“กินอีกหน่อยนะขอรับ”
หลิงหวางคีบฝอเที่ยวเฉียงหรือพระกระโดดกำแพงใส่ถ้วยเขาอย่างเอาใจ ฉับพลันผู้คนหันมามองเขาเป็นตาเดียว บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมเงียบกริบได้ยินเพียงแค่ลมหายใจเท่านั้น มู่เหรินยังนั่งนิ่งรั้งสายตากลับไปมองหลิงหวางแล้วบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติ
“พี่ชายข้าอิ่มแล้ว ท่านแม่บอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านให้ซื้อชาหลงจิ่งไปให้ด้วยนะขอรับ หากลืมท่านพี่โดนท่านแม่ดุมากล่าวโทษข้าไม่ได้นะขอรับ”
มู่เหรินกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีติดขัด หลิงหวางชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ
“จริงสิน้องรอง เจ้าทานข้าวไปก่อนนะข้าไปหาซื้อชาหลงจิ่งให้ท่านแม่ก่อน ไม่เช่นนั้นคงโดนงดข้าวเย็นแน่ ๆ”
มู่เหรินมองคนหัวไวฉลาดพูดตอบก่อนจะรีบเผ่นออกไปจากโรงเตี๊ยมและบรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมก็กลับมาครึกครื้นเฉกเช่นเดิม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เกือบไปแล้วเชียว หากเขามีคนรักเป็นบุรุษจริง ๆ จะไม่เถียงสักคำเลย แต่นี่ เฮ้อ ช่างเถอะ...
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้มู่เหรินก็ได้ซื้อม้าและออกเดินทางแต่เช้าตรู่โดยซื้อผลไม้และหมั่นโถวไว้รับประทานอาหารระหว่างทาง ทั้งคู่ควบม้าเดินทางมาไกลหลายสิบลี้ตามเส้นทางในแผนที่ที่มีโดยไม่ได้หยุดพัก ผ่านป่าไผ่ทึบและหุบเขาที่ร้างไร้ผู้คน
มู่เหรินชะลอม้าให้ช้าลงมองดูรอบกายที่ให้บรรยากาศผิดปกติจากที่ผ่านมา เสียงใบไม้ไหวเสียดสีไปมาและการเคลื่อนไหวของผู้คนเพียงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงกระบี่ฟาดฟันกันอยู่ไม่ห่างจากเบื้องหน้า
กรี๊ดดดด
เสียงกรีดร้องของอิสตรีดังลั่นป่าไผ่ จากที่คิดจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจึงควบม้าเข้าไปใกล้เสียงเหล่านั้นมากขึ้นโดยหลิงหวางควบม้าตามมาติด ๆ สิ่งที่เห็นด้านหน้าคือชายฉกรรจ์โพกผ้าสีเหลืองกำลังเข่นฆ่าผู้คนในรถม้าอย่างไม่มีคำว่าปรานี มู่เหรินชักกระบี่ด้านหลังพุ่งตัวลงจากหลังม้าเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่เสียเวลาคิด
เคร้ง!
มู่เหรินต้านกระบี่ของชายร่างยักษ์ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่คมดาบจะแทงทะลุหาร่างของเด็กวัยสิบขวบซึ่งยืนตัวแข็งทื่อในอ้อมกอดของอิสตรีนางหนึ่งเลือดอาบโชกไปทั้งร่าง เขาใช้วิชากระบี่ที่ร่ำเรียนมาถึงห้ากระบวนท่ากลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองก็พากันหนีไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความเสียหายและร่างผู้เสียชีวิตเท่านั้น
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ทั้งสองที่ช่วยเหลือตระกูลหลี่ บุญคุณนี้พวกข้าน้อยจะไม่ลืม หากมีสิ่งใดตอบแทนได้เมื่อถึงเมืองช่างไค่ข้าน้อยจะเรียนนายใหญ่ให้ตอบแทนคุณในครั้งนี้”
ชายฉกรรจ์ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาหาผู้ที่ช่วยเหลือตนและยกมือคารวะขอบคุณอย่างจริงใจ แม้คนตรงหน้าจะสวมใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าไว้ก็ตาม ทว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ
“ท่านเกรงใจไปแล้ว ข้าบังเอิญผ่านมาเห็นผู้เดือดร้อนจะปล่อยผ่านไปได้เช่นไร”
มู่เหรินตอบกลับและยกมือคารวะผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม แม้อายุวิญญาณจะมากกว่าทว่าเวลานี้ชีวิตใหม่ของเขาก็เพียงแค่สิบหกปีเท่านั้น
“ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะที่ช่วยครอบครัวของข้า หากต้องการสิ่งใดตอบแทนบอกข้ามาเถิดข้าจะตอบแทนทุกอย่าง”
สตรีวัยกลางคนเดินเข้ามาขอบคุณอย่างนอบน้อม ร่างกายยังมีบาดแผลที่กลางหลังและใบหน้าที่ยังมีโลหิตเปรอะเปื้อน มู่เหรินมองดูอย่างนับถือในความเข้มแข็งของสตรีตรงหน้า ยอมปกป้องบุตรชายด้วยชีวิตของตนเองทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นวรยุทธ์
“ฮูหยินอย่าได้เกรงใจ ข้าช่วยเหลือเพราะพบเจอโดยบังเอิญ ตอนนี้ท่านบาดเจ็บควรรักษาบาดแผลก่อนเถอะขอรับ”
มู่เหรินบอกอย่างจริงใจซึ่งนางก็พยักหน้ารับด้วยใบหน้าขาวซีดก่อนจะขอไปทำแผลที่รถม้า เหลือทิ้งไว้เพียงชายฉกรรจ์ซึ่งเดินมาขอบคุณเขาคนแรกและน่าจะเป็นพ่อบ้านของตระกูลหลี่ บาดแผลตามร่างกายมีเต็มร่างแต่กลับไม่แสดงความเจ็บปวดผ่านทางสีหน้า คงไม่ใช่พ่อบ้านธรรมดาเป็นแน่
“หากไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป คุณชายทั้งสองช่วยเดินทางไปส่งพวกเราที่เมืองช่างไค่ได้หรือไม่ขอรับ”
มู่เหรินมองสภาพรถม้าซึ่งมีม้าตายไปหนึ่งตัว คนที่เหลือก็มีเพียงห้าคนเท่านั้นและล้วนแต่บาดเจ็บกันถ้วนหน้า เขาพยักหน้าตกลงเพราะอย่างไรก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว
“ขอบคุณคุณชาย ข้าน้อยขอทำแผลชั่วครูก่อนจะออกเดินทางต่อขอรับ”
มู่เหรินพยักหน้ารับ เขาไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการรักษาเพราะฉะนั้นจึงทำได้แค่ดูเท่านั้น
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามมู่เหรินก็ได้เดินทางต่ออีกครั้ง เขาเลือกที่จะเดินรั้งท้ายเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกครั้ง ซึ่งพ่อบ้านหลี่ต้าฮวงที่ได้ทราบชื่อภายหลังคุ้มกันอยู่ด้านหน้า
ภายในรถม้าจึงมีคุณชายหลี่เซียวเหยากับฮูหยินผู้เป็นมารดาซึ่งเขายังไม่ทราบนาม ส่วนสาวใช้ที่มาด้วยกันนั้นตายตกไปแล้ว แม้เขาจะมาช่วยไม่ทันก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการจากไปของพวกเขาเพราะโลกที่เขาอยู่ปัจจุบันไม่เหมือนดังโลกที่จากมา
ชีวิตของผู้คนที่นี่แบ่งแยกชนชั้นและเห็นชีวิตมนุษย์ด้วยกันเหมือนผักปลาเท่านั้น เขาไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ นอกจากทำใจยอมรับและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งไม่ให้ตายตกง่าย ๆ ก็พอแล้ว
มู่เหรินร่วมเดินทางกับคนตระกูลหลี่มานานสามชั่วยามโดยไม่ได้หยุดพักและการเร่งรีบเดินทางในครั้งนี้ทำให้ถึงเมืองช่างไค่ในเวลาพลบค่ำ
เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากตระกูลหลี่ ซึ่งที่นี่เป็นจวนขนาดใหญ่และเป็นขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวาของแคว้นฉี ทว่าโชคดีที่เขาสวมใส่หน้ากากเอาไว้ทำให้คนในตระกูลหลี่ไม่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาคงอับอายไปมากกว่านี้กับข่าวที่กำลังร่ำลือในครั้งนี้
มู่เหรินเลือกที่จะไม่รับของตอบแทนแต่ขอพักอาศัยหนึ่งคืนก่อนจะเดินทางต่อไป ระหว่างนั้นเขาก็สวมใส่หน้ากากไม่ได้ถอดออกอีกเลยเพื่อป้องกันคนที่เคยเห็นใบหน้าเขา และแนะนำตนเองกับผู้ติดตามในนามของหลิงเหรินกับหลิงหวาง สองพี่น้องตระกูลหลิงเท่านั้น
“นายน้อย คุณชายหลี่เซียวเหยาสงสัยในตัวท่านอยู่ขอรับ”
หลิงหวางเอ่ยบอกเสียงเบาขณะอยู่ภายในห้องพักสองคน มู่เหรินพยักหน้ารับ แววตาฉลาดของเด็กน้อยทำให้ไม่เชื่อว่าพวกเขาบอกชื่อจริง