บทที่หนึ่ง
สายลับทะลุมิติ
เฮือก!!!
แฮ่ก แฮ่ก
อู๋ย่าลู่สูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดอย่างกับคนหิวโหยอากาศ เมื่อครู่หญิงสาวรู้สึกราวกับตนเองไม่หายใจ
เมื่อสักครู่นางกำลังทำภารกิจขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้น
ใช่ นางเป็นสายลับ....ได้รับมอบหายให้ทำภารกิจระดับประเทศอยู่
ในห้องลับขององค์กรแห่งหนึ่งที่อู๋ย่าลู่ใช้เวลาแรมเดือนในการค้นหาท้ายที่สุดก็เจอห้องลับเป้าหมาย ในขณะที่นางกำลังค้นหาของที่ต้องการในชั้นวางแฟ้มเอกสารมากมายจู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกพื้นดินที่ตนเองเหยียบอยู่ยุบตัวลงกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าแทน แน่นอนว่าร่างนางต้องล่วงลงสู่ด้านล่างตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่แล้ว
อู๋ย่าลู่ร่วงลงไปข้างล่างอย่างไร้ขีดจำกัด ช่วงวินาทีที่นางร่วงเคว้งอยู่ในอากาศว่างเปล่าราวกับมีคนกำลังบีบก้นเนื้อหัวใจในอกข้างซ้ายของนางทำให้อู๋ย่าลู่อึดอัดจนหายใจไม่ออกจนในที่สุดร่างบางก็ไร้สติสัมปชัญญะ
ฟื้นมาอีกทีก็ตอนนี้นี่แหละ
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
สถาปัตยกรรมไม่คุ้นตาเลยสักนิด
อู๋ย่าลู่ลุกขึ้นมานั่งหลังตรง ปรับดวงตาให้รับแสงมองให้ชัดเจนก่อนค่อยกวาดสายตาสำรวจรอบห้อง
ผนังห้องทำจากไม้โบราณ เฟอร์นิเจอร์วางในห้องก็โบราณ ตอนนี้นางกำลังนอนอยู่บนตั่งไม้ บนตัวห่มผ้าแพร....อืม ก็ดูโบราณอีกเช่นเดียวกัน
หากนี่เป็นซีรีย์ในโทรทัศน์อู๋ย่าลู่คงนึกว่าตนเองกำลังทะลุมิติย้อนกลับมายุคโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนยุคค.ศ.สองพัน
กลิ่นสมุนไพรลอยนำเข้ามาก่อนตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของคนมากกว่าสองคนเดินเข้ามาในห้องที่อู๋ย่าลู่นั่งอยู่
“ทางนี้เลยเจ้าค่ะท่านหมอ เร็วเถอะเจ้าค่ะ”
“ไกลยิ่งนัก”
“อะ อ้าว ท่านฟื้นแล้ว ระ รึเจ้าคะ”
สาวใช้เมื่อได้สบตากับสตรีบนตั่งไม้จากตอนแรกที่มีท่าทีร้อนรนก็กลายเป็นหดตัวถอยกรูไปอยู่มุมห้องนอนปล่อยให้ชายชราที่ตนเองพามายืนอ้างว้างอยู่กลางห้อง
“ไหนบอกว่าคนป่วยตัวเย็น เหมือนไม่หายใจแล้วอย่างไร ไหนแม่นางที่เจ้าตามข้ามารักษาเล่า”
“นะ นั่นแหละเจ้าคะ ท่านหมอ” นิ้วชี้สั่นเทาชี้มาทางอู๋ย่าลู่ที่กำลังนั่งนิ่งงัน ราวกับในสมองของหญิงสาวกำลังประมวลผลผูกติดเรื่องราวต่างๆ ในหัวไม่พร้อมรับสิ่งใหม่เข้ามาทั้งสิ้น
สาวใช้ผู้นั้นราวกับคนเห็นผี นางมั่นใจว่าแม้ตนเองไม่เรียนหนังสือมาทว่านางรู้ว่าคนเป็นกับตนตายต่างกันอย่างไร
เมื่อประมาณครึ่งชั่วยามก่อนนางเข้าไปเก็บชามข้างในเรือนเห็นอนุหวางนอนสลบข้างโต๊ะทานอาหาร
ทีแรกคิดว่าสตรีผู้นี้นอกจากปากร้ายแล้วยังขี้เกียจตัวเป็นขนขนาดลุกไปนอนดีดียังไม่ทำนางจึงพยุงไปนอนบนตั่งไม้ดีดี ทว่าด้วยความแปลกใจสาวใช้ตัวน้อยจึงเอื้อมมือสะกิด ทว่าสะกิดเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น พอลองเอานิ้วอังใต้รูจมูกกลับพบว่าไร้ลมหายใจจึงวิ่งออกไปตามท่านหมอโดยทันที
แต่นี่ ไยคนที่นางคิดว่าตายแล้วจึงนั่งบื้ออยู่เช่นนี้ได้เล่า
ไม่แปลกที่สาวใช้ขั้นสามเช่นอาหลางจะคิดว่านางเป็นผีมาหลอกตอนกลางแสกๆ เช่นนี้
“พูดจาแปลกกันจัง ภาษาโบราณมาก....คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ....ลุงน่ะ ที่นี่มีกระจกไหมคะ ขอให้หนูอันหนึ่งสิคะ”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าลุงชี้ที่ตนเองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อแม่นางตรงหน้าพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้
“กระจกคือสิ่งใด ไยเจ้าจึงพูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้”
“โอ้ไม่นะ นี่ฉันย้อนมาอดีตจริงหรือเนี่ย” อู๋ย่าลู่ยกมือตบหน้าผากตนเองดังโป๊ะ! ก่อนหันมาอธิบายสิ่งที่ตนเองต้องการใหม่อีกรอบ “คันฉ่องเจ้าค่ะคุณลุง”
“อ้อ” เป็นสาวใช้ที่วิ่งโร่เข้าไปหาสิ่งที่อู๋ย่าลู่ต้องการเมื่อนางตั้งสติได้ “นี่เจ้าค่ะอนุหวาง”
“.....”
ความจริงที่ว่าอู่ย่าลู่โผล่เข้ามาในยุคโบราณตีแสกหน้าหญิงสาวอย่างจัง
แน่สิ หากไม่อยากยอมรับก็ต้องทำใจยอมรับในเมื่อพอหากพูดภาษาโบราณที่เคยเรียนมาปุบพวกเขาก็เข้าใจในทันที และที่สำคัญ....ภาพสตรีในกระจก
ทั้งอาภรณ์ที่นางสวมใส่ ทรงผม อีกทั้งใบหน้านี้ไม่ใช่อู่ย่าลู่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
นี่นางมาโผล่ยุคโบราณไม่พอ นางยังโผล่มาสิงอยู่ในร่างคนอื่นอีกหรือนี่!!!
มาอยู่ในร่างใครไม่พอ ไหนเล่าความทรงจำของเจ้าของร่าง ทำไมหัวสมองเจ้าของกายหยาบนี้มันช่างว่างเปล่าเช่นนี้!!!
“สรุปคือฉัน....ไม่สิ ข้ามีนามว่าหวางเสี่ยวเหยา เป็นบุตรีของเจ้าเมืองอานฉวนอันไกลโพ้นกับมารดาที่มีฐานะเป็นอนุ ข้าถูกรับมาเป็นอนุภรรยาของเจ้านายพวกเจ้านายนามว่าอันนะ....หวงจื่อห่า....”
“มิใช่จะ เจ้าค่ะ นายท่านนามว่าหวงจื่อหานเป็นขุนนางสนิทขององค์ฮ่องเต้มีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินเจ้าค่ะ”
“อ้อ นั่นแหละ หวงจื่อหานเขาเป็นสามีของข้า เราแต่งงานกันเมื่อไม่กี่วันก่อนงั้นเหรอ”
“อะ เอ่อ จะเรียกว่าแต่งงานก็ได้เจ้าค่ะ อนุวะ หวาง”
“เป็นผัวเมียกันก็ต้องแต่งงานกันสิ ข้าพูดผิดตรงไหนกัน”
“อะ เอ่อ เจ้าค่ะอนุหวางพูดถูกทุกอย่าง”
“ที่ข้าส่องในคันฉ่องเมื่อสักครู่ หากมิใช่เพราะดวงตาข้าผิดปกติข้าก็ว่าใบหน้านี้งดงามพอตัวอยู่นะ ไยเจ้าจึงเอาแต่ก้มหน้าไม่มองผู้พูดราวกับข้าน่าเกลียดน่ากลัวเสียอย่างนั้น หรือคนที่โบราณเขามีกฎไม่ให้บ่าวสบตาคนเป็นนายกัน”
“อะ เอ่อ มิได้น่าเกลียดเลยเจ้าค่ะ งะ งาม งดงามเหนือผู้ใดยิ่งเจ้าค่ะ”
“โกหก เจ้ากลัวข้า”
อู๋ย่าลู่ฟันธงในใจ
เรื่องความน่าเกลียดตัดออกไปเป็นอันดับแรก ท่าทางของสาวใช้ผู้นี้คือท่าทางของคนกลัวเจ้าของร่างนี้อย่างแน่นอน
เหมือนคนเคยโดนทำร้ายแล้วกลัวว่าจะโดนทำร้ายอีก
สงสัยนิสัยของสตรีผู้นี้คงแย่มาก
เฮ้อ สวรรค์หนอสวรรค์ไยให้อู๋ย่าลู่มาเกิดในร่างของคนสวยแต่รูปทว่าข้างในเน่าเฟะเช่นนี้
“ข้าคนเก่านิสัยแย่มากเลยใช่หรือไม่....ตอนนี้ข้าความจำเสื่อม เท่ากับเป็นคนใหม่ เจ้าไม่ต้องกลัวข้าแล้ว
มาๆ เจ้ามาตอบคำถามข้าดีกว่า....หวงจื่อหานมีภรรยากี่คนแล้ว”
“เจ้าคะ?”
“ข้าถามว่าสามีจอมเจ้าชู้ของข้ามีภรรยากี่คนแล้ว ข้าเป็นเมียน้อยคนที่เท่าไหร่รึ”
“นะ หนึ่งเจ้าค่ะ”
“ก็ยังดี นึกว่าคนในยุคโบราณจะมีภรรยาเป็นสิบเสียอีก เมียหลวงเขาชื่ออะไร”
“มะ ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าน้อยหมายถึงนายท่านมีอนุภรรยาหนึ่งคนคือท่านเจ้าค่ะ”
“อ้าว” ตอนแรกที่ได้ยินว่าตนเองมีสถานะเป็นอนุภรรยาหากพูดถึงในปัจจุบันเขาเรียกกันว่าเมียน้อยนั่นเอง ตอนนั้นในใจอู๋ย่าลู่รู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
ดันมาเกิดในร่างของสตรีมีสามีแล้วไม่พอ นางยังเป็นสตรีที่ใช้สามร่วมกับผู้อื่นอีกด้วย แน่นอนว่าสตรียุคสองพันอย่างอู๋ย่าลู่ไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ได้ คิดไกลขนาดที่ว่าจะหาทางหย่าขาดจากสามีเสียแล้วค่อยไปหาทางดำเนินชีวิตต่อไปข้างนอกด้วยตนเอง
ครั้นได้ยินว่าตนเองเป็นเมียคนเดียว จิตใจค่อยฟูฟ่องชุ่มชื้นขึ้นมาหน่อยแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าไยมีเมียคนเดียวแต่กลับเป็นเพียงอนุภรรยาก็ตาม
“มีเมียเดียวแต่เป็นอนุภรรยา....อืม แปลกจัง”
“อันใดจังๆ นะเจ้าคะอนุหวาง”
“ข้าหมายถึงแปลกยิ่งนัก เจ้ามีอันใดจะเล่าเกี่ยวกับข้าอีกหรือไม่ เล่ามาให้หมด”
“อะ เอ่อ เอ่อ...มะ ไม่มีเจ้าค่ะ”
ไม่มีหรือไม่กล้าเล่ากันแน่ สาวใช้ผู้นี้คงไม่กล้าเล่าวีรกรรมของเจ้าของร่างนี้เป็นแน่
“ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าอยู่ไปก็ปรับตัวได้เองนั่นแหละ”
ชาติที่แล้วงานของอู๋ย่าลู่ต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม สวมรอยเป็นบุคคลนู้นบุคคลนี้เพื่อแฝงตัวสืบข้อมูลตั้งมากมาย
ครั้งนี้แม้มิใช่การทำภารกิจเพื่อประเทศ ทว่าอู๋ย่าลี่จะถือว่าตนเองกำลังทำภารกิจเพื่อชีวิตตนเองก็แล้วกัน
ชาติที่แล้วหลังจากเรียนต่อต่างประเทศจบจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็สมัครเข้าไปเป็นสายลับในหน่วยงานสายลับของประเทศอังกฤษทันที ทำงานที่ตนเองภาคภูมิใจเพื่อประเทศจนกระทั่งอายุสามสิบนอกจากเรื่องงานที่ทำเพื่อประเทศแล้วเรื่องอื่นถือว่าอู๋ย่าลู่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เป็นเด็กทุนหัวกะทิของประเทศ ทว่าไร้ครอบครัวเพราะเป็นเด็กกำพร้าอยู่ในความปกครองของมูลนิธิของนายทุนอังกฤษ
ตั้งแต่จำความได้จึงทำเพียงเดินตามเส้นทางที่มีคนวางให้เดินอยู่แล้ว
ไม่เคยท่องเที่ยวแบบไม่ต้องคิดถึงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ไม่เคยมีความรักเพราะอาชีพของตนเองไม่มีหลักแหล่งที่แน่ชัด
จนกระทั่งตายเพราะดันไปจับวัตถุแปลกประหลาดสวรรค์เมตตาให้มาเกิดในร่างนี้อีกรอบ
ชาตินี้อู๋ย่าลู่จึงหมายใจเอาไว้แล้วว่านับจากวันนี้นางจะทำเพื่อตนเอง
ท่องเที่ยวเดินทางอย่างอิสระเสรี
สร้างครอบครัวของตนเอง มีสามี มีลูกอย่างอบอุ่น
ต่อจากนี้ไม่มีแล้วสายลับอู๋ย่าลู่
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปนางคือ....หวางเสี่ยวเหยา
เจ้าของชีวิตของตนเอง ลิขิตเส้นทางเดินของตนเองคนเดียวเท่านั้น!!!
“ในเมื่อหวงจื่อหานมีภรรยาคนเดียวคือข้า การที่ข้าเป็นเพียงอนุภรรยาของเขาเกรงว่าเป็นเพราะสถานะทางบ้านเกิดข้าไม่ดี หรือไม่ข้าก็อาจมีจุดเริ่มต้นไม่ดีกับเขา....ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ต่อจากนี้ข้าจะเริ่มต้นใหม่ ในเมื่อสามียังไม่รัก ข้าก็จะทำให้เขารักข้าเป็นสิ่งแรกก็แล้วกัน ไป อาหลางพวกเราออกไปปฏิบัติภารกิจของนอกบ้านกัน”
“หืม อนุหวางจะไปที่ใดเจ้าค่ะ”
“ตลาด....ข้าอยากไปตลาดเพื่อไปซื้อของมาทำอาหารให้สามีรับประทาน นี่ย่อมเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ดีมิใช่หรือไง”
“อะ เอ่อ ไม่ดีมั้งเจ้าคะ อนุหลางอยู่เฉยๆ สงบเสงี่ยมอยู่ที่เรือนแห่งนี้ดีที่สุดเจ้าค่ะ แหะๆ”
“ไม่ เจ้านั่นแหละตามข้าออกมา มิต้องพูดมาก”
“จะ เจ้าค่ะ”
ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ช่วงแรกให้น้องปรับตัวนิดนึง