กาลครั้งหนึ่งที่โคชนะUpdated at Nov 27, 2022, 00:29
“รอบบริเวณทุ่งนาของหมู่บ้าน วัวพันธุ์ไทยหลายฝูงยืนกินฟางแห้งกลางแสงแดดอันร้อนแรง มีหลายตัวเคยเป็นนักกีฬาวัวลานที่ต้องวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยมาก่อน บัดนี้พวกมันต่างยืนเคี้ยวเอื้องอย่างอิสระรอเวลาที่จะได้ขึ้นรถไปสู่ที่ใดที่หนึ่ง
“ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนั้นโดยมีปานเป็นผู้ช่วยอย่างเช่นที่เป็นมาตลอดปีที่แล้ว ปีนี้เราเริ่มต้นอย่างดีด้วยการรับเหมาจัดแต่งสวนรอบบริเวณสำนักงานของฟาร์มโคชนะ มีโรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่งมาจองคิวเราสองคนไว้ นอกจากนั้นภาพวาดของผมชุดนางรำเพชรบุรีก็มีผู้ซื้อไปในราคาที่ผมพอใจ
“ผมและปานยังคงความสัมพันธ์ไว้เช่นเดิม ซึ่งมันก็งดงามในเส้นทางที่ทำให้เราสามารถเป็นตัวของตัวเองอยู่ได้โดยไม่มีใครต้องเจ็บปวด ปานยังขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ต้องซ่อมกันเป็นครั้งคราว ยังเก็บหมาจรมาเลี้ยงและพาไปทำหมัน เราไปขนน้ำผึ้งกันเดือนละครั้งและเขาจะหยุดงานหนึ่งวันหลังจากนั้น ส่วนผมเองก็ทำงานส่วนตัวของผมไปในวันที่ไม่ได้ออกไปจัดสวนข้างนอก เมื่อได้รับเชิญไปงานที่มีรำวงผมไม่เคยปฏิเสธ เพราะผมมีคนพากลับบ้านทุกครั้ง...”
- -- -- -- -
...ตลอดหลายเดือนที่ทำงานกับคาเฟ่แห่งนั้นเจี๊ยบได้เห็นใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พวกลูกค้าต่างตั้งใจมาหามุมถ่ายรูปเพื่อนำไปลงสื่อสังคมให้ผู้ชมกดไลค์ เขาเห็นแววตาหม่นเศร้าและรู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาของผู้คนที่ต่างแสวงหาการยอมรับจากกันและกัน ในมือของทุกคนถือโทรศัพท์ที่พร้อมจะยกขึ้นหรือยื่นออกไปเมื่อได้จังหวะ พวกเขามักฉีกยิ้มร่าหรือทำหน้าตาไร้เดียงสาให้กล้อง บางคนทำปากกลมๆ ขยิบตาหนึ่งข้าง หรือแม้กระทั่งแลบลิ้นเลียริมฝีปากในแบบยั่วยวน แต่เมื่อลดกล้องลงแล้วพวกเขาก็เข้าสู่อารมณ์เก่าและนั่งจับเจ่าอยู่กับกาแฟเย็นชืดตรงหน้า
ลูกค้าหลายคนแต่งตัวทันสมัยเข้ามาในร้าน พวกเขามักเข้าไปยืนชิดติดกับแจกันดอกไม้ที่เจี๊ยบจัดวางไว้ใกล้กับเฟอร์นิเจอร์หรูและเครื่องประดับฉาก พวกเขาจัดท่าทางของตนเองอย่างกระตือรือร้นและไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อถ่ายภาพเสร็จจากมุมหนึ่งก็เคลื่อนร่างไปยังอีกมุม พวกเขามองไม่เห็นดอกไม้แม้ว่าจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หรือเอียงสะโพกเข้าไปจนชิด สิ่งที่พวกเขาเห็นคือฉากอันตระการที่ผู้ชมจะยกนิ้วให้ บางคนสะกิดเรียกเจี๊ยบให้เข้ามายืนถ่ายรูปด้วยกัน เพราะเจี๊ยบย้อมผมสีทองและใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ซึ่งมันช่วยทำให้ภาพถ่ายของพวกเขามีสีสันเพิ่มขึ้น เมื่อชัตเตอร์ลั่นกริกแล้ว พวกเขาก็หันหลังให้เจี๊ยบทันที ซึ่งเขาก็ไม่คิดอะไรมาก ลูกค้าคือคนที่ทำให้ร้านอยู่ได้ และเขาก็มีเงินเดือนพอใช้จากงานที่ทำอยู่
แต่ยิ่งนานวันไปเจี๊ยบเริ่มรู้สึกว่างเปล่า หัวใจของเขากลวงและมีรอยโหว่ เขาเหงา ไม่ใช่เหงาหาผู้คนที่เขาพบเจอวันละมากมาย ทั้งเพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานในร้านคาเฟ่ ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า ความเหงาของเขาไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด
เจี๊ยบเคยสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เอกพลก็เลิกทำงานที่กำลังไปได้ดีแล้วหันมาใช้ชีวิตที่แตกต่าง ตอนนี้เขาคิดว่าพอจะรู้เหตุผล ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรือขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานอย่างที่หลายคนประสบ แต่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่เกิดจากการแสวงหาบางสิ่งที่แม้ตนเองก็ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร การเปลี่ยนที่ เปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนสิ่งรายรอบ และเปลี่ยนผู้คนที่แวดล้อมก็อาจทำให้เขาพบคำตอบ
- -- -- -- -- --
“ผมนอนคิดไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่คิดแบบเมื่อก่อน เมื่อคืนผมวาดภาพในใจว่าหากผมอยากได้สมบัติในถ้ำจริงๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินเท้าเข้าป่าฝ่าอันตราย ผมคงต้องจ้างนายพราน นักสำรวจ นักผจญภัย หรือทหารรับจ้างให้นำทางไปตามแผนที่นี้ เราต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมทั้งอาวุธอันมีประสิทธิภาพที่จะฆ่าสัตว์ป่าทุกชนิดที่ขวางหน้า ซึ่งผมคงฆ่าพวกเขาไม่ลง นอกจากนั้นผมคงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนที่เต็มไปด้วยความโลภ มีความกล้าหาญแบบผิดธรรมชาติที่สามารถทำลายชีวิตอื่นได้เพื่อความสนุกหรือเมื่อจวนตัว อีกทั้งเรายังต้องติดต่อกับทางการพม่าเพื่อขอข้ามแดน เมื่อเรื่องนี้ขยายไปก็จะกลายเป็นเหตุยุ่งยากของผมและปานไม่มีวันจบสิ้น เราพ่อลูกชอบอยู่แบบเงียบๆ พอมีพอกิน ทำงานหาเลี้ยงชีพไปตามความถนัด ผมผ่านมาแล้วช่วงที่ผมอยากได้เงินเยอะๆ จนมาถึงวันนี้ สิ่งที่ผมอยากได้ที่สุดคือการมีชีวิตอย่างสงบสุข ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เป็นภาระกับใคร ผมไม่ต้องการร่ำรวยล้นฟ้า แค่ไม่เป็นหนี้เป็นสิน มีสุขภาพดี เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้หลังจากหายป่วย ผมพอใจแล้ว”
นายเปรียวจบคำพูดของเขาพร้อมกับเก็บม้วนแผนที่ลงย่าม
--
ผมรู้สึกอยากมีโอกาสพูดคุยกับพ่อแบบเดียวกับที่ผมกำลังนั่งคุยกับปีเตอร์ ผมนึกถึงฉากในที่เห็นในรายการทอล์กโชว์ที่มักมีเซอร์ไพรส์โดยการให้ผู้สูญหายออกมาแสดงตัวและโอบกอดกันพร้อมกับส่งเสียงอุทานอย่างยินดี ผมแอบคาดหวังว่าปีเตอร์จะมีเรื่องให้ผมแปลกใจโดยการดีดนิ้ว แล้วพ่อผมก็เดินออกมาจากหลังม่าน ผมสะบัดศีรษะเพื่อไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับ ผมไม่อยากให้ปีเตอร์เห็นผมอ่อนแอ เขาชำเลืองมองผมและหันไปจัดโน่นจัดนี่บนโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวล
“คุณไม่เป็นไรนะ คุณเอกพล”
“ครับ”
ปีเตอร์ลุกขึ้น เขาหยิบอัลบั้มจากบนโต๊ะและถืออย่างทนุถนอมเข้าไปเก็บในห้อง เขาใช้เวลาครู่หนึ่งในนั้น ผมมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมคงต้องกลับเสียที ผมพูดคุยกับปีเตอร์เกือบหกชั่วโมงเพื่อจะพบว่าโลกของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป