บทนำ
บทนำ
ณ จวนแห่งหนึ่ง
“นายท่านหวงจื่อหานกลับมาแล้ว ยินดีต้อนรับกลับสู่จวนขอรับ”
น้ำเสียงแหบพร่าตามอายุที่กำลังล่วงเข้าเลขหกสิบเอ่ยทักเจ้านายหนุ่มผู้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในจวนขนาดใหญ่โอ่อ่าแห่งนี้ โดยมีเขาเป็นพ่อบ้านดูแลรับผิดชอบเรื่องภายในจวน
จวนหลังใหญ่กินพื้นที่หลายลี้ หากนำมาจัดอันดับความยิ่งใหญ่จวนหลังนี้คงติดหนึ่งในสิบของจวนในเมืองหลวงได้อย่างไม่ยาก
กว้างขวางแต่ช่างเงียบเหงายิ่งนัก
ในจวนมีหลายสิบเรือนเรียงรายอยู่ในอาณาเขตทว่ากลับว่างเปล่าไร้ผู้คนพักอาศัยเพราะในจวนแห่งนี้มีเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือ....
หวงจื่อหาน
ชายหนุ่มผู้มีอายุเพียงยี่สิบแปดหนาวทว่าประสบความสำเร็จเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่งผู้ครอบครองตำแหน่ง....
ผู้ตรวจการแผ่นดิน
หัวหน้าหน่วยงานพิเศษ สำนักบูรพา
กองกำลังมากฝีมืออย่างองค์รักษ์เสื้อแพรเองก็อยู่ภายใต้การบัญชาการของสำนักนี้
ทั้งหมดทั้งมวลชายหนุ่มขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้เพียงผู้เดียวเท่านั้น
และอีกสถานะหนึ่งที่ผู้คนหวั่นเกรงไม่แพ้กันคือ
หวงจื่อหานเป็นสหายร่วมเรียนสำนักเดียวกันกับฮ่องเต้คนปัจจุบันอีกด้วย
ทว่าชายหนุ่มประสบความสำเร็จแค่เพียงเรื่องงานด้านเดียวเท่านั้น ด้านที่เหลือ....
ไร้ซึ่งครอบครัว ญาติมิตรสนิทกันเท่ากับศูนย์
อายุปูนนี้ภรรยาสักคนไม่แม้แต่คิดจะมีในหัว
ดังนั้นไม่แปลกที่ในจวนแห่งนี้จะทั้งว่างเปล่าและเงียบเหงาราวกับไร้สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยเช่นนี้
พ่อบ้านชรายิ้มต้อนรับผู้เป็นนาย
“พ่อบ้านจ้าว สั่งคนไปทำความสะอาดที่เรือนสักหลังและจัดหาข้าวของเครื่องใช้เตรียมให้คนเข้าไปอยู่”
“ขอรับ ว่าแต่เตรียมให้ใครหรือขอรับนายท่าน”
หน้าผากยับย่นยิ่งยู่เข้ามากันเข้าไปใหญ่ ร้อยวันพันปีจวนแห่งนี้มิเคยต้อนรับแขก
“....”
เพียงคำถามธรรมดาคำถามหนึ่งเอ่ยออกมาก็สามารถกระตุ้นให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ปกตินิ่งขรึมทวีความแข็งเกร็ง ความเกลียดชังใครบางคนขึ้นมา อีกทั้งร่างสูงองอาจยังแผ่รังสีโหดเหี้ยมอำมหิตออกมาสร้างความหวาดหวั่น ทำให้คนใช้โดยรอบพากันกรูถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ใครกันที่ทำให้เจ้านายน้อยของเขาแสดงท่าทีเกลียดชังได้ถึงเพียงนี้
“อย่ามาแตะต้องข้านะพวกขี้ข้า ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าเป็นสตรี สวมกระโปรงยาวเช่นนี้จะให้ข้ากระโดดลงจากรถม้าที่สูงขนาดนี้โดยมิมีบันไดได้อย่างไร มือพวกเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้ารึ! สกปรก....เหอะ หากมิมีบันได ข้ามิลง”
เสียงแหลมสูงของสตรีกำลังตวาดคนรับใช้ผู้น่าสงสารเรียกความสนใจจากพ่อบ้านชราได้เป็นอย่างดี
ภาพสตรีในอาภรณ์เนื้อผ้าคุณภาพธรรมดาๆผู้หนึ่งกำลังยืนเชิดหน้า สองมือจับกุมกันเอาไว้บนหน้าตัก กริยาท่าทางราวกับสตรีชั้นสูง ทว่าเสียงที่นางเปล่งออกมานั้นช่างตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ที่เห็นยิ่งนัก
สตรีผู้นี้จัดเป็นโฉมงามอันดับต้นๆในแคว้นฉู่แห่งนี้ได้ไม่ยาก แม้ว่านางสวมใส่อาภรณ์ธรรมดายิ่งก็ยังมิสามารถกลบความงดงามที่เปล่งออกมาจากตัวนางมิได้เลย
ดวงตาหยิ่งยโสเรียวรีกำลังจ้องมองไปที่ผู้อื่นราวกับผู้สูงศักดิ์มองเศษธุรีดินเบื้องล่าง คิ้วเรียวยาว สันจมูกโค้งสูง โครงหน้าเรียวงาม ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อดั่งกลีบกุหลาบ เส้นผมสีดำสนิทกำลังพริ้วไหวราวกับน้ำตกพริ้วไปตามสายลม รูปร่างนางหรือก็งามล้ำเลิศเหนือคำบรรยายใดๆ
งดงามราวกับภาพวาดอันประณีต
ทำให้คนมองรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่เป็นความจริง
ทว่าสิ่งที่บรรยายมาทั้งหมดกลับพังทลายทันทีเมื่อเจ้าของความงดงามเหล่านี้เปล่งวาจาออกมา
“ยังกล้าใช้สายตาชั้นต่ำมองข้าอีก ไปสิ! ไปเอาบันไดมาให้ข้าเหยียบ”
“ที่จวนของเรามะ ไม่เคยมีสตรีมาก่อน ละ เลยไม่มีบันไดขะ ขอรับมะ แม่นาง”
“น่าขันยิ่ง เช่นนั้นเจ้าก็ลงมานั่งชันเข่าแทนบันไดให้ข้าเหยียบลงสิ....เดี๋ยวนี้!”
“หะ หา!”
“เจ้าควรจะภูมิใจนะที่หน้าขาของเจ้าได้สัมผัสกับรองเท้าของข้า เร็ว! ข้าร้อนเต็มทีแล้ว!”
“ขะ ขอรับ”
“พ่อบ้านจ้าว....เรือนที่ให้จัดเตรียม เอาเป็นเรือนหลังเล็กท้ายจวน ยิ่งไกลจากเรือนของข้ามากเท่าไหร่ยิ่งดี”
“ขอรับ อะ เอ่อ สตรีท่านนี้คือผู้ใดหรือขอรับนายท่าน”
“เหอะ....อนุที่น่ารังเกียจคนหนึ่งก็เท่านั้น!”
“อะ อนุ!!!!”
ในโรงครัวกลาง
“นั่นทำไมเจ้าถือถาดอาหารเต็มชามกลับมาเล่า อนุหวางไม่หิวรึ”
สาวใช้ใบหน้าหน้าเปื้อนน้ำตา ที่ข้างแก้มมีรอยนิ้วมือแดงเถือกราวกับถูกคนตบมาอย่างแรง ในมือถือถาดที่วางชามทั้งกับข้าวหน้าตาน่าทาน กลิ่นโชยหอมกรุ่นและข้าวสวยกำลังร้อนได้ที่กลับมาที่ห้องครัวอีกครั้งทั้งที่เพิ่งเดินยกออกไปเมื่อไม่ถึงครึ่งก้านธูปที่แล้ว
“ฮึก ฮึก นางร้ายกาจยิ่งนัก ฮึก นะ นางบอกว่าข้ากลั่นแกล้งนาง บอกว่าข้าเอาอาหารที่คนใช้กินไปให้นาง พอข้าแก้ความเข้าใจผิดจึงโดนตวาดว่าข้าเถียงนางแถมยังโดนตบกลับมาเช่นนี้ ฮึก ชีวิตนี้ข้ามิเคยเจอสตรีใดปากร้ายและกริยาราวกับนางมารเช่นนี้มาก่อน ฮึก”
“จริงรึ อาหารคนใช้? นี่มันอาหารเดียวกับสำรับของนายท่านด้วยซ้ำไป ไยนางจึงเรื่องมากเช่นนี้ เจ้าเจ็บหน้าหรือไม่ ไป ไปทายาก่อน”
ไม่ทันไรสาวใช้ในครัวคนอื่นก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
“ไยนางจึงเอ่ยราวกับตนเองสูงส่งดีเลิศมาจากที่ไหน ข้าเพิ่งไปสอบถามผู้คุ้มกันติดตามนายท่านไปต่างเมืองมา นางมิได้ต่างจากสตรีอย่างพวกเรามากนักหรอกนะ”
“หากเป็นเรื่องของผู้อื่นเจ้านี่ว่องไวเชียวนะอาอี”
“แน่นอน....อนุใหม่ผู้นั้นเห็นท่านอู๋สี่บอกว่าเป็นบุตรีจากอนุภรรยาคนหนึ่งของท่านเจ้าเมืองอานฉวนที่นายท่านไปพักค้างแรมที่จวนตอนเดินทางไปทำงานให้ฝ่าบาท ทว่าสตรีผู้นั้นคิดร้ายวางยากำหนัดให้นายท่านของเราในค่ำคืนหนึ่งเพื่อปีนเตียงซึ่งนางทำสำเร็จ นายท่านจึงจำยอมรับนางเข้ามาเป็นอนุติดตามกลับเมืองหลวงเช่นนี้เพราะเห็นแก่หน้าของบิดานาง ดูสิพอได้เป็นเมียเจ้านายของเราก็เหิมเกริมขนาดนี้ ต่อไปพวกเราอยู่ไม่สงบสุขเป็นแน่”
“ที่แท้ก็เป็นอนุภรรยาที่นายท่านมิเต็มใจรับนี่เอง ข้าว่าแล้วว่าไยนายท่านจึงผลักไสนางให้อาศัยอยู่เรือนห่างไกลเช่นนั้น ตอนกลับมาข้าสังเกตเห็นนะว่าแม้แต่หน้านางนายท่านไม่แม้แต่แลตามองเลยสักนิด”
“แล้วทีนี้ในหมู่พวกเราผู้ใดจะเป็นคนยกสำรับใหม่ไปให้นางเล่า นิสัยเช่นนี้ข้ามิกล้าเข้าใกล้อีกหนหรอกนะ”
“นั่นสิ อาหารฝีมือแม่ครัวออกจะน่ากิน นางเลือกกินราวกับเมื่อก่อนตนเองเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างนั้นแหละ ข้าว่าเมื่อก่อนนางต่ำต้อยมากกว่านี้ด้วยซ้ำไปไยจึงเลือกมากหนักหนานะ”
“ทำอาหารใหม่ก็พอกระมัง เดี๋ยวข้าเอาไปวางไว้ที่หน้าเรือนนางเองก็ได้ หากไม่กินก็อดตายไปก็แล้วกัน หากเลือกมากขนาดนั้น”
“ได้ๆ หนนี้ตาเจ้าเอาไปให้นางกิน”
เมื่อตกลงกันได้สาวใช้ห้องครัวจึงแยกย้ายกันกลับไปทำงานของตนต่อ
ณ เรือนหลังน้อยท้ายจวน
“อนุหวาง สำรับอาหารข้าวางไว้หน้าประตูเรือนท่านนะเจ้าคะ พอดีว่าข้ามีงานต้องรีบไปทำต่อ ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
“....”
เมื่อไร้เสียงตอบรับสาวใช้ใจกล้าผู้อาสามาส่งอาหารจึงรีบเร่งเดินออกจากเรือนไปเพราะกลัวโดนตบหรือไม่ก็โดนด่ากลับมาเหมือนเพื่อนร่วมงานคนก่อนหน้านาง
แอ๊ด ปึง!
สตรีโฉมงามแต่ภายนอกทว่าภายในมิต่างอันใดกับนางมารร้ายเอื้อมแต่มือออกมาเพื่อหยิบถาดอาหารเข้าไปในห้องนอนของตนเอง
ริมฝีปากบางเบะปากเมื่อเห็นอาหารบนถาด….
ที่ทั้งธรรมดาไร้การตกแต่งอย่างประณีตอย่างที่ตนเคยกินอยู่เป็นนิจ
หากนางไม่หิวจนท้องไส้แทบขาด อย่านึกว่าสตรีชั้นสูงอย่างนางจะลดตัวลงมากินอาหารหน้าตาธรรมดาเช่นนี้หรอกนะ
มือเรียวยาวผิวพรรณขาวดั่งหิมะ อีกทั้งยังเรียบเนียนนุ่มมิต่างจากผิวเด็ก ราวกับนางมิเคยหยิบจับของหนักหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างเชื่องช้า ทุกคำล้วนเคี้ยวโดยละเอียดก่อนกลืน
นางละเมียดละไมกินทั้งๆที่ท้องหิวจนไส้แทบขาด ทว่ายังกินไปไม่ทันถึงสามคำ ตะเกียบในมือก็หล่นลงมา
นางมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ตามตัวมีผื่นขึ้นแดงไปทั้งตัว ริมฝีปากบวมเป่ง ตาบวม ใบหน้านางก็เริ่มบวมตามไปด้วยจนในที่สุดร่างบางที่กำลังนั่งอยู่นอนลงไปไอโขลกกับพื้น ดวงตาเหลือบมองอาหารที่ตนเองเพิ่งกินเข้าไปเขม็ง
“แค่ก อึก”
ในวาระสุดท้ายของชีวิต นางนึกถึงภาพบุคคลที่นางคิดถึงสุดหัวใจก่อนหมดลมหายใจลาลับจากโลกนี้ไป
“สะ เสด็จ...พ่อ อึก....สะ แม่”