“คุณนวินวรรษ?”
รอยยิ้มปรากฏช้าๆ บนริมฝีปากได้รูปหาใช่ยิ้มอบอุ่นเป็นมิตรแต่อย่างใดไม่
“สวัสดี กัญชพร”
เขาทัก พูดติดต่อกันไปด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้พูดพยายามสะกดให้ราบเรียบ
“โลกกลมขึ้นทุกวันนะ ไม่คิดว่าจะได้เจอะเจอกัญอีกแต่ก็เจอเข้าจนได้ อย่างไม่คิดฝันด้วยสิ”
กัญชพรกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอขณะมองหน้าคมสันที่ขณะนี้เห็นชัดถึงความกร้าวกระด้างเกือบเป็นเย็นชา ก่อนได้สำนึกว่าตนกำลังนั่งอยู่บนโซฟายาวหนานุ่ม มีแบบสำหรับนั่งคนเดียวเข้าชุดกันอีกสามตัว ตั้งล้อมโต๊ะกระจกเบื้องหน้าหล่อน
กวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าเป็นห้องกว้างและโล่ง ผนังด้านนอกกรุกระจกมองออกไปเห็นวิวในมุมกว้าง เมื่อตวัดเท้าลงยันพื้นเท้าเปล่าของหล่อนก็แทบจะจมลงในพรมหนานุ่มสีควันบุหรี่
หล่อนเหลือบตามองผู้ที่เข้ามายืนจ้องหล่อนเขม็งด้วยสายตาที่หล่อนไม่แน่ใจเลยว่าเขาเห็นหล่อนเป็นมิตรหรือศัตรู
“ห้องทำงานพี่เอง เพิ่งย้ายเข้ามาได้สักเดือน”
เขาบอก ราวกับจะอ่านความคิดจากสีหน้าหล่อนออก ทำให้ยิ่งรู้สึกเหมือนคนที่วิ่งหนีอันตรายแล้วก็มาจนมุมที่ปากหุบเหว
“กัญทำงานอยู่ที่ตึกนี้มานานหรือยัง”
“สามปีแล้วค่ะ” ตอบเสียงเบา
“ไม่น่าเชื่อ!”
“อะไรไม่น่าเชื่อคะ? โอ๊ย! ตายแล้ว!”
อารามตกใจเมื่อนึกขึ้นได้จึงลุกยืนเร็ว ทำเอาหน้ามืดไปวูบ
นวินวรรษปราดเข้าประคองด้วยมือแข็งแรง
“ไม่ต้องรีบลุก แล้วก็ไม่ต้องห่วงงาน พี่โทรบอกหัวหน้ากัญแล้วว่ากัญไม่สบาย ขอลางานครึ่งวัน เอกสารที่กัญถือขึ้นมาเขาให้คนขึ้นมาเอาไปจัดการแทนแล้วเรียบร้อย”
“อะไรนะคะ?”
กัญชพรเสียงดัง หล่อนตกใจมากกว่าประหลาดใจ ว่านวินวรรษจัดการทั้งหมดที่เขาบอกแก่หล่อนได้อย่างไร
“กัญกลับบ้านได้เลย พี่ลางานให้แล้วเรียบร้อย”
เขาอธิบายอย่างใจเย็น ผิดจากความรู้สึกของหล่อนหน้ามือเป็นหลังมือ
กัญชพรมองร่างสูงหมุนตัวกลับเดินไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก่อนกลับมาพร้อมกระเป๋าสะพายของหล่อน ด้วยสายตาตะลึงพรึงเพริด
“นี่ไง กระเป๋าถือของกัญ พี่ให้เพื่อนร่วมงานของกัญส่งขึ้นมาให้”
กัญชพรหายใจเข้าแรง
“คุณทำ…อย่างนี้ได้อย่างไรกันคะ?”
เสียงหล่อนฟังว่าสั่นและออกจะตะกุกตะกัก ความโมโหแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“ทำอะไร?”
เขาถาม สีหน้าไม่บอกเลยว่าไม่เข้าใจในความหมายของคำพูดของหล่อน กัญชพรเม้มปากที่ออกจะสั่น ยื่นมือไปกระชากกระเป๋าสะพายจากมือแข็งแรงที่ส่งให้
“นั่นจะไปไหน?”
เสียงทุ้มลึกถามมาเมื่อร่างบางหมุนตัวเดินลิ่วไปยังประตูบานหนึ่งที่เห็นปิดสนิทอยู่ เพราะเข้าใจว่าเป็นประตูทางออก
“กลับไปทำงานของกัญนะสิคะ”
ตอบมาเสียงห้วน ไม่หยุดก้าวจึงไม่ทันเห็นตาคมสีน้ำตาลเข้มจุดประกายขบขันขึ้นมาวูบหนึ่ง
“แต่นั่นมันทางเข้าห้องพักผ่อนพี่นะ ประตูออกอยู่ทางโน้น”
นวินวรรษชี้มือไปทางทิศตรงข้าม ทำให้คนที่คิดจะหนีหน้าชะงักกึก หมุนตัวขวับกลับมามองหน้าที่ดูว่ายิ้มละไมของเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
น่าหมั่นไส้! มีห้องพักผ่อนอยู่หลังห้องทำงาน ก็ไม่รู้ว่าที่พักนี่ มีคนพักด้วยหรือเปล่า เรียนจบจากนอก อยู่ต่างประเทศหลายปี แถมเคยมีเมียลูกครึ่ง อาจติดนิสัยฝรั่งชอบมีออฟฟิศ ไวฟ์ ไว้คอยบริการให้ความสุขยามอยู่ออฟฟิศ
นั่นคือสิ่งที่คนโดนยั่วคิด แต่ยังเชิดหน้าเมื่อต้องผ่านร่างสูงที่ยืนขวางทางออก
ไม่ทันจะเดินเลยไปยังประตูที่เจ้าของสถานที่ชี้มือบอกยิ้มๆ ก็ต้องชะงักการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เมื่อมือหนาแข็งแรงคว้าจับแขนส่วนที่อยู่เหนือข้อศอกไว้มั่น แม้หล่อนจะออกแรงสะบัด ก็ไม่หลุดง่ายๆ
“ปล่อยดิฉันค่ะ คุณนวินวรรษ”
“ปล่อยน่ะได้ แต่กัญต้องอยู่คุยกับพี่ให้รู้เรื่องก่อน”
“ดิฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ต้องกลับไปทำงานแล้ว”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไป ลาให้แล้ว”
“คุณลา ดิฉันไม่รู้เรื่องด้วย ปล่อยค่ะ”
“อย่าดื้อน่ะ กัญชพร เธอก็รู้ว่าไม่เคยมีใครเอาชนะพี่ได้ถ้าพี่ตั้งใจจริงขึ้นมา”
เสียงห้าวลึกไม่บอกว่าแค่ขู่เล่น เป็นเหตุให้ปากบางอิ่มสีชมพูระเรื่อเม้มปากเข้าหากันด้วยความขัดใจแกมไม่พอใจ แต่ทั้งที่ขัดเคืองใจก็จำต้องยอมรับ สัมผัสของชายหนุ่มยังก่อความรู้สึกวูบๆ วาบๆ ขึ้นในกายหล่อนได้ไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อน
ครั้งหนึ่งมือนี้เคยแตะต้อง เคยสัมผัสเสียยิ่งกว่าจับมือถือแขน แม้ขณะนั้นสติสะตังเขาจะไม่ครบสมบูรณ์เนื่องจากถูกฤทธิ์น้ำเมากดสติสัมปชัญญะไว้เกือบทั้งหมด
เพียงนึกถึงค่ำคืนแห่งความโง่เขลา หน้านวลพลันแดงก่ำแล้วกลับซีด
“คุณนวินวรรษคะ”
หล่อนเรียกด้วยเสียงเกือบจะเป็นขอความเห็นใจ ขณะบิดแขนไปมาให้พ้นการเกาะกุม แต่เจ้าของอุ้งมืออุ่นไม่สนใจเลย พูดเหมือนจะรื้อฟื้นความทรงจำ โดยไม่รู้ว่าไม่จำเป็นสักนิดเดียว เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเขา หล่อนไม่เคยลืม
“กัญเคยเรียกพี่ว่าพี่วรรษ”
หล่อนเงียบ จนเขาเรียกมาอีก
“กัญชพร”
ตาคมจ้องหล่อนแน่วนิ่งเมื่อตั้งคำถามคาใจ
“บอกให้พี่รู้หน่อย ว่าทำไมต้องวอล์ค-เอาท์”
นวินวรรษใช้สำนวนอังกฤษอเมริกัน หมายถึงการเดินออกเฉยๆ
เจ้าของตากลมสวยอึกอัก