ฉันตกใจรีบลุกขึ้นทันที พร้อมกับยื่นมือไปจับตะเกียงที่หัวเตียง นี่มันอะไร!!! มีคนฉวยโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร??? นี่มันในโบสถ์แท้ๆ
ฉันจับตะเกียงแน่นเตรียมฟาดลงที่หัวของบุรุษปริศนา
“วางลงเลยลีอา….” เขายกมือขึ้นมาจับตะเกียงไว้
ปรากฏใบหน้างดงามที่กำลังงัวเงียอยู่ ผมยาวสีเงินของเขากำลังยุ่งเหยิง
“ท่านเลออน…”
“เป็นอะไรไป จะยกตะเกียงมาฟาดข้าทำไม???”
“ก็ท่านมานอนบนเตียงข้า…”
“ลีอานี่เตียงข้า…”
ฉันขมวดคิ้ว
“นี่ต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ ..เดกุชให้ข้ามานอนให้ห้องนี้”
“ก็ใช่..ข้าสั่งเดกุชเอง”
“ห๊ะ!!!…ท่านสั่งเดกุชเช่นนั้นทำไมกัน!!!”
ฉันลุกขึ้นจากเตียงไปนั่งที่เก้าอี้
“เหตุใดไม่มานอน??”
“ข้าเพียงสงสัยว่าทำไมข้าต้องนอนร่วมห้องกับท่าน”
เลลีอาจ้องมองใบหน้างดงามนั้น ใช่แล้วฟังไม่ผิดใบหน้าของเขาช่างงดงามราวนางฟ้าบนสวรรค์ งดงามจนเลลีอายังต้องอายทุกคราที่มองหน้าเขา
“นี่เป็นหนึ่งในข้อที่ตกลงกันไว้”
“ข้าไม่เห็นมีกฏข้อไหนที่ต้องนอนร่วมห้องกัน!!!”
เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงอุ้มเลลีอาในท่าเจ้าหญิง
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ!!”
เลลีอาดิ้นในอ้อมกอดเขา กลิ่นหอมจางๆ จากเรือนร่างแกร่งของเขาทำเอาเลลีอาหน้าแดง เขาบรรจงวางเธอลงบนเตียง
“นอน..”
เลลีอาดึงผ้าห่มมาปิดหน้าเธอไม่อยากให้เขาเห็นว่าใบหน้าของเธอตอนนี้มันแดงแค่ไหน เขาขยับเข้ามาใกล้พร้อมดึงเธอไปกอด เขาสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนผมของเธอ
“ท่านเลออน!!”
เลลีอาพยายามผลักเขาออกทว่าเขายิ่งกอดรัดแน่นอีกทั้งดึงเธอเขาไปใกล้กว่าเดิม
“หากเจ้าไม่หยุดดิ้น…มันจะไม่จบแค่นอนเฉยๆ แน่”
เลลีอาผ่อนแรงลง เธอยอมนอนเงียบๆ ตามคำขู่ของเขาก็ได้
“รู้จักกับนักบวชฮาลัว?”
“ค่ะ….เคยเป็นเพื่อนสมัยเด็ก” เขาก้มหน้าลงจูบเบาๆ บริเวณคอทำเอาฉันตกใจ
“ทะ…ท่านเลออน”
“อย่าอยู่ตามลำพังกับเขาอีกข้าไม่ชอบ!!!”
เลลีอาหมวดคิ้ว เธอไม่อยากจะเชื่อว่าคำนี้จะออกมาจาก พระสัตปะปา มาโกร์ ดานีส เลออน!!!!
นี่มันบ้าไปแล้ว เธอกำลังนอนกับท่านโปป??
“เขาเป็นเพื่อนของข้า แล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ท่านจะไม่ชอบเวลาข้าอยู่กับเขา”
เลออนมองริมฝีปากอวบอิ่มที่กำลังเถียงเขาพลันรู้สึกหมั่นเขี้ยว เขาอยากจะก้มลงจูบนางแรงๆ สักที แต่ทว่ายังไม่ถึงเวลา การที่เขาบังคับนางมานอนร่วมเตียงนี้ก็นับว่ามากเกินไปแล้ว
แต่เขามีทางเลือกหรือ วันนี้นางไปทานอาหาร นักบวชพวกนั้นก็จ้องนางตาเป็นมันราวกับจะกินนางให้ได้ ไหนจะนักบุญฮาลัวนั่นอีก ท่าทางสนิทเกินงามนั่น มองทีไรก็ขัดลูกตาชะมัด
เขาทำได้เพียงดึงนางมากอดแล้วพรมจูบเบาๆ อย่างทะนุถนอม
ใบหน้าเล็กๆ นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง เขายิ้มอย่างชอบใจ
นี่เรียกว่าหวั่นไหวหรือเปล่านะ??? นางเริ่มมีใจให้เขาหรือยัง???
ไม่นานเลออนก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของลีอา นางหลับในอ้อมกอดเขาอย่างน่าเอ็นดู
เขามองนางพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะร่ายเวทย์คุ้มครองนางแล้วหลับตาลง
ฉันลืมตาขึ้นมาด้วยใบหน้าตกใจ พร้อมกับลุกพรวดจากที่นอน พอมองรอบๆ ก็ไม่เจอใครสักคน ฉันก้มมองสำรวจตัวเอง ก็พบว่าชุดนอนที่สวมไว้ยังคงอยู่ดี
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็อดหน้าแดงไม่ได้
ท่านโปปโรคจิตนั่นไหนว่าอายุเป็นร้อยปีไม่สนใจเรื่องชายหญิงไง ทำไมเมื่อคืนเขาทั้งหอมทั้งพรมจูบเธอทั้งคืน จะไม่ให้เธออายยังไงไหว
แล้วยังจะใบหน้างดงามนั่นอีก เธอไม่ใช่ก้อนหินสักหน่อยจะไม่หวั่นไหวได้ยังไง
เขากำลังล้อเล่นกับความรู้สึกฉันอยู่แน่ๆ หรือว่า….เขาเป็นคนรักเก่าของหลานสาวเธอ….
คิดได้ดังนั้นจู่ๆ ความรู้สึกหน่วงในใจก็เกิดขึ้น เขาเห็นเธอเป็นตัวแทนหลานสาวงั้นเหรอ???
เกือบไปแล้ว…เธอเกือบจะหวั่นไหวกับเขาไปแล้ว….
“ทำได้ดีมากลีอา การร่ายเวทมนต์ไม่ได้ยากอย่างที่คิดใช่ไหม??”
ฉันอยู่ในห้องเรียนร่ายเวทมนต์ จะว่าห้องเรียกก็ไม่ถูกเพราะในห้องมีฉันกับเด็กเหลือขอคนหนึ่ง…
“อาจารย์ทีข้าทำได้ไม่เห็นอาจารย์จะชมข้าบ้างเลย…”
“องค์ชายเจส..พระองค์ยอดเยี่ยมเรื่องการร่ายเวทย์อยู่แล้ว…สำหรับพระองค์ควรเริ่มเรียนเรื่องการต่อสู้ได้…”
“ท่านอาจารย์ ท่านจะส่งข้าไปให้พวกองครักษ์นั่นต่อยตีข้างั้นเหรอ ไม่ทาง ข้าไม่เรียนเรื่องเจ็บตัวเช่นนั้นหรอก”
เขาหันมาทางฉันพร้อมส่งยิ้มให้
“อยู่เรียนร่ายเวทมนต์กับเลดี้ลีอาดีกว่า”
ฉันและฮาลัวถอนหายใจมาพร้อมกัน ฉันชักเริ่มจะชินกับการอยู่ที่โบสถ์แล้ว พรุ่งนี้ก็ครบเจ็ดวันที่ฉันเข้ามาอยู่ที่โบสถ์ หลังจากวันแรกที่ฉันมาก็เกิดเรื่องด่วนที่เดอนีเซีย มีปีศาจอาละวาดในเมือง ผู้คนล้มตายจำนวนมาก ท่านเลออนจึงรีบเร่งไปดูสถานการณ์ก่อน
ส่วนฉันได้ยื่นคำขาดกับเดกุชไปว่าให้จัดห้องใหม่ให้ฉัน ในตอนแรกเดกุชก็ไม่ยอม พอฉันขู่ว่าจะหนีกลับบ้านเขาก็ใจอ่อนลงให้สาวใช้ไปจัดห้องให้ใหม่
การร่ายเวทไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด อาจจะเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวลีอามาก็ได้ทำให้เพียงแค่อ่านตำราก็สามารถร่ายเวทมนต์ได้เลย
ฮาลัวก็สอนได้เข้าใจมาก เพียงแต่เขารับหน้าที่ดูแลองค์ชายด้วย จึงหนีไม่พ้นที่เขาต้องพาองค์ชายเจสันมาเรียนพร้อมกับฉันด้วย
ในวันแรกที่เราเริ่มเรียนก็มีคนจากพระราชวังมาที่โบสถ์พอดีเขาต้องการให้เจสไปต้อนรับ เจสก็ไปต้อนรับโดยมีฉันและฮาลัวไปด้วย
คนที่มาเกินคาดไปหน่อย เขามิใช่องค์ชายหรือองค์หญิงแต่ทว่าเป็นถึงองค์รัชทายาท ทันทีที่เห็นเจสันองค์รัชทายาทก็ยื่นเท้าให้เขา เรื่องนี้ทำเอาฉันและฮาลัวตกใจมาก
เจสก้มลงและใช้ผ้าเช็ดไปที่รองเท้าองค์รัชทายาท ใบหน้าขององค์รัชทายาทนั้นฉายแววสะใจออกมา
“จำไว้คนที่มีเลือดราชวงศ์เพียงครึ่งอย่างแกน่ะ อยู่และตายไปที่โบสถ์นี่แหละจะได้ชดใช้ความอัปยศที่แม่แกสร้างไว้!!!!”
เจสยังคงก้มหน้าเช็ดรองเท้าโดนไม่ปริปากพูดใดสักคำ
องครักษ์ขององค์รัชทายาทยกกระป๋องน้ำมาสาดใส่เจส
“เอ้า!!!…ขออภัยครับ กระหม่อมแค่จะนำน้ำล้างเท้านี้ไปเททิ้งดันสะดุดไปเทใส่องค์ชายเสียได้”
เสียงหัวเราะขององครักษ์และองค์รัชทายาทดังขึ้นทั่วบริเวณนักบวชมากมายมายืนมุงดูแต่ก็ไม่มีใครกล้าไปห้าม
ฮาลัวเดินเข้าไป เขาถอดผ้าคลุม คลุมให้องค์ชายเจส
“องค์รัชทายาทท่านมาขอประสาทพรใช่ไหมครับ ขอเชิญทางด้านนี้เลย”
“เดี๋ยว…เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาแส่!!!!”
“กระหม่อมมีนามว่าฮาลัว..”
องค์รัชทายาทยกยิ้มมุมปาก
“อ๋อ..นักบวชที่เป็นเด็กข้างถนนไม่มีพ่อแม่นั่นน่ะเหรอ???”
องค์รัชทายาทหัวเราะ
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นคนเลือกเจ้าให้เป็นคนสอนเจสเองกับมือเลยนะ ฮ่า..ฮ่า”
“เป็นพระมหากรุณา…”
“เหมาะสมกันดีอาจารย์ที่มาจากข้างถนนกับองค์ชายที่เป็นลูกโสเภณี!!!!….ฮะ..ฮ่าา”
ฉันเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของเจสเขาง้างมือเตรียมจะต่อยหน้าองค์รัชทายาทแต่ฮาลัวรีบจับมือเขาไว้
“เจ้าดูถูกข้า…ข้าไม่ว่าแต่อย่ามาดูหมิ่นอาจารย์ข้า!!!”
“ดูหมิ่นเหรอ???? …ข้าเพียงกล่าวความจริงเป็นเจ้าเองที่รับความจริงนี้ไม่ได้”
เจสกัดกรามแน่น ไม่ดีแล้วฉันต้องทำอะไรสักอย่าง
“หากพูดถึงความจริงแล้วย่อมเป็นสิ่งไม่ผิดใช่ไหมเพคะ”
ฉันเดินไปพร้อมส่งยิ้มหวานให้องค์รัชทายาท เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ทันทีที่พบหน้าฉัน
“เลดี้ที่งดงามผู้นี้ท่านชื่อ…”
“เลลีอา ฟีเจอร์ ค่ะ”
“อ๋อ….ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลดี้มาก่อน…”
“หม่อมฉันไม่ค่อยชอบออกงานสังคมเท่าไหร่เพคะ หม่อมฉันชอบเที่ยวเล่นในหมู่บ้านมากกว่า”
“ฮะ..บังเอิญนักเราก็ชอบเที่ยวเล่นที่เมือง…”
“งั้นหรือเพคะ…เช่นนั้นพระองค์เคยได้ยินเรื่องภรรยาของชาวประมงไหมเพคะ”
ใบหน้าขององค์รัชทายาทแข็งค้าง เขามองฉันด้วยดวงตาแข็งกร้าว
“เลดี้…..ท่าทางจะรู้เรื่องเยอะเลยนะ”
“ไม่เลยเพคะ…เพียงแต่เรื่องนั้นโด่งดังจนคนที่ไม่สนใจยังทราบเรื่อง….อ๊ะ!!…องค์ชายเจสันอยากฟังใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังนะ..”
องค์รัชทายาทกำมือแน่น
“หากเลดี้กล่าวแม้แต่คำเดียว…”
“มีบุรุษร่ำรวยผู้หนึ่งเกิดพึ่งใจในภรรยาของชาวประมง…”
ฉันมองหน้าองค์รัชทายาทพร้อมทั้งยกยิ้ม
“เขาทำทุกวิถีทางเพื่อได้ภรรยาคนงามของชาวประมงมาครอบครอง….ทุกอย่างนั้นรวมถึงการฆ่าชาวประมงทิ้ง แต่ทว่าถึงแม้เขาจะได้ภรรยาของชาวประมงมาครอบครองแต่นางหาได้สนใจหรือว่ารักเขาไม่”
องค์รัชทายาทกัดกรามจนใบหน้าเขาสั่นเบาๆ เขากำมือแน่นดวงตาจ้องมาทางฉัน
“แต่ทว่าสิ่งที่น่าตกใจคือ ภรรยาชาวประมงตั้งครรภ์….เพคะ ชาวบ้านก็เลยพูดกันหนาหูเชียวว่าเด็กคนนั้นคือลูกใครกัน…ลูกนายท่าน หรือว่าลูกชาวประมง แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกใครนายท่านก็ชุบเลี้ยงเป็นลูกคนโปรดพร้อมทั้งยกสมบัติของตระกูลให้…”
ฮาลัวกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของชาวบ้านที่ถูกสั่งห้ามพูดถึงเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เป็นเรื่องของฝ่าบาทและพระสนมคนโปรด เด็กที่พูดถึงก็คือองค์รัชทายาทนั่นเอง
ลีอาหาเรื่องปวดหัวอีกแล้ว
“เลดี้ลีอา….เจ้ากล้า”
“พระองค์ทรงกล่าวเองนี่เพคะว่าการพูดความจริงนั้นไม่ผิด อีกอย่างหม่อมฉันก็แค่เล่าเรื่องเอง หาใช่ความสำคัญอะไร แค่เรื่องเล่าสนุกๆ ของชาวบ้าน”
องค์รัชทายาทแค่นหัวเราะ เขายังคงจ้องมองมาทางฉัน
“เลดี้ลีอา…ดี ดี …ข้าชอบ”
เขาเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับจับปลายผมไปจูบเบาๆ
“เลดี้ช่างพูดช่างเจรจายิ่งนัก” เขาก้มลงมากระซิบข้างหู
“อยากจะรู้ว่าพอเวลาอยู่บนเตียงเลดี้จะยังพูดมากอยู่อีกไหม????”
องค์รัชทายาทส่งยิ้มเยาะให้ฉัน ฉันส่งยิ้มกลับไป พร้อมทั้งเขย่งขากระซิบข้างหูเขา
“พอถึงเวลานั้นหม่อมฉันคงไม่ค่อยพูดเพคะ….แต่ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำเช่นไรเวลาอยู่บนเตียงพระองค์ก็คงไม่มีวันได้รู้”
ฉันส่งยิ้มให้องค์รัชทายาทอีกครั้งก่อนจะใช้มีดตัดผมที่อยู่บนมือเขาออก มือเขายังคงกำเส้นผมฉันไว้แน่น
น่าขยะแขยงที่สุด
ฮาลัวทำความเคารพแล้วพาเจสันเดินออกมา
หลังจากเหตุการณ์นี้ฮาลัวก็สวดฉันยับ ส่วนเจสก็ตามติดชนิดที่เป็นเงา
“พรุ่งนี้เราต้องเตรียมเก็บข้าวของกันแล้วนะลีอา….ต้องเดินทางไปเดอนีเซีย…”
ฉันยิ้มให้ฮาลัว
“ไม่เป็นไรค่ะฮาลัว….ข้าพร้อมเดินทางทั้งร่างกายและจิตใจ ข้ามั่นใจว่าข้าเข้มแข็งพอ”
ฮาลัวส่งยิ้มกลับมาให้ฉัน
“ข้าเองก็เก็บของเรียบร้อยแล้วครับท่านอาจารย์…”
“องค์ชายเสด็จไปไม่ได้ครับที่นั่นอันตราย..”
องค์ชายเจสลุกขึ้นยืนกอดอกท่าทางแบบเด็กๆ นั้นทำเอาฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ลีอา ห้ามหัวเราะข้านะ ยังไงข้าก็จะไปปกป้องลีอาครับท่านอาจารย์”
ฮาลัวส่ายหัว
“องค์ชาย…”
“หากท่านอาจารย์ไม่ให้ข้าไป…ข้าจะหนีไป…เอ่อ…”
เจสเหลือบมองมาทางฉัน
“ข้าจะพาลีอาไปด้วย หนีไปเลย…”
ฉันหัวเราะ
“องค์ชายเพคะ…เราไปเดินเล่นกันไหมคะ”
ฉันส่งยิ้มให้เจส พร้อมกับขยิบตาให้ฮาลัว
“ได้..นั่นอาจจะทำให้ข้าใจเย็นลง”
ฉันพาเจสมายังสวนดอกไม้ด้านหลังโบสถ์ ที่นี่เป็นเนินเขาขนาดย่อมที่สามารถมองดูวิวโบสถ์และหมู่บ้านได้
“มีที่สวยๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าไม่เห็นรู้เรื่อง”
ฉันปูผ้าแล้วนั่งลง
“ข้าเคยมาที่นี่สมัยยังเด็กเพคะ….มากับเพื่อน..”
“ลีอาอยู่กันลำพังเจ้าพูดกับข้าแบบธรรมดาพอ”
ฉันมองหน้าเจสแล้วพยักหน้า…
“เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน จนทุกคนแยกย้ายกันไปเติบโต…เจสเจ้าก็เช่นกัน”
เจสมองหน้าฉันด้วยเครื่องหมายคำถาม
“เจ้าคือคนของราชวงศ์…วันหนึ่งเจ้าก็ต้องกลับไปยังพระราชวัง”
“ข้าไม่กลับ…และก็ไม่มีทางกลับด้วย คนสกปรกพวกนั้นนำข้ามาทิ้งไว้ที่นี่ ข้าไม่มีใครเลยลีอา”
แววตาของเขาปรากฏความเศร้าโศก
“เมื่อก่อนข้ามีเพียงอาจารย์ แต่ตอนนี้ข้ามีเจ้าอีกคน…หากเจ้าทั้งสองคนไปแล้ว….แล้ว…มะ..ไม่กลับมา…”
“เจสเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว…หากเจ้าไม่เชื่อใจข้ากับอาจารย์ก็จงเชื่อใจท่านเลออนเถิด”
“ลีอา…”
“ท่านอาจารย์ไม่อยากให้เจ้าไปเพราะว่า ฮาลัวรักและเป็นห่วงเจ้ามากนะ”
เจสเงียบไป
“ข้า…..”
“เชื่อข้าเถอะน่า….รออยู่ที่นี่ข้าจะเขียนจดหมายมา”
เจสนั่งลงข้างๆ ฉันเขาเอาหัวมาพิงไหล่ฉันพร้อมกับหลับตาลง
“สัญญาแล้วนะว่าจะเขียนจดหมายมา”
ฉันยกยิ้มพร้อมกับเอามือลูบผมเขาเบาๆ
“แน่นอน….จะเขียนกลับมาจนเจ้าอ่านไม่ทันเลย”
เสียงหัวเราะดังขึ้น เราทั้งสองนั่งมองบรรยากาศพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าด้วยกัน แสงสีส้มที่สาดไปทั่วทั้งท้องฟ้าทำให้เกิดความอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด