ความฝันครั้งแรกของหลี่เหลียนฮวาที่นางจำได้ มีแค่เพียงเสี่ยวหานพลัดตกจากหน้าผาแล้วสิ้นลมจมอยู่ใต้ทะเลสาบเหมันตฤดูอย่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวนั้น บัดนี้นางรู้แล้วว่าเป็นเพราะเขาช่วยนางเอาไว้ด้วยความบังเอิญผ่านมาทางนั้นพอดีเพราะเขาอยากตอบแทนน้ำใจที่นางแบ่งปันขนม อาหารและเสื้อผ้าแก่เขา นางเห็นภาพสุดท้ายของเขาจึงร้องไห้สะเอื้อนและเจ็บปวดใจจนแม้แต่ตอนที่ตื่นจากความฝันน้ำตาของนางก็ยังคงไหลริน แต่ครั้งนี้เสี่ยวหานกลับเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์และตั้งใจที่จะช่วยนาง
ไม่ว่าข้าจะพยายามเปลี่ยนเรื่องราวสักเพียงใด จุดจบของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ สวรรค์ช่างใจร้ายกับเขานัก หลี่เหลียนฮวาตัดพ้อโชคชะตา
เมื่อเสี่ยวหานรู้ตัวว่าเขากำลังจะตกลงมาจากหน้าผาก็รีบปล่อยมือจากนาง ทว่านางกลับจับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม เสี่ยวหานจึงรีบดึงตัวหลี่เหลียนฮวาเข้ามากอดไว้แน่นขณะที่กำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ร่างของทั้งสองตกกระทบผืนน้ำเบื้องล่างแล้วจมลงไปในน้ำที่ยามนี้หนาวเย็นจับใจ เขาไม่อยากปล่อยมือของนางแม้แต่น้อย หวังจะช่วยนางให้ได้ แต่ร่างกายของเขาหนักอึ้งและสติกลับค่อย ๆ เลือนหาย เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะจมลงสู่ใต้ทะเลสาบอันกว้างใหญ่
หลี่เหลียนฮวารู้สึกได้ว่าอ้อมกอดของเสี่ยวหานหายไป นางจึงลืมตามองหาเขาก่อนจะเห็นร่างที่ไร้สติกำลังจมดิ่งลงไป
ไม่นะเสี่ยวหาน ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นเช่นนี้ หลี่เหลียนฮวารีบดำน้ำลงไปเพื่อคว้ามือของเสี่ยวหานก่อนใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงเขาให้พ้นสู่ผิวน้ำ นางค่อย ๆ ประคองเขาเข้าหาฝั่งอย่างอยากลำบาก
“เสี่ยวหาน เสี่ยวหาน เจ้าฟื้นสิ” นางพยายามปลุกเขาพลางร้องไห้
หลี่เหลียนฮวารีบตั้งสติของตนเอง จับชีพจรและฟังเสียงลมหายใจของเขา ก่อนคุกเข่าข้างลำตัวเขา เริ่มวางมือประสานและกดหน้าอกเพื่อช่วยเขา แม้ว่านางจะตัวเล็กและเริ่มไร้เรี่ยวแรงก็ไม่ทำให้นางยอมแพ้แต่อย่างใด พลางร้องเรียกเขาทั้งน้ำตา จนเขาเริ่มรู้สึกตัวและลืมตาขึ้น
“เสี่ยวหาน เจ้า...” นางดีใจจนพูดไม่ออก
“คุณหนู” เสี่ยวหานมองดวงหน้าที่น้ำตาเอ่อล้น
หลี่เหลียนฮวาโล่งใจได้ไม่เท่าไร นางเห็นที่ไหล่ซ้ายของเสี่ยวหานเริ่มมีเลือดซึมออกมา ก็รีบฉีกชายกระโปรงมากดแผลห้ามเลือดเอาไว้ ก่อนจะพากันไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ
สายลมยามรุ่งสางอันเย็นยะเยือกและละอองหิมะที่โปรยปรายจากฟากฟ้าราวกับจะซ้ำเติมความเจ็บปวดของพวกเขา ไม่มีทางรู้เลยว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดมาช่วยพวกเขาได้ ร่างกายที่บาดเจ็บและเหนื่อยล้าไม่สามารถหนีไปที่ใดได้อีกแล้ว ได้แต่รอคอยอย่างมีความหวัง
“ตรงโน้น มีคนอยู่ ข้างหน้านั้น” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น
“ไป ๆ มีคนอยู่ตรงโน้น” ชายอีกคนพูดยืนยัน
ใครจะมาก็มาเถิด ข้าไม่มีแรงหนีแล้ว หลี่เหลียนฮวาคิดในใจ ตอนนี้นางหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังเหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีและบาดเจ็บที่ขาจนแทบไม่รู้สึกเจ็บไปแล้ว
เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาได้สักพักก็มาหยุดลงตรงหน้าหลี่เหลียนฮวาและเสี่ยวหาน นางเงยหน้ามองด้วยความอ่อนล้า
“ทหารวังหรือ” เสี่ยวหานถามเขาเสียงแหบ
“คุณหนูหลี่เหลียนฮวาใช่หรือไม่” ทหารนายหนึ่งถามขึ้นมา
เสี่ยวหานพยักหน้าแทนคำตอบ
“คุณหนูอยู่นี่ขอรับ” เขาตะโกนสุดเสียง
ทหารวังหลวงได้รับแจ้งข่าวจากอาเฉินที่ไปถึงวังหลวงก่อนหน้านี้ไม่นาน เมื่อใต้เท้าหลี่ทราบเรื่องก็ส่งทหารวังออกมาตามหาบุตรสาวและเสี่ยวหานทุกที่ที่เขาคิดว่าเสี่ยวหานและหลี่เหลียนฮวาจะไป หากแต่เขานึกถึงครั้งนั้นที่บุตรสาวเขาร้องไห้เป็นห่วงเสี่ยวหานจะเป็นจะตายอยู่ที่ริมทะเลสาบ ก็ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาว่าเขาต้องมาดูที่นี่ด้วยตัวเอง
“เหลียนฮวา ลูกพ่อ” เขาทรุดตัวลงกอดบุตรสาวน้ำตารื้นที่เห็นนางปลอดภัย
“ท่านพ่อ เสี่ยวหาน” นางร้องไห้บอกเขาแล้วผล็อยหลับไปในอ้อมกอดบิดาด้วยความโล่งใจว่าจากนี้เสี่ยวหานจะปลอดภัยแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------
จวนสกุลหลี่
หลี่เหลียนฮวาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า
“ท่านพ่อ”
“เหลียนฮวา เจ้าปลอดภัยแล้ว เจ็บที่ใดหรือไม่” ใต้เท้าหลี่ถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
หลี่เหลียนฮวาส่ายหัว นางไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดที่ใดอาจจะเพราะนางเจ็บจนชาไปแล้ว หากแต่เมื่อนางขยับร่างกายก็เจ็บแปลบที่ขาจนร้องออกมา
“โอ๊ย”
“เหลียนฮวาเจ้าอย่าเพิ่งขยับตัวมาก ท่านหมอทำแผลให้เจ้าแล้ว อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะดีขึ้น” เขาปลอบนาง
“ท่านพ่อ เสี่ยวหาน”
ใต้เท้าหลี่หลบไปข้าง ๆ
“คุณหนู ข้าอยู่ตรงนี้” เสี่ยวหานตอบกลับมา
หลี่เหลียนฮวายิ้มให้เขาแล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้ง น้ำตาของความโล่งใจรินไหล
“แล้วคนอื่น ๆ เล่าเจ้าคะ” นางถามใต้เท้าหลี่
“ปลอดภัยดีแล้ว เหลียนฮวา เจ้าพักก่อนดีกว่า จะได้หายเร็ว ๆ” ใต้เท้าหลี่บอกบุตรสาว
เขาเดินออกไปพร้อมกับเสี่ยวหานเพื่อให้หลี่เหลียนฮวาได้พักผ่อน ร่างกายของนางยังฟื้นไม่เต็มที่เพราะนางใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยเสี่ยวหานและยังได้พิษไข้จากอากาศหนาวเย็นในวันนั้นด้วย หลังจากนั้นนางก็นอนหลับไปสองวัน
ด้านเสี่ยวหานเองก็กลับไปพักอยู่ที่เรือนและหลับไปหนึ่งวันเต็ม ร่างกายที่ฝึกหนักในช่วงปีที่ผ่านมาทำให้เขาฟื้นกำลังได้เร็วกว่าหลี่เหลียน ฮวา เขาอดทนไม่ยอมพักเพื่อเฝ้ารอนางฟื้น
สามวันต่อมา
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์เห็นหลี่เหลียนฮวาจึงเรียกนางด้วยความสดใสเช่นเคย
“อื้อ จิ่วเอ๋อร์ ข้าหิวข้าว”
“เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ตอบแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องครัว
แม่บ้านจางรีบน้ำสำรับกับข้าวมาให้หลี่เหลียนฮวาถึงในห้องนอน
“คุณหนู ค่อย ๆ ทานนะเจ้าคะ” แม่บ้านจางมองนางด้วยความเป็นห่วงปนดีใจที่เห็นนางฟื้นสติ
“อื้อ” นางตอบกลับแล้วทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
ใต้เท้าหลี่ที่มาหานางเมื่อเห็นว่านางกินอย่างมีความสุขก็โล่งใจที่บุตรสาวคนนี้กลับมาร่าเริงและแข็งแรงขึ้นแล้ว
กลุ่มชายชุดดำที่ลอบเข้ามาในจวนสกุลหลี่คืนนั้นถูกจับกุมไว้เพราะไม่สามารถสู้ทหารเฝ้ายามได้ ก่อนจะพ่ายแพ้ เขายิงพลุไฟขึ้นฟ้าเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่เหลือ ทั้งหมดถูกจับกุมไปขังในคุกหลวงเพื่อรีดเค้นหาผู้ที่บงการเรื่องราวทั้งหมด และไม่สามารถสละชีพตนเองได้เพราะทหารหลวงยึดยาพิษไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนพวกนี้ใช้ ส่วนคนที่เหลือข้างนอกหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรองเช่นเคย และพวกนั้นไม่มีใครกล้าคิดทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วเพราะกำลังเหลือน้อยและคนที่อยู่เบื้องหลังตัดขาดการติดต่อไปชั่วคราวเนื่องจากกำลังโดนเพ่งเล็งจากเหล่าขุนนางฝ่ายซ้ายเช่นกัน
ด้วยความช่วยเหลือจากอาเฉิน ทหารหลวงสามารถไปช่วยบุตรหลานขุนนางคนอื่นที่อยู่ในโรงไม้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้อาเฉินยังได้คุณงามความดีในการช่วยเหลือเย่ชิงหมิงหรือองค์ชายห้าอย่างสุดกำลังเช่นกัน
เย่ชิงหมิงหลังจากที่รอดชีวิตมาได้เริ่มตั้งใจเรียนอย่างจริงจังและฝึกฝนวิชาต่อสู้เพิ่มเติมทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนเท่าใดนัก เขาชอบตามเย่ชิงหลงหรือพี่ชายรองไปเที่ยวนอกวังมากกว่า นอกจากนี้เขายังมองเห็นความมุ่งมั่นของอาเฉินที่ตั้งใจช่วยเขาและไม่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังจนซาบซึ้งในน้ำใจ เอ่ยปากขอเป็นเพื่อนกับอาเฉินกลายเป็นสหายกันโดยปริยาย
หลี่เหลียนฮวาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ใต้เท้าหลี่ฟังโดยละเอียด เขาประทับใจความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด จิตใจดีของเสี่ยวหานและเพื่อตอบแทนที่เสี่ยงชีวิตช่วยบุตรสาวของเขาอย่างสุดความสามารถจึงรับเสี่ยวหานเป็นบุตรบุญธรรมและให้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหลี่
“หลี่หาน จากนี้ไปเจ้าจงตั้งใจเล่าเรียน” ใต้เท้าหลี่พูดกับเสี่ยวหาน
“ขอรับ”
“ท่านพ่อ เช่นนี้เขาก็กลายเป็นท่านพี่ของข้าน่ะสิเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาถามเขา
“เขาจะเป็นพี่ของเจ้า และเขาจะช่วยข้าดูแลเจ้า”
“ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง” เสี่ยวหานรับปากในใจไม่ได้คิดอื่นใดนอกจากอยากจะปกป้องหลี่เหลียนฮวาและสกุลหลี่ที่มีบุญคุณกับเขาอย่างท่วมท้น
นับจากนั้นมาเสี่ยวหานได้เข้ารับการฝึกร่วมกับทหารองครักษ์และร่วมชั้นเรียนกับองค์ชายห้า อายุรุ่นราวคราวเดียวกันและการเรียนการฝึกทำให้พวกเขาสนิทสนมกัน บัดนี้หากไปที่ไหนย่อมต้องเห็นพวกเขาสามคนอยู่ด้วยกันเสมอ
------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันหนึ่ง
“คุณหนู ทำไมตอนนั้นท่านไม่ปล่อยมือข้า” เสี่ยวหานถามหลี่เหลียนฮวาด้วยความสงสัย
“เรียกชื่อข้าเฉย ๆ ก็ได้ ตอนนี้เจ้าเป็นท่านพี่ของข้าแล้วนะ”
“เหลียน...เหลียนฮวา” เขาเรียกนางอย่างไม่คุ้นชิน
“อื้อ ข้าไม่มีทางปล่อยมือจากท่านหรอก ท่านก็ไม่ปล่อยมือข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ จากนี้ไปท่านต้องมีชีวิตที่ดีนะ ท่านพี่” นางยิ้มให้เขาอย่างสดใส
“ข้าจะปกป้องเจ้าตลอดไป เหลียนฮวา ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ” เสี่ยวหานให้สัญญากับนาง
เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะเสี่ยวหาน จากนี้ไปเจ้าต้องมีชีวิตที่ดีนะ หลี่เหลียนฮวามองหน้าเขาแล้วเกี่ยวก้อยสัญญา
กาลเวลาผ่านไปห้าวสันตฤดูที่นางมีชีวิตอยู่ในความฝันของ หลี่เหลียนฮวา ดอกท้อเริ่มผลิบานทั่วทั้งเมือง สายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสว ปีนี้เสี่ยวหานเป็นผู้ที่ชวนหลี่เหลียนฮวาไปเที่ยวเทศกาลในเมือง พร้อมกับจิ่วเอ๋อร์และอาเฉิน ที่บัดนี้ได้เข้าร่วมสังกัดทหารอารักขาประจำตัวเย่ชิงหมิง แน่นอนว่าองค์ชายห้าผู้นี้ต้องไม่พลาดที่จะได้โอกาสเที่ยวเล่นในเมืองหลังจากคร่ำเคร่งร่ำเรียนตลอดทั้งเดือนราวกับรอคอยช่วงเวลานี้มานานแล้ว
ทุกคนเดินเล่นในเมืองและแวะเดินชมเทศกาลด้วยสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจ เย่ชิงหมิงรบเร้าอาเฉินให้พาไปดูละครตรงกลางเมือง เขาจึงแยกจากเสี่ยวหานและพาจิ่วเออร์ไปด้วย พลางคิดในใจว่าเงินเดือนที่เพิ่งได้มาวันก่อนคงจะหมดในวันนี้เพราะองค์ชายห้าแน่นอน เย่ชิงหมิงไม่เคยพกเงินสักอีแปะไม่ว่าจะไปที่ใด
เสี่ยวหานพาหลี่เหลียนฮวาไปที่ร้านขายเครื่องเขียนที่อยู่ด้านในก่อนจัดแจงของบางอย่างใส่ถุง พานางหลบผู้คนมาที่สวนดอกไม้ ยามนี้ดอกไม้ในสวนผลิบานหลากหลายสี เขาพานางเดินไปที่พุ่มดอกโบตั๋นสีขาวและรู้ว่านางต้องดีใจมากแน่ ๆ
“ท่านพี่ พุ่มโบตั๋นสีขาวปีนี้ดูเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากนัก ท่านว่าไหม” เสี่ยวหานยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน เขาแอบมาปลูกดอกโบตั๋นสีขาวเพิ่มโดยไม่ให้นางรู้ ทั้งคอยดูแลเอาใจอย่างสม่ำเสมอ หากว่างจากการเรียนและฝึกฝนเมื่อใด เขามักจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนบางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหายไปไหนในวันหยุด ความเอาใจใส่ของเขาทำให้ปีนี้ดอกโบตั๋นเติบโตและบานสะพรั่งอย่างสวยงาม
“เหลียนฮวา เจ้านั่งนิ่ง ๆ ตรงนี้” เขาบอกหลี่เหลียนฮวา
“ทำไมหรือ”
เสี่ยวหานหยิบเครื่องเขียนออกมา
“ข้าจะวาดรูปเจ้ากับดอกโบตั๋น เจ้าจะได้เก็บไว้ดู”
“ท่านพี่ ใกล้เสร็จหรือยังเจ้าคะ ข้าเมื่อยแล้ว” นางไม่เคยต้องนั่งนิ่งให้ผู้ใดวาดรูปมาก่อน
“เรียบร้อยแล้ว เจ้าดูสิว่าชอบไหม”
หลี่เหลียนฮวาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสี่ยวหานวาดรูปได้ อีกทั้งยังวาดรูปได้สวยขนาดราวกับเป็นจิตรกรในวังหลวง
“ท่านพี่ วาดรูปได้สวยนัก ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อน” นางสงสัย
เสี่ยวหานยิ้มให้นางแทนคำตอบ ทั้งคู่นั่งเล่นพูดคุยกันในสวนดอกไม้อยู่สองชั่วยาม ก่อนกลับจวนสกุลหลี่
“จิ่วเอ๋อร์ วันนี้ไปเที่ยวกับพี่เจ้าสนุกหรือไม่”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ วันหลังข้าไปกับคุณหนูดีกว่า ท่านพี่ตามใจองค์ชายห้ามากเกินไปแล้ว” จิ่วเออร์ตัดพ้อ
“จิ่วเอ๋อร์ นาน ๆ ทีข้าได้ออกมาเที่ยวนอกวังหลวง เจ้าต้องตามใจข้าบ้างสิ” เย่ชิงหมิงขอความเห็นใจจากนาง
“ท่านดูสีหน้าอาเฉินก่อน วันนี้ท่านใช้เงินของเขาจนหมดใช่หรือไม่” หลี่เหลียนฮวาถามเขาเมื่อเห็นอาเฉิน
“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกเย่ชิงหลง คราวหน้าถ้าท่านไม่พกเงินมาสักอีแปะ ข้าจะให้เขาทิ้งท่านไว้ที่ตลาด” นางขู่เขา
“เจ้าช่างอำมหิตนัก ห้ามบอกท่านพี่เด็ดขาด ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงวังหลวงจะนำเงินมาคืนเขาสองเท่าเลย” เย่ชิงหมิงรับปาก เพราะไม่อยากโดนเย่ชิงหลงอบรมสามวันสามคืนที่สร้างความลำบากให้อาเฉิน
นับตั้งแต่เย่ชิงหมิงกลายเป็นสหายสนิทกับอาเฉิน เขาก็มักจะมีเรื่องวุ่นวายปวดหัวไม่น้อย ราวกับมีน้องชายตัวยุ่งเพิ่มอีกหนึ่งคน
“โอ๊ะ! นั่นท่านพี่ของท่านมาโน่นแล้ว” หลี่เหลียนฮวาชี้ไปทางด้านหลังเขา
“เจ้าอย่ามาล้อข้า วันนี้ท่านพี่ติดธุระ ไม่ออกมานอกวังหรอก” เย่ชิงหมิงแลบลิ้นใส่นาง
“เจ้าว่าอะไรนะ ชิงหมิง” เสียงคุ้นหูดังขึ้น
“ใครกัน ช่างบังอาจเลียนเสียงท่านพี่ข้า” เขาได้ยินเสียงนั้นแต่ก็ยังไม่เชื่อว่าพี่ชายของเขาจะออกมาเที่ยวได้
มือข้างหนึ่งจับหัวเขาให้หันมาข้างหลัง
“ชิงหมิง”
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงมาได้ เสร็จธุระแล้วหรือ” เขายิ้มแห้งเมื่อเห็นใบหน้าของเย่ชิงหลง
“ธุระที่เจ้าว่าคือเรื่องที่เจ้าก่อไว้กับเสด็จแม่ใช่หรือไม่ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ธุระของข้า เจ้าต้องกลับวังหลวงเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ” เขาตอบพลางยิ้มให้น้องชาย
“แย่แล้ว อาเฉิน วิ่ง ๆ ป่านนี้เสด็จแม่ถือไม้เรียวรอข้าแล้วมั้ง เดี๋ยวข้าจะได้อดทานข้าวเย็นพอดี” พวกเขาวิ่งไปพลางหันมาโบกมือลาทุกคน
“เย่ชิงหลง ท่านมีธุระอันใดที่จวนสกุลหลี่หรือไม่” หลี่เหลียนฮวาถามเขา
“อื้ม ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับใต้เท้าหลี่ เชิญเจ้าตามสบายเถิด ฮวาฮวา ส่วนนี่ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเลยนำมาให้เจ้า”
“ขอบพระทัยเพคะ” นางกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะพาเย่ชิงหลงไปหาใต้เท้าหลี่ที่ศาลาในจวนแล้วขอตัวกลับเรือน
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าไร้เมฆบดบัง ดวงจันทร์กลมโตสุกสกาวลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ หลี่เหลียนฮวาออกมานั่งชมจันทร์อยู่ด้านนอกเรือน นางคิดถึงวันแรกที่ตื่นขึ้นมาในร่างของหลี่เหลียนฮวา พบเจอผู้คนที่อยู่ในความฝัน เหตุการณ์ที่ประสบพบเจอ ภาพต่าง ๆ ยังคงอยู่ในใจนางเสมอมา
“ท่านพี่ เดินชมจันทร์หรือ” นางเห็นเสี่ยวหานเดินเล่นจึงเรียกเขา
“รอดาวตกต่างหาก ข้าจะอธิษฐาน” เขาตอบนาง
“ท่านขออะไรหรือ” เขายิ้มให้นางแต่ไม่ตอบ
ทั้งสองนั่งชมจันทร์อยู่หน้าเรือนเป็นเวลาเนิ่นนาน เมื่อเห็นดาวตกดวงหนึ่งต่างอธิษฐานในใจ
“เหลียนฮวา เจ้าเข้านอนเถิดดึกมากแล้ว” เสี่ยวหานบอกนาง
“อื้อ ท่านพี่” หลี่เหลียนฮวากล่าวกับเขาพลางมองหน้าเขาอยู่เนิ่นนานราวกับจะจดจำเขาไว้ในความทรงจำ นางยืนขึ้นก่อนหันตัวกลับเข้าเรือน
“เหลียนฮวา” เสี่ยวหานเรียกนางก่อนเอามือลูบหัวด้วยความเอ็นดู
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายกลับเรือน
ข้าขออธิษฐานให้ท่านพี่มีชีวิตที่ดี มีแต่ความสุข อย่าได้พบเจอเรื่องร้าย ๆ อีกเลยนะเจ้าคะ หลี่เหลียนฮวาเข้านอนคืนนี้ด้วยความอิ่มเอมใจ