รินนรีรู้ดีว่าตอนนั้นบิดาของเธอกำลังป่วย แต่กลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เพราะว่าธุระร้อนที่ทำให้มารดาต้องโทรมากลางดึก ภายหลังจากที่พยายามข่มตาหลับ กระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนมาพักใหญ่ๆ กลับเป็นเรื่องที่เธอไม่คาดคิด แม้ว่าผู้เป็นมารดาจะเคยเกริ่นเรื่องนี้เอาไว้ก่อนหน้า แต่นั่นก็นานมาแล้ว
“เมื่อวานเสี่ยสมพงษ์แวะมาหาแม่”
คนเป็นแม่เกริ่นอย่างระมัดระวังถ้อยคำ หวังให้การสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด ไม่อยากให้คนฟังตกใจจนเกินไป ไม่อยากให้มันสะดุดลงด้วยการทุ่มเถียงกันเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
“แล้วยังไงคะ” หญิงสาวแสร้งทำน้ำเสียงไม่สนใจ เธอไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ใดๆ หากน้ำเสียงที่ค่อนข้างระมัดระวังของมารดา ก็ทำให้เธอเดาได้ในทันทีว่า ‘เรื่องอะไร?’ ที่ผู้เป็นมารดาพยายามจะบอกอยู่ในขณะนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อรดีพูดเรื่องนี้กับเธอ
“พจน์ถามถึงหนูด้วย”
“แล้วทำไมต้องถามถึงหนูด้วยล่ะคะ”
รินนรีแกล้งถามมึนๆ กลับไป เสียงราบเรียบจนเกือบจะเย็นชา
“ยายริน…แม่คิดว่าเราคุยกันเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว ไม่เข้าใจว่าแกจะตั้งแง่กับพี่เขาไปถึงไหน”
อรดีเสียงแหวขึ้นมาทันทีด้วยความลืมตัว เมื่อจับกระแสเสียงดื้อดึงของลูกสาวได้ ‘พี่’ ที่อรดีกล่าวถึงก็คือ ‘พจน์’ ผู้เป็นลูกชายของเสี่ยสมพงษ์ อดีตนักธุรกิจชื่อดังผู้หวังจะหันมาเอาดีทางการเมืองกับการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“แล้วไงคะ”
เสียงตวาดแว๊ดของแม่ ทำให้ผู้เป็นลูกสาวถามย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงหน่ายเนือย
“แม่ก็เห็นว่าหน้าตาเค้าก็หล่อเหลา หน่วยก้านก็สูงใหญ่ การพูดการจาก็ดูน่าเชื่อถือ และที่สำคัญตระกูลนี้ร่ำรวยมาก แล้วเสี่ยสมพงษ์ก็มีทั้งรีสอร์ต ทั้งโรงแรมที่กรุงเทพฯ ถ้าแกขืนมองข้ามผู้ชายคนนี้ก็โง่ตาย” อรดีสาธยายพร้อมสรุปไปในตัว
“หนูยอมโง่ตายค่ะ” คนที่หน้างออยู่ปลายสายเถียงคำไม่ตกฟาก
“ยายริน…” อรดีกระแทกน้ำเสียงกลับไปอย่างเหลืออด
“แม่ไม่รู้อะไร…” รินนรีเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงถอนใจ
“แล้วอะไรของแก่น่ะ…มันอะไรล่ะ?”
“นายพจน์ที่แม่กำลังสรรเสริญเยินยอ คนที่แม่อยากได้มาเป็นลูกเขยนักหนา แท้ที่จริงแล้วลื่นยังกับปลาไหล ทำไมหนูจะไม่รู้ล่ะคะ แม่คงลืมไปกระมังว่ารินเคยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขานะคะ เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเขาลือกันให้แซ่ด”
“ข้อนั้นแม่ไม่รู้ แต่ยายริน…ฟังแม่นะ ในฐานะที่แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน แม่จะบอกอะไรให้ เรื่องเจ้าชู้กับผู้ชายมันเป็นของธรรมดานะลูก ผู้ชายไม่เจ้าชู้สิแปลก คบหาแล้วค่อยปรับเปลี่ยนกันไป ที่พจน์เจ้าชู้เพราะคงเห็นว่าตัวเองยังโสด ผู้ชายก็ยังงี้แหละ บางคนก็หยุดเจ้าชู้หลังจากมีคู่ครองเป็นตัวเป็นตน ดูอย่างพ่อแกสิ ก่อนแต่งงานกับแม่ก็เจ้าชู้ใช่ย่อย แต่พอหลังจากอยู่กินกับแม่ ก็ไม่เคยวอแวกับผู้หญิงคนไหนให้แม่ต้องช้ำใจ”
“หนูเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิคะ ว่าผู้ชายอย่างพ่อยังเหลืออยู่ในโลกนี้”
“โลกนี้ไม่มีคนสมบูรณ์พร้อมหรอกนะ”
มีความอ่อนอกอ่อนใจผุดขึ้นในน้ำเสียงของอรดี หนักใจเหลือเกินกับความดื้อดึงของลูกสาวคนนี้
รินนรีสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพจน์ เขาเป็นรุ่นพี่เธอสามปี ตอนเจอกันครั้งแรก พจน์กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ของคณะนิเทศน์ศาสตร์ ขณะที่เธอเพิ่งเข้าไปเป็นเฟรชชี่ของคณะมัณฑนศิลป์
ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ รินนรีกับพจน์ยังไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว พจน์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจในตัวเธอออกมาแต่อย่างใด จะด้วยเหตุผลของความทะนงตน ชอบให้ผู้คนเข้าหาเขาก่อน หรือความหยิ่งลำพองว่าเป็นลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังก็ไม่ทราบได้
เรื่องราวของพจน์ที่ลอยมาเข้าหูของรินนรี ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น ‘ชื่อเสีย’ มากกว่า “ชื่อเสียง” ในทางดี เพราะนอกจากเสียงเลื่องลือเล่าอ้างถึงฐานะอันร่ำรวยและหน้าตาอันหล่อสำอาง เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาวๆในมหาวิทยาลัย พจน์ก็ยังมีเรื่องเสียๆ หายๆ อีกมากมายตามมาในทำนองที่ว่าเขาเจ้าชู้ แต่ก็เลือกมาก เขาคบใครได้ไม่นาน และยังไม่มีใครเห็นว่าเขาจะตัดสินใจคบผู้หญิงคนไหนเป็นตัวเป็นตนเสียที
“ถ้ามีเวลา…แม่กะว่าจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยสมพงษ์สักหน่อย แกไปกับแม่นะ”
ประโยคนั้นไม่เพียงแค่ชวน แต่มีนัยถึงการบังคับ คนที่เป็นลูกสาวตารู้สึกหน้าตึงขึ้นมาในทันที รู้ชัดในความหมายของผู้เป็นมารดา แม้อรดีไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ
“แม่คะ…อย่ากดดันหนูได้ไหมคะ หนูไม่อยากไปค่ะ”
รินนรีสะบัดน้ำเสียงอย่างเหลืออดด้วยความลืมตัว ไม่ได้ระมัดระวังถ้อยคำเท่าที่ควร เหมือนรู้ว่าการทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอกับมารดา และดูเหมือนว่าครั้งนี้กำลังจะหลีกเลี่ยงได้ยากอีกเช่นกัน
“ดื้อรั้นที่สุด…ที่แม่ทำทั้งหมดนี้ก็เพราะห่วงอนาคตของแก”
อรดีเดือดปุดๆ ด้วยความโกรธ เสียงเครืออยู่ในลำคอคล้ายจะร้องไห้ เหนื่อยใจที่จะโน้มน้าวกันอีกต่อไป มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะทิ้งความพยายามลงง่ายๆ กับเรื่องนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อนึกถึงปัญหาและภาระที่เป็นแรงผลักดันอยู่ข้างหลัง ภาระที่ลูกสาวของเธอไม่เคยรู้
“แม่ไม่ต้องห่วงอนาคตของหนูหรอกค่ะ…ตอนนี้หนูมีงานทำ มีเงินเดือน แม้จะไม่มากมาย แต่ก็พอเลี้ยงตัวได้” เธอให้เหตุผล แม้จะฟังดูว่าปีกกล้าขาแข็งเสียเหลือเกินในความรู้สึกของคนฟัง
“แกมันอวดดีเหมือนพ่อของแกไม่มีผิด”
อรดีพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้น แต่เป็นเพราะอารมณ์โกรธที่พาไป จึงต้องกระทบกระเทียบไปถึงศักดาอย่างอดไม่ได้ เหมือนลืมไปว่าคนที่ถูกกล่าวถึงกำลังนอนป่วยหนักอยู่บนเตียงด้วยอาการอัมพาต อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งรับรู้ปัญหาใดๆ ของครอบครัวได้อีกแล้ว อรดีจึงเครียดจัด ในวันที่เธอรู้สึกว่าภาระทั้งปวงกำลังตกอยู่กับเธอแต่เพียงผู้เดียว