บทที่ 5 พบกันอีกครา
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง รอยยิ้มของนางมีความเศร้าอยู่ไม่น้อย
ชาติแล้วนางวิ่งตามเขาแทบตาย ทนยอมปีนขึ้นเขาเพื่อตามถ่ายรูปเขา บางครานางอยากให้เขาได้ลองชิมอาหารที่นางทำเองสักมื้อแต่ทว่ากลับไม่ได้ นางทำได้เพียงมองเขาเป็นดวงดาวอยู่บนฟ้า นางหลงรักเขาจนหมดหัวใจ แต่ทว่าเขาและนางราวกับว่าอยู่กันคนละโลก โลกของเขาช่างงดงามเปล่งประกายเป็นถึงดาราดัง แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงพนักงานบริษัทบ้านจนคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อย้อนเวลากลับมาในโลกอดีต นางได้พบเจอเขาอย่างไม่คาดคิด แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกเหลือเกิน เขาเป็นถึงจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงสตรีหม่ายที่ถูกสามีมอบหนังสือหย่า!!
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"พี่ใหญ่ ข้าอยากเดินเล่นแล้ว"
"ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด"
ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้า ก่อนจะเดินตามไป๋จินเซียงไป รอบๆด้านนั้นมีของกินของเล่นมากมาย นางรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ไป๋จินเซียงมองน้องสาวตนที่ร่าเริงก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรน้องสาวไม่ชอบมาเดินเล่นในสถานที่เช่นนี้ นางบอกว่ามันเป็นสถานที่ที่สำหรับพวกไพร่เดิน นางไม่มีทางมาเดินเป็นแน่ แต่วันนี้ไป๋เหมยเหม่ยกลับตื่นเต้นและยิ้มแย้ม
ไป๋เหมยเหม่ยหันมายิ้มให้พี่ชายของตนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"จ้องข้าทำไมกัน"
"ไม่มีอันใด เพียงแค่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเดินในสถานที่เช่นนี้"
"หืม แต่ก่อนข้าไม่เคยมาเลยหรือ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่รู้ว่าตนเองเอ่ยถามสิ่งใดออกไป ก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ย
"เอ่อ ข้าศีรษะกระแทกอย่างแรง จนจำสิ่งใดไม่ได้แล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่"
"พี่รู้ เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าอยากถามสิ่งใดก็ถามเถิด หากพี่ตอบได้พี่จะตอบเจ้า การที่เจ้าเป็นเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันน่ารักน่าชังยิ่งนัก"
"จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นพี่ใหญ่วางใจได้เลย ข้าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป โอะ นั่นคือสิ่งใด"
ไป๋เหมยเหม่ยชี้มือไปที่ร้านๆหนึ่ง ไปจินเซียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"มันคือนกหวีดดินเหนียว"
"นกหวีดดินเหนียว?"
"ใช่แล้ว"
"ข้าอยากได้จังเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยจบก็เดินตรงไปที่ร้านนกหวีดดินเหนียวมาหนึ่งอัน ก่อนจะทดลองเป่า นางพบว่าเสียงมันดังไม่แพ้นกหวีดจากโลกปัจจุบันของนางเลย จึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
สองพี่น้องพากันเดินเล่นจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามบ่าย ไป๋เหมยเหม่ยนั้นอิ่มจนแน่นท้องไปหมด นางแวะชิมอาหารทุกร้าน จนกระทั่งมาถึงร้านขายหม้อไฟเล็กๆร้านหนึ่ง นางจึงชวนไป๋จินเซียงเข้าไปลองชิม ไป๋เหมยเหม่ยเห็นว่าที่ร้านไม่ได้มีวัตถุดิบอันใดมากนัก อีกทั้งคนขายก็เมาสุราอยู่ตลอดเวลา รสชาติก็ไม่เป็นที่ถูกใจ นางกินไปเพียงไม่กี่คำก็พาไป๋จินเซียงเดินออกมา
"พี่ใหญ่ หากข้าขายหม้อไฟและอาหารอื่นๆด้วย ข้าจะต้องขายดีเป็นแน่"
"เหมยเหม่ย เจ้าแน่ใจแล้วหรือ เจ้าไม่เคยทำงานหนัก เจ้าไม่ต้องทำหรอก ไม่ต้องสนใจผู้ใด"
"พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำอยากเพราะสนใจคำพูดผู้ใด ข้าไม่สนอยู่แล้ว"
"เหมยเหม่ยพี่คิดว่า เจ้ามาเหมือนเดิมจริงๆ"
ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง นางรู้สึกว่าหากไม่หาทางแก้ต่างในความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนางเช่นนี้ ไป๋จินเซียงก็ยังคงจะสงสัยในตัวนางไม่เลิก เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยกับพี่ชายตนทันที
"พี่ใหญ่ คืออย่างนี้นะเจ้าคะ ตอนที่ข้าสลบไป ข้าฝันว่าข้าได้ย้อนเวลาไปในอีกโลกหนึ่ง เห็นผู้คนพูดภาษาประหลาด กินอาหารก็ไม่ค่อยเหมือนพวกเรา ข้า เอ่อ ข้าจึงจำเขามา อีกอย่างก็คือ การผ่านความตายมาครั้งหนึ่งทำให้ข้าคิดได้เจ้าค่ะ ข้ากลัวยิ่งนัก"
"เจ้าไปปรโลกมาหรือ"
ไป๋เหมยเหม่ยไม่รู้จะตอบสิ่งใด นางยิ้มแหยๆพลางทำหน้าไม่ถูก
"เหมยเหม่ย โชคดีเพียงใดที่เจ้ารอดกลับมา พี่สงสารเจ้ายิ่งนัก เจ้าไม่ต้องกลัวนะต่อไปนี้พี่จะปกป้องเจ้าเอง"
ไป๋จินเซียงยื่นมือมาลูบศีรษะไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยีก่อนจะเอ่ย
"ข้าก็กลับมาแล้วอย่างไรเล่า ถึงจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่ข้าก็คือไป๋เหมยเหม่ยน้องสาวสาวของพี่ใหญ่นะเจ้าคะ"
"พี่เชื่อ ต่อให้เป็นวิญญาณมาสิงเจ้า พี่ก็เชื่อเจ้า"
ไป๋เหมยเหม่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ผีที่ใดงามเช่นนี้เล่าเจ้าคะ"
"นั่นสิ"
สองพี่น้องเดินสนทนนากันจนมาถึงรถม้า ระหว่างนั้นไป่เหมยเหม่ยก็ได้พบกับคนผู้หนึ่งเข้า จิตใจของนางพลันสั่นไหวขึ้นมาไม่น้อย แต่ทว่าจำต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
"อาจิน เจ้ามาเดินเที่ยวตลาดหรือ"
"อาเหยียน เจ้าเพิ่งออกมาจากจวนหรือ"
จางเหยียนเหวยยิ้มให้ไป๋จินเซียงเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกเขามองก็ทำหน้าไม่ถูก นางรีบก้มหน้าลงทันที ไป๋จินเซียงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
“นี่น้องสาวของข้าเอง ยามนี้นางเติบโตแล้ว เจ้าจำได้หรือไม่”
“อืม จำได้ ไม่พบกันหลายปี นางดูสูงขึ้นไม่น้อยเลย”
ไป๋เหมยเหม่ยเงยหน้ามามองจางเหยียนเหวยคราหนึ่ง ที่แท้เขาและนางรู้จักกันเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาเลยเล่า
ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าน้องสาวตนจ้องมองจางเหยียนเหวยด้วยแววตาสงสัย จึงเอ่ยกับนาง
“เหมยเหม่ย เจ้าคงจำอาเหยียนไม่ได้สินะ ห่างกันไปนานหลายปี เจ้าคงไม่คุ้นเคยกับอาเหยียนแล้ว”
ไป๋เหมยเหม่ยไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย
จางเหยียนเหวยยิ้มออกมาคราหนึ่ง เขากับไป๋จินเซียงเป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากอายุใกล้เคียงกัน หลังจากบิดาเขาผู้เป็นอดีตจวิ้นอ๋องตายจากไป เขาก็มีเสด็จลุงซึ่งก็คือฝ่าบาทองค์ปัจจุบันคอยเลี้ยงดู เสด็จลุงฮ่องเต้ให้ราชครูหยางมาเป็นอาจารย์สอนตำราเขา อีกทั้งยังให้ไป๋จินเซียงมาร่วมเป็นสหายเล่าเรียน นับแต่นั้นเขากับไป๋จินเซียงจึงสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เขาจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยอีกครา พลันนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยวัยแปดขวบที่กำลังทุบตีบ่าวไพร่อยู่ในจวนด้วยความโมโห ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
นางมารน้อยผู้นั้นเติบโตเป็นสาวแล้วงดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ
แม้แต่ตอนที่ถูกสามีมอบหนังหย่านางยังไม่สะทกสะท้าน ช่างน่าสนใจไม่น้อยเลย
ก่อนจะเข้าสู่สนามรบ เขามักไปเที่ยวเล่นที่จวนตระกูลไป๋อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยได้สนทนากับนางสักประโยค นางเองก็ไม่แม้แต่จะชายตาสนใจเขา ดูแล้วนางคงไม่จดจำว่าเขามีตัวตนด้วยซ้ำ ยามนั้นเขามีอายุเพียงสิบห้าปี ส่วนนางมีอายุเพียงแปดขวบ นางยังเด็กไม่อาจจดจำเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ทว่าเขากลับจดจำนางได้ดี หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงก็ได้รู้ว่านางแต่งงานกับหยางเจ๋อหยวนแล้ว เขาไม่ได้กลับเมืองหลวงมาเกือบสิบปี ใช้ชีวิตอยู่แต่ในสมรภูมิสงครามจนอายุล่วงเลยเข้าวัยยี่สิบห้าเป็นบุรุษรูปงามคมคาย เมื่อสงครามสงบเขาจึงได้กลับมาเยียบเมืองหลวงอีกครา ที่แรกที่เขาไปคือจวนราชครู แม้ปากจะบอกว่ามาเยี่ยมท่านอาจารย์แต่ทว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการไปพบนาง
เดิมทีอยากรู้ว่านางใช้ชีวิตเช่นไรในจวนราชครู แต่ไม่คาดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์ที่นางถูกหยางเจ๋อหยวนมอบหนังสือหย่า
อีกทั้งยังหน้าตาเบิกบานไม่ทุกข์ไม่ร้อนเสียด้วย
บางทีการที่นางหย่าแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี
ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกเขาจ้องมองก็ใจเต้นแรงจนแทบทนไม่ไหว นางอยากจะเดินเข้าไปสนทนากับเขาใจจะขาดแล้วถามเขาว่า
ขอลายเซ็นได้หรือไม่เจ้าคะ? เซ็นที่หน้าผากข้าก็ได้
ไม่ได้สิ!!! เขาคงไม่รู้จักหรอก อีกทั้งยังไม่ถูกกฎระเบียบอีกด้วย เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ หากนางไม่ระวังตัวอาจหัวขาดเอาได้
นางยังจำได้ดี ชาติปัจจุบันที่นางจากมา นางเคยไปตบตีกับแอนตี้แฟนที่ปล่อยข่าวลือของเขาออกมาในทางไม่ดีจนแอนตี้แฟนร้องไห้โฮ
เห้อ!!!น่าเสียดายยิ่งนัก
จางเหยียนเหวยละสายตาจากไป๋เหมยเหม่ยก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วหันไปเอ่ยกับไป๋จินเซียง
"ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน ว่าจะไปดื่มสุราและแวะไปที่โรงพนันเสียหน่อย มือกำลังขึ้นเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยหันขวับมามองจางเหยียนเหวยในทันที
อันใดกัน เขาติดสุราติดการพนันหรือ?
ให้ตายเถิด!!! ข้าดื่มเก่งนะ ให้ข้าดื่มเป็นเพื่อนดีหรือไม่
บัดซบ!!!เก็บอาการหน่อยตัวข้า
ไป๋เหมยเหม่ยปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะทำความเคารพเขาคราหนึ่ง ไว้รอกลับถึงจวนคงต้องสอบถามความเป็นไปของเขาจากพี่ชายของนางเสียหน่อย ในขณะที่นางกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า ก็พลันรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะ ดวงตาพร่าเลือนก่อนจะมืดมิดลงไปชั่วขณะ ในขณะที่นางกำลังซวนเซจะล้มลงนั้น ก็มีใครบางคนยื่นมือมาประคองนางเอาไว้ ไป๋เหมยเหม่ยไม่ทันมองหน้าคนผู้นั้นให้ชัดเจนก็หมดสติไปเสียก่อน
จางเหยียนเหวยแอบหันกลับมามองนางคราหนึ่ง จึงได้เห็นว่ายามนี้ใบหน้านางซีดเผือดร่างกายซวนเซจวนจะล้ม เขาจึงรีบตรงเข้าไปประคองนางด้วยความรวดเร็ว เขามีวรยุทธ์การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวดเร็ว ไป๋เหมยเหม่ยจึงไม่ได้รับบาดเจ็บที่ตรงไหน
"พานางไปที่โรงหมอก่อนเถิด ข้ารู้จักท่านหมอฝีมือดีผู้หนึ่ง อยู่ไม่ไกลนัก"
"เช่นนั้นก็ได้"
จางเหยียนเหวยช้อนอุ้มไป๋เหมยเหม่ยขึ้นมา ก่อนจะรีบตรงไปที่โรงหมอในทันที โดยไม่สนใจสายตาจากคนที่มองมาเลยแม้แต่น้อย จางเหยียนเหวยไม่ได้ปิดบังสถานะตน ผู้คนต่างรู้ว่าเขาคือจวิ้นอ๋องที่เพิ่งกลับมาจากชายแดน ผู้คนที่ได้พบเห็นจึงเริ่มจับกลุ่มยกหัวข้อวันนี้มาสนทนากันอย่างสนุกปาก
หลังจากวันนั้นก็มีข่าวลือว่าไป๋เหมยเหม่ยใช้มารยาล่อลวงจวิ้นอ๋อง หย่าขาดจากหยางเจ๋อหยวนได้ไม่นาน ก็คิดปีนป่ายขึ้นเตียงจวิ้นอ๋องผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์
ช่างน่าเห็นใจท่านอ๋องเหลือเกิน ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาจากสนามรบ คงไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของนางมารร้ายตัวมารดาผู้นี้!!!