เช้าตรู่วันต่อมา…
“อื้ออ~” เสียงอู้อี้ของคนที่นอนขยับตัวใต้ผ้าห่มผืนหนาดังขึ้น
ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในห้องประทบกับผิวกายที่โผล่พ้นผ้าห่ม ร่างเล็กขยับตัวไปมาก่อนจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกหนาวบวกกับมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
“ปวดตัวจังเลย ทำไมเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” น้ำเสียงแหบแห้งของคนที่พยุงตัวลุกนั่งพึมพำเบา ๆ ก่อนจะสะบัดหัวไปมา “เมื่อคืนเราดื่มหนักเหรอ ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย แล้วเข้ามานอนตอนไหน...” เสียงหวานพึมพำเมื่อพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแต่ก็นึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
วูบ~
“หือ? อะไรน่ะ?” ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวขาลงจากเตียงบางอย่างที่หายวับเข้าไปในมุมหนึ่งของห้องก็ทำให้ต้องชะงักไว้
“ยัยแคทเหรอ?”
แกร๊ก!
“ตื่นแล้วเหรอตัวแสบของแม่” เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับบานประตูห้องที่เปิดออก ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาพร้อมแก้วนมอุ่นอย่างเช่นทุกครั้งที่เข้ามาปลุกผู้เป็นลูกสาวยามเช้าตรู่ ต่างเพียงแค่วันนี้เป็นยามเช้าในประเทศไทย
“แม่เองเหรอคะ น้องไอคิดว่ายัยแคทเสียอีก เห็นแวบ ๆ” เสียงหวานหันไปส่งยิ้มให้คนเป็นแม่ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งข้างแม่ซึ่งทิ้งตัวลงนั่นข้างเตียง ทว่าใบหน้าหวานก็ต้องบิดเบี้ยวเมื่อความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ใจกลางหว่างขา
“อ๊ะ!”
“เป็นอะไรน่ะน้องไอ ตะคริวเหรอ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของลูกสาว
“ปะเปล่าค่ะ น้องไอแค่...” เสียงหวานเงียบไปเพราะไม่รู้จะบอกแม่ว่าอย่างไรดี ทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับขมวดคิ้วงง
“แค่อะไรน้องไอ”
“แค่ปวดท้องนิดหน่อยค่ะ”
“งั้นจิบนมอุ่นก่อนจะได้ไปอาบน้ำอาบท่า แม่จะไปทำโจ๊กไว้รอ”
“ค่ะ” ผู้เป็นลูกสาวรับแก้วนมอุ่นจากผู้เป็นแม่มาจิบก่อนจะวางไว้ข้างเตียงเมื่อแม่เดินออกจากห้องไปแล้ว
ดวงตาคู่สวยก้มลงมองมือเรียวที่กุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้ ในใจก็พยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
ติ้ง!
เสียงแอปพลิเคชั่นไลน์ดังขึ้นทำให้ร่างเล็กที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมา
@ไลน์...
แคท : แกตื่นหรือยัง
ไออุ่น : ตื่นแล้ว
แคท : ฉันตามพี่คินออกมาซื้อของใช้ข้างนอกนะ น่าจะกลับไปกินข้าวเช้าพร้อมแกกับแม่ไม่ทัน
ไออุ่น : อ๋อ โอเคเดี๋ยวฉันบอกแม่เอง
ไออุ่น : ว่าแต่เมื่อคืนใครพาฉันขึ้นมานอนอะ ฉันดื่มไปเยอะเหรอทำไมจำอะไรไม่ได้เลย
แคท : แกนอนตอนไหนฉันจะไปรู้ได้ยังไงยะ พอคุยกันเรื่องไอ้เฮงซวยนั่นจบฉันก็ติดต่อแกไม่ได้แล้วย่ะ
แคท : อีกอย่างแกไม่ได้มาดื่มกับพวกฉัน
ไออุ่น : เหรอ ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย
แคท : นี่แกไม่ได้เมาแล้วแอบลากผู้ชายไปกินโดยไม่บอกฉันหรอกใช่ไหม
ไออุ่น : จะบ้าเหรอ
แคท : งั้นก็แล้วไป เดี๋ยวค่อยคุยกันนะแกพี่ชายแกมาแล้ว
ไออุ่น : โอเค
มือเรียววางโทรศัทพ์มือถือลงข้างเตียงตามเดิมก่อนจะลุกไปอาบน้ำอาบท่า ในใจก็พยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“อะ… อะไรน่ะ? ทะทำไมถึงเป็นแบบนี้...” ทันทีที่ถอดผ้าเช็ดตัวออกดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่องรอยกลีบกุหลาบสีแดงมากมายปรากฎขึ้นบนเรือนร่างบาง ซอกคอและเนินอกไม่เว้นแม้แต่หน้าท้องและซอกขามีร่องรอยนี้อยู่เต็มไปหมดแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
“มะไม่จริงน่า… เราไม่ได้ไปทำอะไรกับใครแล้วจำไม่ได้หรอกใช่ไหม” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองพลางนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแต่ก็มีเพียงภาพตอนที่กำลังบนบานอะไรสักอย่างอยู่หน้าศาลเจ้าที่ข้างผับเท่านั้น
ไออุ่นใช้เวลาจัดการตัวเองในห้องน้ำนานพอสมควรเพราะร่องรอยและความเจ็บปวดตามร่างกายโดยเฉพาะกลางหว่างขามันทำให้เธอคิดไม่ตก ไหนจะคราบเลือดที่เปรอะอยู่ตามซอกขาก็ทำให้เจ้าตัวแทบเข่าทรุด ใช่ว่าหากทำเรื่องแบบนั้นแล้วจะรู้สึกเสียดายครั้งแรกของตัวเอง เธอเพียงแค่อยากรู้ว่าไปทำอะไรแบบนี้กับใครเมื่อไหร่ก็เท่านั้น
“นี่เราไม่ได้ถูกมอมเหล้าหรอกใช่ไหม” คนที่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ในห้องอาหารพึมพำ
“มาแล้วเหรอน้องไอ” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นขณะถือชามข้าวต้มออกมาให้ลูกสาว “วันนี้เรากินข้าวกันแค่สองคนนะลูก หนูแคทกับพี่คินออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้ว สาย ๆ คงพากันกลับ” แม่พูดต่อก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามลูกสาว
“ค่ะ ยัยแคทบอกน้องไอแล้วค่ะ”
“งั้นก็รีบกินข้าวกินปลาได้แล้วจะได้ช่วยแม่เดินตรวจร้าน บ่าย ๆ จะได้กลับบ้านกัน”
“คืนต่อไปเราค้างที่บ้านเหรอคะ” ผู้เป็นลูกสาวเอ่ยถามเมื่อได้ยินแบบนั้น ถึงจะรู้ว่าที่มาค้างที่นี่เมื่อคืนเพราะแม่กับพี่ชายอยากมาตรวจความเรียบร้อยภายในร้าน และมีนัดคุยงานกับผู้จัดการร้านช่วงกลางวันก็ตาม
“ใช่จ้ะ เดี๋ยวระหว่างแม่คุยงานอยู่น้องไอก็เดินตรวจรอบร้านแทนแม่กับพี่คินก่อนนะลูก ถ้าเรียบร้อยแล้วก็จะได้กลับบ้านกันเลย”
“ค่ะ”
สองแม่ลูกใช้เวลาทานมื้อเช้าด้วยกันไม่นานนักก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเมื่อลูกชายคนโตกลับมา
ร่างบางเดินตรวจตราภายในผับตามที่แม่กับพี่ชายบอกขณะที่เพื่อนสาวคนสนิทก็ขึ้นไปเก็บของเตรียมกลับบ้านด้วยกัน
เคร้ง!
“ว๊ายย!” ร่างเล็กสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเมื่อเดินผ่านศาลเจ้าที่หลังน้อยแล้วบางอย่างหล่นกระทบพื้น “อะไรน่ะ? ลมเหรอ?” เสียงหวานว่าพลางเดินเข้าไปใกล้ศาลเจ้าที่เมื่อเห็นขวดเครื่องดื่มล้มกลิ้งอยู่บนพื้น
พลันนั้นภาพเมื่อคืนตอนที่เจ้าตัวเอาของไหว้มาตั้งบนแท่นข้างศาลก็วนเวียนเข้ามาในหัว ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เจ้าตัวเก็บขึ้นมาจากพื้นมีเงาใบหน้าของใครบางคนสะท้อนขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาของชายแปลกหน้าเริ่มปรากฎชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม
“ยัยไอ! อยู่นี่เองแม่กับพี่คินให้มาตามแล้ว” เสียงเพื่อนรักที่ร้อ’เรียกจากด้านหลังทำให้สาวน้อยสะดุ้งโหยง “แกมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย ทั้งเงียบทั้งวังเวงไม่กลัวหรือไง” เพื่อนรักถามต่อก่อนจะมองไปรอบลานจอดรถ
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ อีกอย่างแกจะกลัวอะไร” เสียงหวานหันไปคุยกับเพื่อนสาวขณะเดินตามกันเข้าไปในผับ
“ก็แม่แกบอกว่าที่นี่มีผีไงล่ะ” คำตอบของแคททำให้คนฟังถึงกลับหลุดขำออกมา
“แกเชื่อเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ ตลกชะมัด”
“เขาว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะแก”
สองสาวเถียงกันไปมาขณะเดินเข้าไปด้านในโดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังมีดวงวิญญาณกำลังจ้องมองอยู่
“ทีนี้มึงว่าน้องเขาจะมาที่ผับอีกป่าววะลิน” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกของบริวารหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนสาวที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่หลังศาลเจ้าที่
“ก็คงนาน ๆ มาทีล่ะมั้ง คนที่มาบ่อย ๆ คงเป็นพี่ชายกับแม่นั่นแหละ” บริวารสาวตอบเพื่อนชาย
“แล้วนี่ท่านเหมันต์ไปไหนวะ เมื่อเช้ากูเอาน้ำชาเข้าไปให้ก็ไม่เจอ”
“ฉันเห็นเข้าไปในผับตอนเช้าแล้วก็หายไปไหนไม่รู้ หน้าบูดเป็นตูดหมาเลย ฉันเห็นแล้วไม่กล้าถามว่าท่านเป็นอะไร”
“มึงก็ไปว่าท่านอีนี่ อารมณ์วัยทองก็งี้แหละขี้หงุดหงิดเหมือนท่านวายุ”
“แต่ตอนนี้ท่านวายุไม่หงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ แกว่าถ้าท่านเหมันต์มีเมียเหมือนท่านวายุแล้ว จะหายหงุดหงิดปะ”
“ก็น่าจะนะ แต่ใครจะมาเป็นเมียท่านเหมันต์วะ ท่านเหมันต์จีบใครไม่เป็นนะ กูเห็นวิญญาณสาว ๆ จากที่อื่นแฝงตัวเข้ามาทีไรท่านเหมันต์ก็ไล่เขาหนีไปหมด ไม่เห็นสนใจใครเป็นพิเศษเลย”
“งั้นก็คงเป็นผู้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อนล่ะมั้ง แกคิดว่าไง”
“อืม… อย่างลูกค้าในผับเราหลาย ๆ คนก็พอได้อยู่นะ สาวขี้เมากับเจ้าที่ขี้หงุดหงิด”
“ฮ่า ฮ่า”