บทที่ 4 วางแผนทำการค้า
จวนตระกูลไป๋
ไป๋เหมยเหม่ยยืนมองดูตั๋วเงินและของมีค่ามากมายที่หยางเจ๋อหยวนมอบให้นาง ได้ยินว่าบิดาเขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ จึงส่งคนนำของมามอบให้นางเพื่อเป็นการไถ่โทษเพราะไม่อยากมีปัญหากับคนตระกูลไป๋ไปมากกว่านี้ นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจคราหนึ่ง การตัดสินใจหย่าในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าใช้ได้เลย
"เหมยเหม่ยลูกพ่อ เจ้าต้องกลายเป็นสตรีหม่าย เช่นนี้เป็นความผิดของพ่อเอง หากวันนั้นพ่อไม่พาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลหยาง เจ้าก็ไม่ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายเช่นในยามนี้"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองดูแม่ทัพใหญ่ไป๋ซึ่งก็คือบิดาของเจ้าของร่างนี้คราหนึ่ง หลังจากนางกลับมาจวนเดิมทีคิดว่าคงจะถูกด่าทออยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกจากจวนหรือไม่ แต่ทว่าคนในจวนทั้งท่านพ่อท่านแม่ของนางกลับไม่เอ่ยวาจาให้นางรู้สึกเป็นทุกข์เลยสักประโยคเดียว อีกทั้งยังสั่งให้เหล่าสาวใช้ทำอาหารมาต้อนรับนางอีกด้วย ไม่มีการดุด่าต่อว่า มีเพียงแม่ทัพใหญ่ไป๋ที่เอาคร่ำครวญว่าเป็นความผิดของตนเพียงผู้เดียว
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้นางได้รู้ว่าในความโชคร้ายของไป๋เหมยเหม่ย ก็ยังมีความโชคดีอยู่มาก
นั่นก็คือไป๋เหมยเหม่ยคนเก่ามีที่ครอบครัวที่ดี
ดีมากเสียจนเลี้ยงเจ้าของร่างเดิมออกมาให้มีนิสัยเลวร้ายเช่นนี้ ต่างจากนางที่ไร้มารดาเลี้ยงดูต้องถูกพ่อตนเองดุด่าทุบตี ต้องดิ้นรนหาทำงานประจำเพื่อส่งเสียตนเองให้ได้เรียนหนังสือ
บางครั้งในความโชคร้ายมักมีความโชคดีซ่อนอยู่เสมอ อย่างเช่นการที่นางได้ย้อนเวลามาเจอครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงหันไปเอ่ยกับบิดาของตนทันที
"ท่านพ่อ ท่านอย่าเศร้าใจไปเลยเจ้าค่ะ ไม่มีสามีก็ช่างปะไร ท่านดูสิ ของพวกนี้มีราคาทั้งนั้น ย่อมเอาไปต่อยอดได้หลายอย่างเลยนะเจ้าคะ อีกอย่างท่านไม่ต้องไปโกธรเคืองตระกูลหยางหรอกเจ้าค่ะ อย่าสร้างความบาดหมางเพราะข้าเลย"
แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เช็ดน้ำตาตนเองคราหนึ่งก่อนจะจ้องมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ยามที่อยู่ในสนามรบเขาคือแม่ทัพผู้เก่งกาจน่าเกรงขาม แต่ยามที่อยู่ต่อหน้าบุตรสาวสุดที่รัก เขาคือพ่อคนหนึ่งที่รักบุตรสาวอย่างสุดหัวใจ
"เหมยเหม่ยของพ่อ"
"ท่านพ่อ พอเถิดเจ้าค่ะ บ่าวไพร่มองท่านกันหมดแล้ว"
"มองช่างมันสิ!!!!ผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาให้บุตรสาวข้าระคายหูข้าจะทุบตีมัน เหมยเหม่ย เจ้าอยากทุบตีคนเพื่อระบายอารมณ์หรือไม่ เลือกบ่าวมาสักสองสามคนสิ หรือให้พ่อเลือกให้ก็ได้ เจ้าจะได้คายโทสะลง โธ่ ลูกสาวที่แสนงดงามของพ่อ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ทานพ่อ ท่านสอนบุตรสาวให้ทุบตีคนเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ยิ่งได้เห็นท่าทีของบ่าวไพร่ ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นนั่งก้มหน้านางก็ทำไม่ลงแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับบิดาตนทันที
"ท่านพ่อ พวกเขาไม่รู้เรื่องอันใด ข้าไม่ตีพวกเขาหรอกเจ้าค่ะ ส่วนพวกเจ้ามีงานใดให้ต้องจัดการก็ไปทำเถิด"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปเอ่ยกับเหล่าสาวใช้ในจวนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางมองเห็นแววตาที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของคนเหล่านั้นก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย
ไป๋เหมยเหม่ยเจ้านี่ชั่วเกินเยียวยาจริงๆ
แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองบุตรสาวตนด้วยแววตาที่แดงก่ำ ก่อนจะเอ่ย
"เหมยเหม่ยของพ่อเติบโตแล้ว เหมยเหม่ยของพ่อรู้ความแล้ว"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดในใน
เพราะท่านเลี้ยงดูเช่นนี้อย่างไรเล่า นางจึงไม่รู้ความ!!!
"ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าพี่หญิงรู้ความหรอก แต่นางซ่อนความชั่วเอาไว้ต่างหาก เชื่อข้าเถิดนางเป็นคนดีได้ไม่นานหรอก"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมอง ไป๋กู้ชวน น้องชายคนเล็กของตนคราหนึ่ง เด็กชายผู้นี้มีอายุเพียงสิบสามปี แต่ทว่ากลับมีฝีปากโตเกินกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ซ้ำยังชอบเอ่ยวาจาเหน็บแนมนางที่เป็นพี่สาวอีกด้วย
แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงชี้หน้าด่าบุตรชายคนเล็กของตนทันที
"ลูกบัดซบ นางเป็นพี่สาวเจ้านะ เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาใช้ได้ที่ใดกัน!!!"
"ก็เพราะมีนางเป็นพี่สาวนี่แหละ ข้าจึงถูกเพื่อนที่สำนักศึกษาล้อเลียนว่ามีพี่สาวร้ายกาจน่าไม่อาย!!!"
"ไสหัวไปเลย!!!"
"ไปก็ได้!!! ให้ท้ายนางเข้าไปเถิด คอยดูนะ นางจะต้องทำให้ท่านพ่อปวดหัวอีกครา"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนันก็ไม่ได้รู้สึกโกธรอันใด ไป๋เหมยเหม่ยคนเก่าก็เป็นเช่นที่ไป๋กู้ชวนว่าเอาไว้จริงๆ
นับแต่นี้ไปนางจะต้องปรับปรุงภาพลักษณ์เสียใหม่ ไป๋เหมยเหม่ยผู้แสนร้ายกาจจะไม่มีอีกแล้ว
ข่าวที่ไป๋เหมยเหม่ยถูกหยางเจ๋อหยวนมอบหนังสือหย่านั้นเป็นที่ทราบกันทั่วทั้งเมืองหลวง ส่วนมากแล้วไม่มีผู้ใดนึกเห็นใจนางสักคน แต่กลับไม่กล้าเอ่ยนินทานางต่อหน้า ทำได้เพียงนำไปพูดจาสมน้ำหน้านางลับหลัง เนื่องจากเห็นแก่บิดาของนางที่มีความดีความชอบช่วยปกป้องแว่นแคว้น
หลังจากที่หย่าขาดกับไป๋เหมยเหม่ยไม่นาน หยางเจ๋อหยวนก็ยกย่องฟ่านกุ้ยอิงขึ้นเป็นฮูหยินน้อยคนใหม่ ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินข่าวเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก นางยังคงกินอิ่มนอนหลับไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด แม้จะได้ชื่อว่ากลายเป็นหญิงหม้ายสามีหย่าไปแล้วก็ตาม
เช้าวันนี้อากาศแจ่มใสเพราะกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยที่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนมาหลายวันรู้สึกว่าอาหารที่สาวใช้ในจวนทำไม่ค่อยถูกปากของนางเท่าใดนัก นางจึงตั้งใจตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารกินเอง ในชาติที่นางยังอยู่ในยุคปัจจุบัน นางมักจะทำอาหารใส่กล่องไปกินด้วยยามที่ต้องไปนั่งเฝ้าพระเอกซีรี่ย์ในป่าในเขา
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋เหมยเหม่ยจึงเดินตรงไปที่โรงครัว ก่อนจะพบว่าในครัวมีวัตถุดิบมากมายที่นางต้องการ เหล่าแม่ครัวใหญ่ในจวนเมื่อเห็นว่านางมาก็รีบก้มหน้างุด ต่างคิดกันไปต่างๆนาๆว่าที่คุณหนูเข้ามาโรงครัวในวันนี้เป็นเพราะเมื่อเย็นวานอาหารไม่ถูกปากจึงคิดจะมาพังโรงครัวเป็นแน่
ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นท่าทีราวกับเห็นผีของเหล่าสาวใช้ก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก วีรกรรมของไป๋เหมยเหม่ยคนเก่านี่ตามหลอกหลอนนางไปทุกที่จริงๆ
ไป๋เหมยเหม่ยคร้านจะสนใจอีก นางหันไปมองโดยรอบก่อนจะพบว่าบนโต๊ะมีมันฝรั่งวางอยู่ในตระกร้าสองสามหัว จึงหันไปเอ่ยกับกับสาวใช้ในครัวทันที
"มันฝรั่งมีเพียงเท่านี้หรือ"
สาวใช้น้อยนางหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าค่ะ เมื่อเช้าบ่าว คนขายบอกว่ามันฝรั่งนี่เก็บมาจากบนเขา สามารถนำมาทำอาหารได้ เอ่อ .."
ไป๋เหมยเหม่ยยื่นมือไปหยิบมันฝรั่งหัวที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาถือเอาไว้ สาวใช้น้อยที่เห็นเช่นนั้นก็กรีดร้องขึ้นมาจนนางสะดุ้ง
"ฮือ บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอย่าเอามันโยนใส่หัวบ่าวเลยนะเจ้าคะ"
ไป๋เหมยเหม่ยมึนงงไปชั่วขณะ นางเพียงจะหยิบมันขึ้นมาดูไม่ได้จะเขวี้ยงใส่หัวผู้ใดเสียหน่อย!!
ไป๋เหมยเหม่ยเอ๋ยไป๋เหมยเหม่ย เจ้าน่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีกรู้ตัวหรือไม่!
นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่ได้จะทำร้ายพวกเจ้า ข้าจะเข้ามาทำอาหารเอง มาก่อไฟให้ข้าเร็วเข้า"
"เจ้าค่ะ"
สาวใช้น้อยนางนั้นชะงักไปชั่วขณะแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี พลางแอบมองดูไป๋เหมยเหม่ยอยู่ห่างๆ
"เฉียวเหลียนช่วยข้าปอกมันฝรั่งหัวนี้ที แล้วหั่นตามที่ข้าบอก ข้าจะหั่นให้เจ้าดูก่อน"
เฉียวเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที
"เอ่อ คุณหนูเจ้าคะ จะนำมาต้มหรือเจ้าคะ"
“ไม่ใช่ ข้าจะผัด”
“ผัดได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
"ผัดได้สิ ดูไว้ หั่นแบบนี้"
ไป๋เหมยเหม่ยซอยมันฝรั่งเป็นเส้นบางๆ เฉียวเหลียนที่เห็นเช่นนันก็ทำตาม แต่ทว่าช่างเชื่องช้าไม่ทันใจ ไป๋เหมยเหม่ยจึงลงมือทำเองเสีย นางโชว์ฝีมือการทำอาหารในครัวจนเหล่าสาวใช้ถึงกับอ้าปากค้าง
คล้ายว่าคุณหนูของพวกนางจะเปลี่ยนไป หรือเพระาถูกสามีหย่าจึงเริ่มคิดได้ขึ้นมาบ้าง
ไป๋เหมยเหม่ยลงมือทำอาหารเอง ครั้งนี้นางทำมันฝรั่งเส้นผัดพริก ผ่านไปไม่นานกลิ่นอาหารตรงหน้ากำลังยั่วยวนให้จิตใจของนางสั่นไหว นางใช้ตะเกียบคีบมันฝรั่งเส้นผัดพริกตรงหน้าขึ้นมากินคำหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตาหยี
รสชาติไม่เลว!!! หากเปิดร้านขายอาหารในเมืองหลวงคงจะขายดีไม่น้อย
เปิดร้านขายอาหารเช่นนั้นหรือ?
เมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ไป๋เหมยเหม่ยก็แววตาเป็นประกายคราหนึ่ง ยามนี้แม้จะหย่าขาดจากหยางเจ๋อหยวนแล้ว อีกทั้งเขายังมอบตั๋วเงินเป็นการปลอบใจนางมาตั้งหลายตำลึง เหตุใดนางจึงไม่นำมันมาต่อยอดค้าขายเล่า ในเมื่อนางชอบกิน เช่นนั้นก็เปิดร้านอาหารมันเสียเลย
ไป๋เหมยเหม่ยคีบมันฝรั่งเส้นขึ้นมากินจนหมดจาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเหล่าสาวใช้ในโรงครัว
"หากมีมันฝรั่งเช่นนี้มาขายอีก เจ้าช่วยซื้อมาให้ข้าด้วย สอบถามคนขายว่าเขารับมันมาจากที่ใด ถ้าจะให้ดี ให้เขามาพบข้าเสียหน่อย"
"เจ้าค่ะคณหนู"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินตรงไปที่เรือนใหญ่ทันที ยามนี้มารดาของนางกำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ ไป๋เหมยเหม่ยเดินเข้าไปทิ้งกายลงนั่งข้างกายมารดา ไป๋ฮูหยินที่เห็นบุตรสาวอันเป็นที่รัก จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"เหมยเหม่ย แม่ได้ยินว่าเจ้าไปที่โรงครัวมาหรือ จะไปทำไมกัน ดูสิกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าเจ้าหมดแล้ว แม่จะสั่งลงโทษบ่าวไพร่ในโรงครัวทั้งหมด เดี๋ยวนี้ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ท่านแม่นี่ก็อีกคน ตามใจไป๋เหมยเหม่ยจนนางเสียคนไปหมดแล้ว เพราะพื้นฐานครอบครัวเป็นเช่นนี้นางจึงมีนิสัยเสียผู้คนต่างพากันเกลียดชัง
"ท่านแม่ ข้าอยากไปทำเองเจ้าค่ะ ข้าอยากลองทำอาหารดู อย่าไปลงโทษพวกนางเลย ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามีความคิดดีดีเจ้าค่ะ ข้าอยากจะเปิดร้านอาหารเล็กๆสักร้าน ร้านไม่ต้องใหญ่มาก ข้าจะปรุงอาหารขายเอง รับรองว่าจะต้องขายดีเป็นแน่"
ไป๋ฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นทาบอกตน ก่อนจะเอ่ย
"ได้อย่างไรกัน แม่ไม่ยอมให้เจ้าไปลำบากหรอก บ้านเรามีเงินทองมากมาย เจ้าจะหาเรื่องลำบากใส่ตนเองทำไมกัน หรือว่าเจ้าไปได้ยินเรื่องที่ผู้คนเล่าลือว่าเจ้าถูกหย่า เจ้าไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวด้านนอก พ่อกับแม่เลี้ยงดูเจ้าได้"
"ท่านแม่ ข้าอยากหาเงินได้ด้วยตนเองนี่เจ้าคะ เงินที่เรามีหากไม่หาเพิ่มมันจะงอกเงยได้หรือ อยู่แต่ในจวนน่าเบื่อเกินไป"
"แม่รู้ แม่กับพ่อเจ้ากำลังหาสามีดีดีให้เจ้าอีกคน เขาไม่ติดใจเรื่องที่เจ้าเคยแต่งงาน แม้จะเคยแต่งเข้าจวนราชครูแต่เขาก็ยินดีปกป้องเจ้า"
ไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเกาศีรษะตน ก่อนจะเอ่ย
"ท่านแม่ ข้าอยากจะเปิดร้านอาหารไม่ได้อยากได้สามีใหม่ หากท่านแม่ไม่เห็นด้วยเช่นนั้นข้าจะไปจัดการด้วยตนเองเจ้าค่ะ"
"โธ่ๆ ลูกรักของแม่ เอาเถิดๆ หากเจ้าอยากทำแม่ก็ไม่ว่า ไว้รอพี่ใหญ่เจ้ากลับมา ก็ให้เขาพาเจ้าไปดูทำเลที่ตั้ง ตระกูลเราน่ะมีร้านค้ามากมายที่เป็นสินเดิมของแม่ หนึ่งในนั้นคือร้านอาหารเก่าๆร้านหนึ่งที่แม่ยกเลิกกิจการไปแล้ว เจ้าก็ไปลองดูเถิดว่าชอบทำเลที่ตั้งหรือไม่"
"จริงหรือเจ้าคะ"
"อืม"
"ท่านแม่ดีกับข้าที่สุดเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยพลางออดอ้อนมารดาของตนราวกับเด็กน้อย ไป๋ฮูหยินที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ใจอ่อนยวบราวกับปุยนุ่น
"น้องสาว เจ้ามาออดอ้อนขอสิ่งใดจากท่านแม่อีกเล่า"
ไป๋เหมยเหม่ยผละออกจากไป๋ฮูหยินก่อนจะหันไปมองคราหนึ่ง
บรุษผู้นี้มีนามว่า ไป๋จินเซียง เขาเป็นพี่ชายของนาง พี่ชายนางรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าทหารไม่ต่างจากท่านพ่อเลย
"พี่ใหญ่"
แม้จะยังไม่ค่อยคุ้นเคยมากเท่าใดนัก แต่ทว่าหลายวันที่อาศัยอยู่ในจวนตระกูลไป๋แห่งนี้ ไป๋เหมยเหม่ยก็รู้สึกว่าทุกคนนั้นเป็นครอบครัวเดียวกับนาง
ไป๋จินเซียงยิ้มให้ไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ว่าอย่างไร เจ้ามาร้องขอสิ่งใดจากท่านแม่อีก"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยีก่อนจะเอ่ย
"ข้าปรึกษาท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าอยากเปิดร้านอาหารเล็กๆสักร้าน"
ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรน้องสาวผู้นี้ของเขาไม่เคยคิดจะทำสิ่งใดเลย เข้าครัวนางก็ว่าเหม็น งานเย็บปักนางก็เขวี้ยงทิ้ง แต่ครั้งนี้กลับอยากเปิดร้านอาหาร
"น้องสาว พี่ได้ยินว่าก่อนหน้านี่เจ้าล้มศีรษะกระแทกโต๊ะที่จวนราชครู สมองเจ้ายังปกติหรือไม่"
ไป๋เหมยเหม่ยถลึงตาใส่ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"พี่ใหญ่ ยามนี้ข้าหย่าแล้วอีกทั้งยังเป็นสตรีหม่าย ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะที่ผ่านมาข้าทำพลาดไปที่ไปแต่งงานกับคนอย่างหยางเจ๋อหยวน ข้าจะต้องยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้ ข้าจะเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้ไม่รู้ว่าภายหน้าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ข้าก็จะลองดู หากไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง ข้าเชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่อย่างไรก็ไม่ทอดทิ้งข้า"
ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะพยักหน้า
"แน่นอน ต่อให้เจ้าจะร้ายกาจในสายตาผู้ใด แต่สำหรับพวกเราคนตระกูลไป๋ เจ้างดงามที่สุด"
ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกว่าขอบตาของตนเองร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ ไป๋ฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปเอ่ยกับบุตรชายของตนทันที
"ไหนๆเจ้าก็กลับมาแล้ว มิสู้พาเหมยเหม่ยออกไปดูร้านของแม่ที่ปิดไปแล้วเสียสักครา ดูว่าใช้การได้หรือไม่"
"ขอรับ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจไม่น้อย นางอยากจะไปเที่ยวนอกจวนมาหลายวันแล้ว นางอยากรู้ว่าผู้คนในยุคโบราณเขาใช้ชีวิตกันเช่นไร
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็ติดตามไป๋จินเซียงไปที่รถม้าทันที ไม่นานนักก็มาถึงที่ตลาดใหญ่กลางเมืองหลวง ไป๋เหมยเหม่ยกระโดดลงมาจากรถม้า ไป๋จินเซียงตกใจไม่น้อย เขารีบเอ่ยทันที
"เดินดีดีสิเหมยเหม่ย ทำเช่นนี้ไม่งาม"
"แค่กระโดดลงเท่านั้น ไม่งามที่ใด"
"เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ รีบตามพี่มา”
"พี่ใหญ่ หากดูร้านของท่านแม่เสร็จแล้ว ท่านพาข้าเดินเล่นที่ตลาดได้หรือไม่เจ้าคะ"
"หากเจ้าไม่ก่อเรื่อง พี่ก็จะพาเจ้าเดินเล่น"
"ไม่ก่อเรื่องแน่นอนเจ้าค่ะ"
ไป๋จินเซียงพาไป๋เหมยเหม่ยเดินลัดเลาะมาตามตรอกๆหนึ่ง ไม่นานก็พบกับร้านค้าร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงน้ำชาใหญ่ ไป๋เหมยเหม่ยดวงตาเป็นประกายทันทีที่ได้เห็นร้านนั้น นับว่าเป็นร้านที่ดีมากเลย ต่อเติมเสียหน่อยย่อมขายอาหารได้
"พี่ใหญ่ ท่านหาคนมาซ่อมแซมร้านให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะบอกพวกเขาเองว่าต้องทำเช่นไร"
ไป๋จินเซียงรู้สึกสนใจไป๋เหมยเหม่ยขึ้นมาเสียแล้ว คล้ายว่าน้องสาวของเขาผู้นี้จะเปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนไปในทางที่น่ารักน่าชังขึ้น
ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองไปที่โรงน้ำชาตรงข้าม ก่อนจะเอ่ย
"พี่ใหญ่ นั่นคือโรงน้ำชาของผู้ใดกันเจ้าคะ ดูใหญ่โตยิ่งนัก"
ไป๋จินเซียงหันไปมองตามสายตาของไป๋เหมยเหม่ยก่อนจะเอ่ย
"นั่นคือโรงน้ำชาของจวิ้นอ๋องจางเหยียนเหว่ย พระนัดดาของฝ่าบาท"
“จวิ้นอ๋อง”
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาวูบไหวคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
โรงน้ำชาของพระเอกซีรี่ย์ เอ่อ!!จวิ้นอ๋องผู้นั้นเองหรือ?