บุสสดีกลับไปแล้ว แต่กัญชพรก็ยังเก็บคำพูดของนางแบบสาวมาคิด
หลังจากคิดกลับไปกลับมาก็สำนึกในความจริงอย่างหนึ่ง ที่ระยะหลังมานี้เริ่มสงสัย นั่นก็คือ นวินวรรษอาจจะไม่ได้พยายามที่จะหาจังหวะบอกเลิกคู่หมั้นตามที่ขอเวลาไว้
ไม่เช่นนั้นบุสสดีจะพูดเรื่องแต่งงานในเร็ววันขึ้นมาได้อย่างไร
การที่เขาไม่บอก และการหมั้นหมายระหว่างเขากับบุสสดียังทอดยาวมาเรื่อยๆ จนฝ่ายหญิงมาพูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา มีเหตุผลเดียว เขาพอใจจะแต่งงานกับผุสสดี และอาจมีใจให้กับนางแบบสาวอยู่ไม่น้อย อาจจะรักน้อยกว่าที่เคยรักภรรยาที่ตายจาก แต่ก็มีใจ ขณะกับหล่อนนั้นเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ
ก็อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ กัญชพรคือหลานยายสายผู้ใหญ่ที่เขาให้ความเคารพนับถือ
สรุปว่าหล่อนนั้นอยู่นอกเหนือหัวใจและแผนชีวิตของเขา
หล่อนทนไหวหรือ ถ้าต้องใช้ชีวิตอย่างผัวเมียกับผู้ชายที่มีเพียงความรับชอบในหัวใจโดยปราศจากความรักที่หล่อนใฝ่ฝันและหวังวงง่าจะได้รับสักวัน
ถ้ากัญชพรจะยังลังเลอยู่ เห็นว่าตนอาจจะคิดมากเกินไปเกี่ยวกับความรู้สึกที่นวินวรรษมีต่อคู่หมั้น หล่อนก็สิ้นความลังเลทันทีที่ได้เห็นภาพข่าวของเขากับบุสสดีในบ่ายวันหนึ่งหลังจากนางแบบสาวได้มาที่ฉัตรอรุณประมาณห้าวัน
ภาพที่ถูกเลือกมาประกอบข่าวสารคนดัง นวินวรรษโอบแขนเหนือเอว ปลายมือแตะชายโครงข้างหนึ่งของคู่หมั้นสาว สีหน้ายิ้มแย้มจนหล่อนแปลบใจ เพราะไม่ได้เห็นยิ้มสดใสอย่างนี้ของเขานานมาแล้ว นับแต่เขาสูญเสียภรรยาและลูกในท้อง และยิ่งเหมือนมีหนามแหลมทิ่มแทงความรู้สึกกับถ้อยคำขยายภาพข่าวในทำนองกระเซ้าเย้าแหย่
“ความรักใกล้สุกงอม... เพื่อนฝูงเตรียมแสดงความยินดีได้แล้ว เพราะว่าที่เจ้าสาวกระซิบกระซาบมาว่าชุดเจ้าสาวที่สั่งจากห้องเสื้อดังในปารีสเดินทางมาถึงเป็นที่เรียบร้อย”
อ่านทวนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ กัญชพรก็ตัดสินใจ
แม้จะไม่ยินดีนักเมื่อนวินวรรษบอกจะรับผิดชอบ แต่ก็เชื่อในคำพูดเหมือนจะให้สัญญาของเขา มาถึงตอนนี้หล่อนได้คิด ว่าที่นวินวรรษบอกจะรับผิดชอบนั้น เขาไม่ได้ระบุเวลาชัดเจนว่าเมื่อไหร่ จึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรอให้รู้แน่ว่ามีผลพวงสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้าหล่อนท้องเขาจึงจะรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ เขาก็คงหาทางหว่านล้อมให้หล่อนรับค่าชดเชยความสาวที่เขาปล้นไปเป็นอันจบเรื่อง จากนั้นเขาก็จะได้แต่งงานกับคู่หมั้นตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก
ไม่! หล่อนจะไม่อยู่รอจนถึงวันนั้น
เขาขอเวลาจากหล่อนเพื่อเคลียร์กับคู่หมั้น แต่นี่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนเต็มๆ นอกจากเขาไม่เคยมาบอกอะไรกับหล่อนอีก ยังมีข่าวคราวความคืบหน้าเรื่องเขาจะแต่งงานกับนางแบบสาว
ไม่มีทางอื่น หล่อนต้องไปจากฉัตรอรุณ และควรไปก่อนบุสสดีจะมาเป็นนายผู้หญิงของบ้าน
จะไปไหน ไปอย่างไร หล่อนยังนึกไม่ออก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไป!
หญิงสาวร่างบางอรชรโอบแฟ้มเอกสารหนังสีดำไว้ชิดอกด้วยสองมือขณะก้าวเข้าลิฟต์ที่ยืนรออยู่นานพอสมควร
หญิงสาวมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง จึงไม่ทันสังเกตผู้โดยสารที่ลงมากับลิฟต์คนหนึ่ง กระทั่งลิฟต์เริ่มเคลื่อน สมองจึงค่อยรับรู้ถึงการมีตัวตนของเพื่อนร่วมทางที่เป็นบุรุษสวมสูทสีน้ำเงินเข้ม ยืนเงียบชิดผนังด้านในมุมหนึ่ง
ด้วยความสูงเพียงร้อยห้าสิบเจ็ดเซนติเมตร สายตามองตรงของหญิงสาวจึงอยู่แค่ระดับแผ่นอกกว้างใต้เชิ้ตสีฟ้า
หล่อนคงไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะมีหน้าตาอย่างไร หากสัญชาตญาณชนิดหนึ่งจะไม่ส่งสัญญาณเตือน
แม้ขณะใจที่เต้นปกติจะเต้นแรงขึ้น หล่อนก็ไม่ได้เหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้าเจ้าของร่างสูงนั้นในทันที แต่ค่อยๆ มองไล่ขึ้นไปทีละนิด ๆ จากอกไปที่ลำคอแข็งแรง ต่อไปยังปลายคางบึกบึน แล้วก็ริมฝีปากอิ่มเต็มหนักแน่นได้รูปงาม
ร่างบางซวนเซทันทีที่ประสานสายตาเข้ากับดวงตาเข้มคมที่มองมาอยู่ก่อนแล้วในลักษณะตกตะลึง
ใบหน้าขาวนวลของหล่อนเผือดวูบ ความรู้สึกเหมือนอากาศภายในลิฟต์ที่กำลังเลื่อนขึ้นมีน้อยจนไม่พอสำหรับหายใจ รีบสูดลมหายใจเข้าปอด แต่ดูจะสายไปเสียแล้ว
พื้นใต้ฝ่าเท้าโคลงเคลงเหมือนจู่ๆ เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงทำเอาวิงเวียนจนต้องรีบหลับตาลง แต่ไม่ก่อนที่จะรับรู้ว่าพื้นลิฟต์กระดกขึ้นหาใบหน้า แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ
สิ่งที่มองเห็นเมื่อรู้สึกตัว คือฝ้าเพดาน ร่างบางลุกขึ้นนั่งอย่างพรวดพราดเมื่อความทรงจำกลับคืนมา
ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของหล่อนอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลา เพราะมีเสียงพูดมาจากมุมหนึ่งภายในห้องทันที
“ไม่ต้องตกใจ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง จับอยู่ที่ร่างสูงในสูทสีน้ำเงินเข้มที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหา ใบหน้าคมสันเคร่งเครียด ไร้รอยยิ้ม
ยิ่งร่างสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างสูงนั้นสูงใหญ่ และไหล่ก็กว้างกว่าที่หล่อนจำได้
บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ ไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจนถึงความรู้สึกของตัวเอง
ตกใจ หวั่นไหว ตื่นเต้น หรือว่าหวั่นกลัว
“ไม่เคยรู้เลยนะว่าหน้าตาพี่เหมือนอสูรกายขนาดว่าทำเอากัญถึงกับลมใส่ทันทีที่เห็นเข้า”
เสียงห้าวลึกแฝงกังวานเยาะหยันทำให้ตากลมโตเบิกกว้างค้างอยู่รีบกระพริบ