ตอนที่ 4

1159 Words
“แม่คะ…ดึกมากแล้วนะคะ หนูอยากพัก พรุ่งนี้หนูต้องทำงาน เรื่องพจน์…หนูขอคิดดูก่อนนะคะ” หญิงสาวเสียงอ่อนลงในที่สุด รู้สึกผิดอยู่ในใจ เมื่อได้ยินเสียงของมารดาที่ฟังดูคล้ายว่ากำลังคร่ำครวญร้องไห้ แว่วคลอมาทางโทรศัพท์ แม้อรดีจะเป็นแม่ผู้เจ้ากี้เจ้าการในบางเรื่อง ขี้บ่นบ้างในบางครั้ง หรือแม้แต่ปากร้ายในบางอารมณ์ แต่รินนรีก็เข้าใจได้ถึงเหตุผลของผู้เป็นมารดา ยืนยันด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ มารดาคนนี้ก็เอาใจใส่ดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง รักและห่วงใยเธอเสมอมา           “อย่าคิดนานนะลูก…แกรู้บ้างหรือเปล่าว่าทุกวันนี้…” กล่าวไม่ทันจบประโยคตามที่ตั้งใจจะเอ่ย อรดีก็หยุดเสียก่อน รู้สึกเหมือนมีก้อนความเศร้าเคลื่อนขึ้นมาจุกจ่ออยู่ในลำคอ จากนั้นก็มีเสียงสะอื้นตามมา เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่า หากจะเป็นใครสักคนที่ต้องกลัดกลุ้มกับการแบกรับภาระหน้าที่ของครอบครัว ในช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังทดสอบเธอด้วยอุปสรรคอันหนักหนาสากรรจ์เช่นทุกวันนี้…ก็ควรจะเป็นเธอ…ไม่ใช่ลูกสาว           “แม่กำลังจะบอกอะไรหนูคะ” ประโยคที่อรดีกล่าวออกมาไม่ทันจบ แล้วก็หยุดค้างเอาไว้ ปล่อยให้มันขาดหายไปกับเสียงสะอื้น กลับยิ่งกระตุ้นความสงสัยของรินนรีจนต้องเอ่ยถาม นึกสังหรณ์ใจว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโดยปกติ แม้ว่าจะเคยทุ่มเถียงกันในลักษณะนี้อยู่บ่อยๆ แต่ผู้เป็นมารดาก็ไม่เคยร้องไห้  “ช่างเถอะ…” อรดีปาดน้ำตา รีบเฉไฉไปเสียอีกทาง พยายามจะปัดเรื่องร้องไห้ ให้พ้นไปจากความสนใจของลูกสาว “แม่ร้องไห้ทำไมคะ” น้ำเสียงอ่อนโยน ถามอย่างห่วงใยและสงสัย “ไม่มีอะไรหรอกลูก…แม่คอแห้งนิดหน่อย” ผู้เป็นมารดาพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถาม หากเสียงสะอื้นเครือในอก ทำให้รินนรีจับพิรุธได้ไม่ยาก “ไม่จริง หนูรู้ว่าแม่กำลังร้องไห้ แม่กำลังปิดบังอะไรหนู มีเรื่องอะไรคอขาดบาดตายยังงั้นหรือไงคะ?” หญิงสาวเคล้นน้ำเสียงถามอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบ ทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไรหรอกลูก…” อรดีพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติ ยิ่งเธอไม่อยากบอก หารู้ไม่ว่ากลับยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของผู้เป็นลูกสาว “ถ้าแม่คิดว่าหนูมีความสำคัญพอที่จะรับรู้ในปัญหาใดๆ ที่หนูควรจะได้รู้…ก็บอกหนูสิคะ แต่ถ้าแม่คิดว่าหนูไม่สมควรที่จะได้รู้…ก็ไม่ต้องค่ะ” รินนรีเดาว่าเรื่องที่มารดากำลังเป็นกังวลจนร้องไห้ คงหนีไม่พ้นความเจ็บป่วยของผู้เป็นบิดาอย่างแน่นอน “ยายริน…! แกช่างไม่เข้าใจแม่เอาเสียเลย” เสียงตอบกลับมาอย่างอ่อนใจ ตามด้วยเสียงถอนใจหนัก จนได้ยินชัดเจนไปสู่ปลายสาย “ถ้าอยากให้หนูเข้าใจ…แม่ก็บอกความจริงกับหนูมาสิคะ” คนดื้อดึงยังคงยืนกรานที่จะรู้ให้ได้ “เอาละ! ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้าอยากรู้แม่ก็จะบอก แกรู้ไหมว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพ่อของแกตลอดสองปีที่ผ่านมาน่ะ ต้องให้เงินมหาศาลแค่ไหน แล้วไหนจะเงินเดือนพนักงานที่จะต้องจ่ายในแต่ละเดือนอีก ทุกวันนี้ร้านอาหารของเราก็ขายไม่ดีเหมือนก่อน ลูกค้าหดหายลงทุกวัน ร้านอาหารคู่แข่งก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด แกอยู่แต่กรุงเทพฯ เลยไม่รับไม่รู้ว่าแต่ละวันแม่อย่างฉันต้องเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหนที่จะต้องหาเงินมาหมุนเวียนให้พอกับรายจ่ายที่จ่อคอหอยอยู่ทุกปลายเดือน” รินนรีรับรู้ถึงความระทดท้อในน้ำเสียงของมารดา เรื่องที่รู้…ถึงกับทำให้น้ำตาของเธอไหลซึมออกมาด้วยความเข้าอกเข้าใจ แม้ยังไม่เข้าใจนักว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการที่มารดาพยายามเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องคู่ครองของเธอ?           “ทุกวันนี้ฐานะของเราแย่ลงขนาดนั้นแล้วหรือคะแม่?” เสียงแผ่วเครือ กึ่งถามกึ่งรำพึงกับตัวเอง ราวกับไม่เชื่อในสิ่งซึ่งผู้เป็นมารดาบอก เพราะว่าในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ในกรุงเทพฯ เธอก็แยกตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่ในคอนโด เรื่อยมากระทั่งเรียนแล้วทำงาน และการที่เธอกลับบ้านเดือนละไม่กี่ครั้งนี่เอง ที่ทำให้รินนรีไม่รู้ปัญหาภายในครอบครัวหลายๆ อย่าง กระทั่งวันที่ผู้เป็นมารดาต้องสารภาพความจริงทั้งน้ำตา จึงได้รู้ว่าครอบครัวกำลังประสบปัญหา ฐานะการเงินกำลังง่อนแง่นเต็มที อรดีพยายามกัดฟันแบกรับเรื่อยมา วาบหนึ่งในความคิดของรินนรี จู่ๆ…ภาพดวงหน้าของศักดาผู้เป็นบิดาที่กำลังป่วย ก็ผุดขึ้นในหัว นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล ร่างกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุล้มรุนแรงในห้องน้ำ ศีรษะฟาดเข้ากับขอบอ่างล้างหน้าอย่างจัง จนต้องกลายเป็นอัมพฤกษ์ ภายหลังจากศักดาได้รับการรักษาพยาบาลและทำกายภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนเริ่มกลับมาฟื้นตัวชั่วคราว ขยับแขนขาได้บ้าง หากก็ยังอ่อนแรงจนต้องพึ่งรถเข็นอยู่ตลอดเวลา แต่ภายหลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อมาดูแลรักษาตัวที่บ้าน สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนขึ้นอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เมื่อรถเข็นที่ผู้เป็นบิดาเคยนั่งอยู่เป็นประจำ จู่ๆ ก็ไหลเตลิดลงจากบันไดบ้าน ทั้งรถทั้งคนตกลงมากระแทกกับพื้นรุนแรง ทำให้ขาหักทั้งสองข้าง ต้องดามเหล็กเอาไว้จนทุกวันนี้ จากสภาพอัมพฤกษ์ที่พอจะมีความหวังรางๆ ว่าอาจจะหายได้ในสักวัน ก็ริบหรี่ลงทันที เมื่อกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นอัมพาตอย่างถาวรไปในที่สุด เคราะห์กรรมของศักดายังไม่หมดเพียงเท่านั้น ภายหลังจากแพทย์ผู้ทำการรักษาตรวจพบว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องนำตัวกลับเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์และพยาบาล ด้วยเกรงว่าก้อนเลือดที่คั่งอยู่ในสมองจะกดหลอดเลือดบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้เลือดส่งไปเลี้ยงสมองไม่พอ และถ้าอาการเกิดกำเริบรุนแรงขึ้นมาเมื่อไร จะทำให้สมองขาดเลือด เกิดภาวะสมองตาย มีอันตรายถึงชีวิต แพทย์ผู้ทำการรักษาก็ยืนยันไม่ได้ว่าศักดาจะต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลไปนานแค่ไหน เพราะ   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD