“ม้าตัวสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือเป็นแม่ สีอ่อนหน่อยทางขวามือเป็นลูก หากหมดธุระของเจ้าแล้วข้าขอตัว” มู่เหรินบอกเสียงเรียบพร้อมสะบัดชายผ้าจากไป
คุณชายเหวินฉินอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับความเย็นชาของคุณชายมู่เหริน ดวงตาคมมองตามร่างโปร่งบางคล้ายคนหัวใจสลาย เขาใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะได้บัตรคิว หวังจะได้พบหน้าสนทนาแต่กลับอยู่ด้วยไม่ถึงหนึ่งเค่อ สนทนาไม่กี่ประโยคก็หมดเวลาเพราะคำตอบนั้นถูกต้องตามกฎที่มู่เหรินให้ไว้กับทุกคน
กลับกันหากมู่เหรินตอบผิดจะได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยเป็นเวลาหนึ่งมื้อ แม้คนอื่นอาจไม่เห็นค่าแต่สำหรับเหวินฉินแล้วมันเหมือนรางวัลที่คุ้มค่ากับการรอคอย ทว่าบัดนี้หัวใจดวงน้อยกลับถูกตัดเยื่อใยอย่างไม่ไยดี
“จิ่นกวาง ทำไมคุณชายเจ้าถึงได้เย็นชาต่อข้านักเล่า ไม่เห็นใจข้าบ้างหรือ เฝ้ารอมาเนิ่นนานที่จะได้พบเจอแต่กลับได้เจอไม่ถึงหนึ่งเค่อ”
เหวินฉินเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทของคุณชายมู่เหรินด้วยความเศร้าเสียใจ ทว่าแววตากลับมีความลึกล้ำยากจะมองเห็นก่อนจะเลือนหายไป
จิ่นกวางเพียงแค่มองตามอย่างเห็นใจโดยไม่ตอบอะไร ผายมือเชิญคุณชายเหวินฉินออกจากจวนพร้อมหัวใจชอกช้ำเหมือนรายอื่น ๆ ที่ผ่านมา...
“เจ้าแน่ใจหรือต้องการเช่นนี้”
น้ำเสียงดุดันเอ่ยถามพร้อมดวงตาคมดุจ้องมองผู้มาร้องขอออกจากตระกูลมู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อีกใจก็เห็นดีด้วยขณะเดียวกันกลับรู้สึกกังวลและห่วงใย
“ขอรับ อีกในไม่ช้าข้าคงเป็นที่ต้องการของทุกแคว้น หากไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้”
มู่เหรินกล่าวตอบบิดาด้วยความนอบน้อม ดวงตานิ่งเรียบอย่างตัดสินใจดีแล้ว
“ถึงเจ้าจะตัดสินใจออกจากตระกูลมู่แต่นามเดิมยังคงอยู่ แม้คนภายนอกจะได้รับข่าวลือว่าเจ้าไม่ใช่บุตรของแม่ทัพมู่ซู่เหลียนแล้ว แต่ขอให้รู้ไว้เจ้าคือบุตรของข้าที่เกิดจากสตรีที่ข้ารักที่สุด หนทางเดียวที่ข้าจะทำให้เจ้าได้ จงเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจไปหาท่านอาวุโสกุ้ยกู๋เขาจะสอนวรยุทธ์ให้แก่เจ้า นี่หยกราตรีที่ท่านเคยให้ไว้ เมื่อเจอค่อยยื่นให้ดูแล้วท่านอาวุโสจะทราบเอง”
“ขอบคุณท่านพ่อที่เข้าใจ ภายภาคหน้าหากมีศึกใหญ่หลวงข้าอยากให้ท่านพ่อฟังคำปรัชญาการศึกจากข้าก่อนออกเดินทาง”
มู่เหรินกล่าวเสียงเรียบนิ่งไม่มีสั่นไหว ดวงตาเรียวมองบิดานิ่ง ๆ แต่ฉายไปด้วยความจริงใจ
“เชิญ”
“รู้เรา รู้เขา ร้อยศึกไม่แพ้ ไม่รู้เขา รู้แต่เรา ชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ทุกศึกพ่ายแพ้”
มู่ซู่เหลียนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉี ผู้ปกครองกองทัพทหารตะวันออกนิ่งอึ้งกับปรัชญาการศึกของบุตรคนเล็กที่มิรู้ว่าเรียนรู้จากที่ใดมา
“เจ้าได้ปรัชญาการศึกนี้มาจากที่ใด” มู่เหรินยกยิ้มบางมิได้ตอบคำถามเพราะที่แห่งนี้ไม่มีหนังสือสามก๊กหรือแม้กระทั่งซุนวู ถึงจะบอกไปก็ไม่รู้จัก สู้ไม่กล่าวสิ่งใดเลยดีกว่า
“มีสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”
มู่ซู่เหลียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บุตรสุดท้องฉลาดหลักแหลมมากเกินไปจนน่ากลัว หากมีใครรับรู้เรื่องนี้จักเป็นภัยในภาคหน้า มู่เหรินกล่าวไว้คงมิผิด อีกในไม่ช้าคงได้มีการแย่งชิง ตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า
แม้ตนจะรับใช้ราชวงศ์มาเนิ่นนานแต่บุตรชายคนนี้เกิดจากสตรีที่รักอีกทั้งให้สัญญาไว้ก่อนจะสิ้นลมว่าจะให้มู่เหรินได้ทำตามใจอิสระไม่บังคับฝืนใจให้รับใช้ราชวงศ์เหมือนดังตน อีกทั้งตนเองก็ยังมีบุตรชายอีกสามคนที่ยังรับหน้าที่เหล่านี้ และหากคาดเดาไม่ผิดหากฮ่องเต้รู้เรื่องการศึกที่เฉียบขาดจากมู่เหรินแผ่นดินคงได้ลุกเป็นไฟจากการก่อสงคราม
“เมื่อยามมิอาจพิชิต พึงตั้งรับ เมื่ออยู่ในฐานะพิชิตได้ พึงโจมตี พึงตั้งรับ เมื่อข้าศึกมีกำลังมาก พึงโจมตี เมื่อข้าศึกมีรี้พลไม่พอ ข้าคงช่วยท่านพ่อได้เพียงแค่นี้ ต้องกราบขอโทษที่ข้าอกตัญญูมิอาจทดแทนคุณได้แต่เมื่อถึงเวลาข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
มู่เหรินกล่าวอย่างหนักแน่น รูปแบบการรบที่ร่ำเรียนมาในยุคสมัยในหนังสือมหาพิชัยสงครามน่าจะพอช่วยบิดาได้ไม่มากก็น้อย แต่หากยังรั้งอยู่ แคว้นฉีคงคิดตนเป็นใหญ่รุกรานดินแดนอื่นจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ หรือไม่ตระกูลมู่อาจถูกสังหารทั้งตระกูลด้วยข้อหาก่อกบฏเพราะคงไม่มีราชวงศ์คนใดเห็นขุนนางฉลาดมากเกินไปจนทำให้บัลลังก์สั่นคลอนได้ ทางเดียวที่ทำได้คือจากไป
“เอาเถิดข้ามิได้คาดหวังให้ใครมาแทนคุณ แค่เจ้ามีชีวิตก็ดีก็พอแล้ว อีกอย่างเรื่องการรบอย่าได้แพร่งพรายไปที่ใดเพราะชีวิตเจ้าจะลำบากยิ่งกว่าเดิม”
แม้จะดุดันแต่ก็ยังห่วงใยเพราะอย่างไรก็ยังเป็นบุตร มู่เหรินยิ้มรับ
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะต้องเอาตัวรอดในเรื่องนี้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ข้ากังวลคือท่านพี่ทั้งสามจะไม่ยินยอม เป็นเช่นนั้นพวกท่านจะลำบาก ท่านพ่อโปรดบอกเล่าแก่ท่านพี่เองได้หรือไม่ขอรับ”
“เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง แต่การไปครั้งนี้จงนำพาหลิงหวางไปด้วย” มู่เหรินนิ่วหน้ากับคำขอ นึกไปถึงเจ้าของชื่อที่เป็นดั่งเงาของเขา ชอบแอบอยู่มุมห้องมืด ๆ และคานไม้ ไม่มีปากเสียง ปิดหน้าสวมชุดดำจนแทบจำหน้าไม่ได้