคมไฟที่อยู่เหนือหัวของพวกเธอก็ร่วงหล่นลงตรงจังหวะที่เด็กหนุ่มซึ่งรับรู้ถึงอันตราย ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปดึงสองสาวออกจากโคมไฟที่หล่นลงมากระแทกกับพื้นได้ทันเวลาพอดี สองนาทีต่อมาเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นหลังจากที่โคมไฟกระแทกแตกบนพื้น ไม่นานเจ้าหน้าที่สามคนก็วิ่งมาที่เกิดเหตุในทันที จิตติพัฒน์หันมาทางเด็กสาวทั้งสองว่าได้รับบาดเจ็บไหม แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ถึงกับชะงักเพราะตอนนี้เขาพบว่า กำลังอยู่ในระยะประชิดกับเด็กสาวนามแพรววา มันใกล้ชะจนอีกนิดนึงหน้าเขาได้ชนกับหน้าเธอแน่ เสียงหัวใจที่เต้นแรงรัวเร็วทำให้จิตติพัฒน์ต้องรีบถอยห่างจากเธอในทันที "ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ" เขาถามอย่างสุภาพ "ไม่คะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเราสองคนไว้" เธอกล่าว "ด้วยความยินดีครับ" สามเจ้าหน้าที่ได้ทำการขอโทษขอโพยที่ไม่ระมัดระวังเรื่องโคมไฟดังกล่าว และมีการประสานงานกับทีมช่างเพื่อมาจัดการปัญหาดังกล่าว ด้านฝั่งของจิตติพัฒน์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บมาก ประกอบกับเขาได้ยินเสียงโทรจิตที่ถูกส่งมาจากภานุวัชร์ ทำให้เด็กหนุ่มเดินออกจากโซนนี้ในทันที ❤️❤️❤️❤️ มงคลพัสพบว่าตอนนี้ได้เผลอแยกตัวจากศรศิลป์มาตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขาอยู่คนเดียวในโซนภาพวาดสีน้ำคนเดียว ครั้นจะออกไปตามหาก็ใช่ว่าจะเจอเพราะมองไปทางไหน เขาก็เจอแต่กลุ่มเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษา สุดท้ายเด็กหนุ่มตัดสินใจนั่งอยู่บนโซฟาที่ทางพิพิธภัณฑ์เตรียมไว้เพื่อให้คนที่เข้ามาเสพงานศิลป์ นั่งมองภาพวาดต่าง ๆ ได้ตามสะดวกซึ่งมงคลพัสยอมรับว่า การได้นั่งมองภาพวาดแบบนี้นาน ๆ มันน่าสนใจตรงไหนหรือ ครู่หนึ่งเขาก็อยากไปตามหาจิตติพัฒน์แต่ใจหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่า จิตติพัฒน์อาจจะยังอยู่ในช่วงหูดับซึ่งมันทำให้มงคลพัสไม่สามารถสื่อสารผ่านโทรจิตได้ เด็กหนุ่มโกรธตัวเองที่ดันเผลอปล่อยให้เพื่อนอยู่คนเดียว มงคลพัสไม่แน่ใจว่าหากใช้วิธีธรรมดาคือการใช้โทรศัพท์ส่งข้อความไป มันอาจจะทำให้เพื่อนเขาติดต่อกลับมาก็ได้ เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็คว้าโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะพบว่ามีข้อความส่งมาเป็นข้อความจากปรรณรักผู้เป็นแม่ที่เขียนไว้ว่า "ขอให้โชคดีในการทำภารกิจ ปลอดภัยจากอันตรายนะลูก" "ขอบคุณครับแม่" เขาพึมพำเล็กน้อยและเริ่มส่งข้อความหาจิตติพัฒน์เพื่อบอกให้มาเจอที่โซน G ของชั้นสอง ทว่าพอหลังจากที่มงคลพัสส่งข้อความหาจิตติพัฒน์เสร็จแล้ว สายตาของเขาก็ดันไปสบตาเข้ากับสายตาของเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งมากับคณะนักเรียนและน่าจะโตกว่าเขา เธอเป็นเด็กสาวไว้ผมยาวเลยหัวไหล่สีน้ำตาลสวมชุดเหมือนจะเป็นชุดพละของโรงเรียน ดวงตาสีดำที่มีประกายเหมือนคราบหยดน้ำ บวกกับโครงหน้ารูปไข่และผิวขาวนวลเหมือนแสงนีออนอ่อน ๆ ก็ทำให้ดูมีเสน่ห์น่ามองเข้าไปอีกซึ่งมงคลพัสเป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่อาจละสายตาจากเธอได้เลย สายตาของเขามาหยุดลงที่ป้ายชื่อเขียนว่า "พิมพ์พรรณ" เสี้ยววินาทีที่เขามัวแต่มองชื่ออีกฝ่าย จู่ ๆ ก็มีนักเรียนชายสองคนวิ่งมาชนมงคลพัสที่นั่งบนโซฟา ส่งผลให้เขาล้มลงไปนอนราบกับโซฟาพร้อมกับแว่นตาที่หล่นลงพื้น ตรงจังหวะที่บุญทรัพย์กับรพีธรรมเข้ามาเห็นพอดีจึงรีบเข้าไปช่วยเด็กหนุ่ม ด้านฝั่งสองนักเรียนตัวการถูกอาจารย์และเจ้าหน้าที่ตำหนิเรียบร้อยแล้ว แต่ที่สองคนนี้กังวลไม่ใช่คำตำหนิหากแต่เป็นความกังวลเมื่อพบว่าคนที่พวกเขาชนไปคือยุวชนทหารชาวฟรอนเทียร์ จึงรีบพากันขอโทษมงคลพัสกันยกใหญ่ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสามต่างก็ไม่เข้าใจว่า จะมากลัวอะไรพวกเขานักหนา "มะตูม นายได้รับบาดเจ็บไหม" รพีธรรมถาม "ไม่" มงคลพัสตอบ "แต่แว่นตาฉันนะสิ หายไปแล้ว" "นายนั่งอยู่นี่เลย ฉันกับเรือใบจะหาแว่นตาให้" บุญทรัพย์บอก "มันคงหล่นไม่ไกลหรอกมั่ง" ระหว่างที่รพีธรรมกับบุญทรัพย์กำลังมองหาแว่นตาให้กับมงคลพัส เด็กสาวเจ้าของนามพิมพ์พรรณก็เดินมาหามงคลพัสและยื่นแว่นตามาให้ "นี่ของเธอใช่ไหม" เธอถาม "ใช่ครับ ของผมเอง" มงคลพัสรับแว่นตาจากเด็กสาวมาสวมใส่ตามเดิม "อ่า ขอบคุณมากครับพี่" "ยินดีจ้า" เธอยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หากแต่รอยยิ้มนั้นมันทำให้มงคลพัสเกือบหยุดหายใจ เขาตาค้างไปครู่หนึ่งเพราะพอได้เห็นเธอในระยะใกล้มาก ๆ เด็กหนุ่มยอมรับว่าถึงเขาจะมีเพื่อนเป็นยุวชนทหารหญิงก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงใจเต้นกับเธอที่อยู่ตรงหน้าเขา เด็กสาวเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของเธอ โดยที่มงคลพัสยังคงมองตามแผ่นหลังของเธออยู่ รพีธรรมสังเกตเห็นว่าเพื่อนดูแปลกไปจึงสะกิดหัวไหล่เชิงเรียกสติ และมันก็ได้ผลมงคลพัสกลับมามีสติอีกรอบ พร้อมกับขมวดคิ้วฉงนใจกับอาการที่ตัวเองเป็นอยู่ น่าเสียดายที่เขาคงไม่ได้หาคำตอบเร็ว ๆ นี้เนื่องจากสุพิศาลได้เดินเข้ามาสมทบ พร้อมแจ้งว่าร้อยโทปฏิญญาสั่งให้ไปรวมพลที่งานจัดแสดงอัญมณีโดยด่วน พวกเขาจึงไม่รอช้ารีบพากันเดินไปที่บันไดเพื่อลงไปยังชั้นล่าง ที่ตอนนี้พวกภานุวัชร์กำลังรออยู่ตรงประตูทางออกแล้ว มงคลพัสแอบหันมามองเด็กสาวผู้เก็บแว่นตาของเขาเมื่อครู่ ตอนนี้เธอไม่ได้หันมามองเขาอีกแล้วเด็กหนุ่มจึงเหลียวหันหลังเดินไปที่บันไดทันที "ชื่อพิมพ์พรรณงั้นเหรอ ชื่อน่ารักเหมือนกันแฮะ" ❤️❤️❤️❤️
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD