บทที่เจ็ด

2491 Words
วันนี้ที่โรงเรียนของแพรววาได้พานักเรียนทุกคนมายังพิพิธภัณฑ์ศิลปะประจำเมือง สีหน้าของเพื่อนแต่ละคนไม่ได้มีความรู้สึกสนุกหรือตื่นเต้นเลย มันก็เป็นเพราะอาจารย์ที่สอนวิชาศิลปะให้การบ้านเกี่ยวกับที่นี่ จึงกลายเป็นการทัศนศึกษาเพื่อหาข้อมูลในการทำการบ้านไปเสียอย่างนั้น ระหว่างที่กำลังเดินทางมายังพิพิธภัณฑ์ แพรววาตัดสินใจเล่าเรื่องอาการหูดับให้กลุ่มเพื่อนสนิทฟัง แน่นอนว่าหยาดรุ้งดูจะตื่นเต้นมากที่สุดเพราะล่าสุดพี่สาวของเธอ หยาดทิพย์ พี่สาวของเธอก็เหมือนจะเจอโชลเมทแต่เป็นในรูปแบบผ่านความฝัน ส่วนนาถชญากับคติยาก็อยากรู้ว่าโชลเมทของแพรววาเป็นชายหรือหญิง ทว่าทั้งสองก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อแพรววาเล่าต่อว่า แม้เธอจะมีอาการหูดับแต่โชลเมทกลับไม่มีท่าทีจะอยากคุยกับเธอเลย เรียกได้ว่าแทบจะไม่ยอมให้แพรววาได้ยินเสียงด้วยซ้ำ ราวกับอีกฝ่ายไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเด็กสาวอย่างไรอย่างนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะตามปกติโชลเมทจะขานรับกันและกันไปแล้ว "หรือโชลเมทของยัยแพรวจะเป็น... เกย์" นาถชญาพูด "ไปกันใหญ่แล้วน้ำชา บางทีโชลเมทอาจจะยังไม่พร้อมก็ได้" อนัญลักษณ์แสดงความคิดเห็น "ไม่พร้อม... แล้วไม่พร้อมเรื่องอะไร" ยุวดีถามบ้าง "แค่ส่งเสียงออกมาก็ได้มั่ง เว้นเสียโชลเมทนั่นจะเป็นใบ้" หยาดรุ้งตีแขนของยุวดีเชิงตำหนิทำเอาอีกฝ่ายต้องลูบแขนตัวเอง "ฉันคิดว่าเขาอาจจะแค่ยังไม่อยากคุยกับยัยแพรวก็ได้" มณีอรออกความเห็นบ้าง "ทำไมล่ะ ยัยแพรวออกจะน่ารักเสียงก็หวาน ขนาดพี่เสมอแมนยังชอบเลย" คติยาพูดบ้าง แพรววาหันขวับมามองคติยาด้วยสายตาเชิงดุไม่พอใจ คติยาจึงต้องรีบแก้ต่างทันทีว่า "โธ่ยัยแพรวเอ้ย ต่อให้ฉันไม่พูดคนอื่นเขาก็พูดอยู่ดีย่ะ" ฝั่งอนัญลักษณ์ก็พูดเสริมด้วยว่า "เรื่องที่พี่เสมอแมนชอบเธอน่ะ ชมรมของฉันก็พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน" แพรววาที่นั่งฟังก็ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อยและหันไปมองนอกหน้าต่าง พลางนึกถึงตอนที่เสมอแมนเดินมาสารภาพบอกชอบเธอ ซึ่งเป็นช่วงหลังซ้อมกีฬาเพื่อเตรียมที่จะลงแข่งขันในสามเดือนข้างหน้า ตอนแรกแพรววายังไม่ให้คำตอบเพราะยังตกใจที่รุ่นพี่ที่เธอเคารพมาก ๆ กลับมารู้สึกเกินกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ทว่าเธอได้ให้คำตอบแก่อีกฝ่ายไปแล้วว่าเธอไม่อาจตอบตกลงที่จะคบหาได้ มันควรจะจบแค่นี้หากไม่ใช่เพราะเสมอแมนเลือกที่จะใช้ "ลูกตื้อ" ในการจะชนะใจเด็กสาวให้ได้ แพรววาแทบอยากจะกรี๊ดใส่หน้ารุ่นพี่มาก แถมกลุ่มเพื่อนเสมอแมนมาปล่อยเรื่องว่าเธอกับเสมอแมนกำลังคุยกันอยู่ไปทั่ว เธอไม่พอใจอย่างมากจึงไปบอกผ่านผู้จัดการทีม ภูษณุ ให้ช่วยพูดกับกลุ่มเสมอแมนว่าอย่าสร้างข่าวลือให้เธอเสียหาย ถึงแม้ข่าวลือจะเริ่มซาลงแต่แพรววายังคงตกเป็นเป้าสายตาอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มของ เบลล่า ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าเบลล่าแอบชอบเสมอแมนมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้นแล้ว แต่เสมอแมนก็ไม่เคยแหล่ตามองเบลล่าเลยสักครั้ง พอเธอรู้ว่าเสมอแมนชอบแพรววาเลยทำให้เธอแสดงความไม่เป็นมิตรชัดเจน นี้ถือว่าเป็นความวุ่นวายที่เเพรววารำคาญอย่างมาก เด็กสาวนั่งเหม่อตลอดการเดินทางจนกระทั่งเธอได้ยินเพื่อนบนรถพูดว่า "เฮ้ย ! นั่นใช่ยุวชนทหารหรือเปล่า" ได้ยินแบบนั้นทุกคนบนรถต่างก็มุ่งความสนใจไปยังด้านนอก รวมทั้งแพรววาด้วยจึงพบว่าตอนนี้รถกำลังลงจอดลงที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแล้ว ทว่าสิ่งที่ดึงความสนใจของเด็กสาวคือกลุ่มยุวชนทหารชาวฟรอนเทียร์ต่างหาก ตามปกติพวกเธอจะไม่ค่อยพบเห็นยุวชนหทารเท่าไหร่เพราะโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในค่ายมากกว่า และคนที่เธอสะดุดตามากที่สุดคือยุวชนทหารที่ดูจะนิ่ง ๆ หน่อย และกำลังยืนกอดอกเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียว ขณะที่เพื่อนในกลุ่มของเขาก็กำลังสนใจมายังคณะนักเรียนที่มาทัศนศึกษา "น่ารักจัง" แพรววาพึมพำออกมาก่อนจะพบว่าจู่ ๆ เสียงรอบตัวของเธอก็เงียบหายไป ราวกับมีใครหยิบรีโมทมาลดเสียงจนเงียบสนิท นาทีนั้นเองที่เด็กสาวรู้ในทันทีว่า อาการหูดับกำเริบอีกแล้วเธอปิดปากของตัวเองอัตโนมัติ เธอไม่แน่ใจว่าโชลเมทจะได้ยินในสิ่งที่เธอพูดไปหรือไม่ ครู่ต่อมา อนัญลักษณ์เดินมาสะกิดหัวไหล่ของแพรววาเพื่อที่จะบอกให้ลงรถ แพรววาพยายามที่จะอ่านปากของเพื่อนก็ทำให้อนัญลักษณ์รู้ในทันทีว่า อีกฝ่ายมีอาการหูดับ เธอจึงเขียนข้อความลงในโทรศัพท์และโชว์ให้แพรววาอ่าน ใจความเขียนว่า "ลงจากรถได้แล้ว อาจารย์เรียกให้เข้าแถว" กลุ่มแพรววาพากันลงมาจากรถเพื่อเข้าแถว พอดีกับกลุ่มนักเรียนที่ลงจากรถบัสด้านหลังเป็นรถที่กลุ่มเบลล่าพึ่งลงมา แพรววาตัดสินใจจะไม่สนใจสายตาไม่เป็นมิตรของเบลล่า กับเสมอแมนที่มากับกลุ่มนักเรียนโตเธอยิ่งไม่อยากมองเข้าไปใหญ่ ที่แย่ยิ่งกว่าคือแพรววาต้องทำตัวเป็นปกติทั้งที่ยังอยู่ในอาการหูดับ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ยอมอยู่ห่างอนัญลักษณ์เด็ดขาด แพรววาได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้มีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้นเลย ทว่าการที่กลุ่มเบลล่าเดินตรงมายังกลุ่มเธอ ตอกย้ำให้รู้ว่าการภาวนามันไร้ผลแต่ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะมณีอรกับอนัญลักษณ์พร้อมกันยืนบังแพรววาไว้ ดีกรีนักกีฬาศิลปะการต่อสู้สองคนย่อมทำให้กลุ่มเบลล่าไม่กล้าทำอะไร "แหม ปกป้องกันจังนะ" เบลล่าพูดอย่างไม่เป็นมิตรสายตาจ้องไปยังแพรววา "อย่าดีกว่านะเบลล่า" อนัญลักษณ์เตือน "เธอคงไม่อยากถูกมองไม่ดีจากพี่เสมอแมนหรอก จริงไหม" ใบหน้าของเบลล่ากลายเป็นสีแดงและมองหน้าอนัญลักษณ์ตาแข็ง อย่างที่ใคร ๆ โดยเฉพาะในชั้นมัธยมปลายปีห้าต่างรู้ดีว่า เบลล่าชอบเสมอแมนมากและพยายามทำตัว "ดูดี" เพื่อให้อีกฝ่ายหันมาสนใจ ทว่าเสมอแมนก็ยังคงทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ สองนาทีต่อมาหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของเบลล่าสังเกตเห็นว่าอาจารย์กำลังมองมาทางนี้ จึงรีบสะกิดบอกให้เบลล่าถอยออกมาก่อนซึ่งเด็กสาวผมยาวสีบลอนด์ทอง ต้องถอยห่างออกมาอย่างช่วยไม่ได้เธอพูดทิ้งท้ายแค่ว่า "ทำไมคนอย่างเธอ พี่เขาต้องสนใจด้วย" แน่นอนว่าแพรววาไม่ได้ยิน อนัญลักษณ์ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับแพรววา ทว่าสุดท้ายยุวดีก็แอบส่งข้อความเชิงแซวใส่แพรววา ซึ่งพอแพรววาหันมาอ่านข้อความจากยุวดีก็ถึงกับมองตาเขียวใส่ เธอพูดเสียงดังออกมาทั้งที่หูดับว่า "ฉันไม่ได้ชอบเขาซะหน่อย !" เสี้ยววินาทีต่อมาแพรววาก็กลับมาได้ยินปกติอีกครั้ง และเผลอหันมาเห็นสีหน้าของเสมอแมนที่มองมาทางเธอ ซึ่งแพรววาเลือกที่จะไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไง และเลือกที่จะเดินตามกลุ่มอนัญลักษณ์เข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์ ❤️❤️❤️❤️ หลังจากที่นัดรวมพลมากันแล้วร้อยโทปฏิญญาจำต้องชี้แจงว่า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างและกระทบความสัมพันธ์สองประเทศ ทีมของร้อยโทปฏิญญาจำต้องหลีกทางให้ทีมร้อยเอกฟรีโกชินทำหน้าที่แทน โดยแลกกับทางรัฐบาลแสนปุระออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับแก๊งภูเขาไฟในการเที่ยวและกินอยู่ในเมืองนี้ จนกว่าจะครบเจ็ดวันหกคืนตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และร้อยโทปฏิญญาได้ยื่นเงื่อนไขอีกข้อแก่ร้อยเอกจันฮุนว่า ถ้าหากเกิดเหตุร้ายบางอย่างที่แม้แต่ทีมร้อยเอกฟรีโกชินหรือทีมของตัวร้อยเอกจันฮุน ไม่สามารถจัดการกับมันได้ภารกิจนี้จะต้องกลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของทีมร้อยโทปฏิญญาอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น ร้อยเอกจันฮุนตอบตกลงแต่สีหน้าอันมั่นใจของอีกฝ่าย ก็ทำให้พงศ์ดนัยไม่ชอบหน้าร้อยเอกจันฮุนมากขึ้นไปอีก รพีธรรมจึงอาสาพาเพื่อนผู้อยู่ในอารมณ์ร้อนไปผ่อนคลายเสียหน่อย ส่วนจิตติพัฒน์กับมงคลพัสตัดสินใจไปร้านหนังสือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากงานจัดแสดงอัญมณี สองยุวชนทหารพากันเดินมายังร้านหนังสือ มงคลพัสไม่แน่ใจว่าเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาหรือเปล่า เพราะข้างในร้านแทบไม่มีคนเลยแม้แต่เจ้าของร้าน จิตติพัฒน์คิดว่าน่าจะอยู่หลังร้านมากกว่าและประกอบกับมีเสียงสัญญาณตรงประตูดัง เจ้าของร้านน่าจะรู้แล้วว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน "นายมาซื้อหนังสืออะไรน่ะ มะตูม" จิตติพัฒน์ถามด้วยความสงสัย "ปลูกต้นไม้" มงคลพัสตอบ จิตติพัฒน์หันขวับมามองเพื่อนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง "ปลูกต้นไม้... ในค่ายเนี่ยนะ" จิตติพัฒน์ถาม "เปล่า ฉันจะซื้อไปฝากแม่ฉันต่างหากเล่า" มงคลพัสตอบ "แม่ฉันกำลังจะทำสวนน่ะ เลยฝากให้ฉันหาหนังสือเกี่ยวกับการดูแลต้นไม้ แม่คงอยากหาเวลาว่างทำจะได้ไม่ฟุ่งซ่าน" จิตติพัฒน์พยักหน้าเข้าใจและจำได้ว่าพันโทมนต์ธนัท ถูกส่งไปทำภารกิจที่ต่างบ้านต่างเมืองในอีกสามวัน บางทีการมีกิจกรรมยามว่างเอาไว้ผ่อนคลายก็อาจช่วยปรรณรักได้พอสมควร ระหว่างที่สองยุวชนทหารกำลังมองหาหนังสือกันอยู่ เสียงสัญญาณตรงประตูดังขึ้นอีกครั้งและเมื่อพวกเขามองไปที่ทางเข้าร้าน มงคลพัสถึงกับชะงักและเหมือนเขาจะเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านหนังสือเป็นพลเรือนสองคนซึ่งจิตติพัฒน์จำเครื่องแบบได้ว่า เป็นนักเรียนที่มาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ส่วนมงคลพัสยืนมองที่เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเธอคือคนที่เก็บแว่นตาให้กับเขา ใครจะไปคาดคิดว่าจะได้เจอกันอีก โชคดีที่สองสาวไม่เห็นว่าพวกเขาแอบมองอยู่ จึงรีบหันหลังกลับและเริ่มมองหาหนังสือกันต่อ แต่ถึงจะทำเป็นมองหาหนังสือตามชั้นต่าง ๆ มงคลพัสก็แอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่ายไปด้วย ดูเหมือนว่าเด็กสาวเจ้าของชื่อ "พิมพ์พรรณ" กำลังมองหาหนังสือที่เกี่ยวกับทหาร "อร เธอได้ยินไม่ผิดแน่นะ" พิมพ์พรรณหันมาถามเพื่อนสนิทที่กำลังมองหาหนังสืออยู่ "ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย" เอมอรตอบและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา "ต้องขอบคุณอาการหูดับเพราะมันทำให้ฉันได้ยินทุกอย่างชัดเจนมาก" "แปลกดีนะ ฉันจำได้ว่าเธอบอกว่าไม่ชอบพวกทหารนี่" พิมพ์พรรณว่า จู่ ๆ ใบหูของเอมอรก็กลายเป็นสีชมพูซึ่งโชคดีที่พิมพ์พรรณไม่ทันสังเกตเห็น เธอจึงบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นในทันที "เรื่องของฉันไม่ต้องสนใจหรอก สนใจเรื่องยัยแพรวน้องสาวเธอดีกว่านะ ได้ข่าวมาว่าโดนหนุ่มเนื้อหอมหมายเลขหนึ่งบอกชอบด้วยนี่" สีหน้าของพิมพ์พรรณเปลี่ยนไปทันทีเมื่อนึกถึงเสมอแมน "หยุดพูดเรื่องอีตานั่นเถอะอร ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ายัยแพรวไม่ได้ชอบก็ยังหน้าอิฐหน้าปูนตามตื้ออยู่ได้ ทุกอย่างเลยวุ่นวายไปหมดเลยตอนนี้ยัยแพรวคงกลายเป็นศัตรูของนักเรียนหญิงทั้งโรงเรียนแน่ ๆ" พอพูดถึงตรงนี้พิมพ์พรรณก็สังเกตเห็นสีหน้าของเอมอรแปลก ๆ "เป็นอะไรหรือเปล่า" เอมอรกำลังจะอ้าปากตอบแต่เจ้าของร้านก็ได้เข้าขัดจังหวะพอดี ทำให้เอมอรตัดสินใจรีบหยิบหนังสือที่ตัวเองต้องการเพื่อให้เจ้าของร้านคิดราคา ด้านฝั่งของมงคลพัสกลับรู้สึกกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่อยากให้เธอไป จิตติพัฒน์หยิบหนังสือเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้มาสองเล่ม "มะตูม นายคิดว่าแม่นายอยากได้แบบไหนเหรอ" มงคลพัสหันขวับมาเห็นเพื่อนถือหนังสือพอดี เขาคว้าทั้งสองเล่มมาจากมือของจิตติพัฒน์ และรีบเดินมายังเคาน์เตอร์ของร้านเพื่อรอชำระเงิน จิตติพัฒน์ยืนมองท่าทางของเพื่อนด้วยความฉงนใจ แต่มงคลพัสไม่สนใจตอนนี้เขาแค่รอให้สองสาวชำระค่าหนังสือก่อน เสียงหัวใจเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะกำลังทำให้มงคลพัสแน่นหน้าอกพอสมควร เขาเกิดสองจิตสองใจขึ้นมาว่าจะทักทายเธอหรือเลือกที่จะเงียบดี ระหว่างที่มงคลพัสกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จึงไม่ทันสังเกตว่าพิมพ์พรรณได้หันมาเห็นเขาพอดี "อ้าวเธอนี่เอง" เสียงทักของเด็กสาวดึงสติของมงคลพัสกลับมาทันที "ครับ.. ผมเหรอ" เขาเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกและไม่กล้าสบตากับเธอ จึงแกล้งทำเป็นว่ากำลังทำความสะอาดเลนแว่นตา "มาซื้อหนังสือเหรอ" เธอถามต่อ "ใช่ครับ" บทสนทนาของทั้งสองยุติลงเมื่อเสียงของเจ้าของร้านแทรกขึ้นมา "เรียบร้อยแล้วครับ" ส่งผลให้เอมอรจูงมือพิมพ์พรรณออกไปจากร้านซึ่งคำพูดสุดท้ายของเธอที่พูดกับมงคลพัสคือ "ระวังอย่าทำแว่นหายอีกล่ะ" มงคลพัสยืนแข็งเป็นรูปปั้นพร้อมมองแผ่นหลังของเด็กสาวจนหายลับไปจากสายตา จิตติพัฒน์ที่เดินตามมาทีหลังก็ได้ยืนเกาหัวว่าเพื่อนเขาเป็นอะไรไป แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรมากจึงตัดสินใจทำหน้าที่ชำระค่าหนังสือให้มงคลพัส พร้อมชักชวนเพื่อนที่เหมือนสติจะยังไม่กลับมา "ไปหาพวกหินกันเถอะ" ทันใดนั้นในจังหวะที่จิตติพัฒน์กับมงคลพัสกำลังจะเดินออกจากร้าน สายตาของจิตติพัฒน์ก็ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่นิ้วนางมือขวาของมงคลพัส ❤️❤️❤️❤️
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD