เอี๊ยดดดด..
เสียงรถที่เบรกกะทันหันทำให้หญิงสาวที่วิ่งทะเล่อทะล่าออกมาหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนเป็นลมหมดสติล้มลงไปบนพื้นถนน ใครจะคิดว่าขับรถบนถนนอยู่ดีๆ ก็เกือบจะดวงซวยชนคนตาย ริมฝีปากหนาสบถออกมาเสียงดังลั่นขณะเปิดประตูรถออกไปดูคนที่วิ่งมาตัดหน้ารถเขา
จินตภัทรมั่นใจมากว่าเหยียบเบรกทันและไม่ได้ชนเธอเข้าแน่นอน ดวงตาคมเข้มมองสำรวจคนหมดสติอย่างใช้ความคิด มองดูเลือดบนฝ่ามือเธอทั้งสองข้าง เสื้อเชิ้ตสีครีมเปื้อนเลือดและขาดเป็นทางยาว เธอไม่ได้สวมรองเท้า จากสภาพภายนอกที่เห็นทำให้เขาคิดไปในทางดีไม่ได้เลย คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัยหนัก มองดูใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือออกไปเขย่าตัวหญิงสาวตรงหน้าเพื่อเรียกสติ
“เชี้ยเอ๊ย! ไปโดนอะไรมาวะ”
“เธอ! เธอตื่นสิ! เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ได้ยินที่พูดไหม!”
เรียกเท่าไหร่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่รู้สึกตัว ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาก็เห็นแต่รถที่วิ่งสวนผ่านไปมาก่อนหันกลับมามองคนที่นอนหมดสติอยู่ ริมฝีปากหนาพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ตัดสินใจอุ้มหญิงสาวขึ้นมาแล้วเดินกลับไปยังรถของตัวเอง
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
จินตภัทรมองหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวที่นอน สงบนิ่งบนเตียงในห้องฉุกเฉินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปโทรศัพท์ด้านนอก กำลังหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพยาบาลสาวก็เดินออกมาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้ว เธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรงเพียงแค่มีแผลฟกช้ำตามตัวเท่านั้น ส่วนรอยเลือดบนฝ่ามือและคราบเลือดที่ติดบนเสื้อผ้าของเธอก็เป็นเลือดของคนอื่น พอถามพยาบาลสาวถึงสาเหตุผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้บอกอะไร หลังจากคุยกับชายหนุ่มเสร็จ หล่อนก็ขอตัวเข้าไปดูคนเจ็บรายอื่นในห้องฉุกเฉินต่อ
ขายาวๆ ก้าวเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที สายตามองหญิงสาวที่กระชับแจ็คเก็ตหนังของเขาปิดซ่อนเสื้อเชิ้ตขาดวิ่นของตัวเอง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงพันกันยุ่งเหยิง แก้มซีกซ้ายบวมแดง สภาพของเธอคิดในทางดีไม่ได้เลย มองยังไงก็เหมือนถูกรุมโทรมมาไม่มีผิด เธอคุยกับพยาบาลเสร็จก็หันมามองทางเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นดูผ่อนคลายลงแต่ยังหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่
“เอ่อ.. ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้ แล้วยังใจดีพามาส่งที่โรงพยาบาลอีก ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” มนินพัทธ์คลี่ยิ้มบางๆ มองชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูแล้วอายุคงน้อยกว่าเธอ รู้สึกซาบซึ้งใจที่เขามีน้ำใจช่วยเหลือไว้เธอจริงๆ ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นยังไง
“ไม่เป็นไรครับ คุณพยาบาล ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน” พูดกับคนตรงหน้าเสร็จก็หันไปพูดกับพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เดี๋ยวค่ะ เอ่อ..เสื้อแจ็คเก็ตของคุณ” พอเห็นเขาจะเดินออกไปก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอสวมเสื้อของเขาอยู่
“ไม่เป็นไร เธอใส่ไว้เถอะ” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องก็ถูกพยาบาลสาวคนเดิมทักขึ้นมาเสียก่อน
“เอ่อ ไม่ได้รู้จักกันเหรอคะ”
“เปล่าครับ เธอวิ่งมาตัดหน้ารถผมแล้วก็สลบไปเลยช่วยพามาส่งโรงพยาบาลเท่านั้นเอง”
เขาเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ถึงอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไร ฟังจากที่พยาบาลบอกก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากพูดถึงมันสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็เลยเลือกปล่อยผ่านไปเพราะมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาอยู่แล้ว
จินตภัทรปรายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างไม่สนใจนักก่อนเดินออกจากห้องฉุกเฉินไป เดินมาจนถึงรถสปอร์ตของตัวเองที่จอดอยู่ ไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปนั่งเสร็จก็เตรียมจะสตาร์ทรถ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินเท้าเปล่าตรงเข้ามาหา จินตภัทรพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด กดเลื่อนกระจกรถลงเล็กน้อยเพื่อฟังว่าเธอจะพูดอะไร
“ขอโทษนะคะ เอ่อ.. ขอติดรถออกไปด้วยได้ไหม”
มนินพัทธ์รู้สึกเกรงใจเขามากจริงๆ แต่เวลาตอนนี้มันดึกมากแล้วแถมเธอยังอยู่สภาพแบบนี้ เธอไม่กล้าเรียกรถแท็กซี่หรือเดินออกไปข้างนอกโรงพยาบาลตามลำพัง เพิ่งเจอเรื่องแย่ๆ แบบนั้นมาก็กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีก จะให้นั่งรอในโรงพยาบาลจนถึงเช้าก็คงไม่ไหว ตอนนี้เธอทั้งง่วงและเพลียอยากจะหาโรงแรมนอนพักสักคืน
หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น มนินพัทธ์ยังรู้สึกกลัวและยังรู้สึกหวาดระแวงผู้ชายไปหมด แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ที่ช่วยเธอไว้ การขอติดรถออกไปกับเขามันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจกว่าจะไปกับคนอื่น
“ขึ้นมาสิ” ชายหนุ่มพูดตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ” มนินพันทธ์ฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ รีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งในรถทันที
บรรยากาศในรถเงียบสนิท เธอไม่รู้จะชวนเขาคุยเรื่องอะไรเลยเลือกจะนั่งเงียบๆ มากกว่า ดูแล้วเขาก็เหมือนไม่อยากพูดคุยด้วยเท่าไหร่ มนินพันธ์นึกขึ้นได้ว่ามีแว่นสายตาสำรองอยู่ในกระเป๋า มือบางเปิดกระเป๋าล้วงหยิบมันขึ้นมาสวมใส่
ความเงียบทำให้เธอจมดิ่งอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เวลาคนเราดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็ประดังประเดเข้ามาเหมือนกับเธอในเวลานี้ไม่มีมีผิด ซวยซ้ำซวยซ้อน..