“อยากทำอะไรล่ะ” เป็นครั้งแรกที่เขาถามเป็นการเป็นงานกับเธอ และดูท่าจะจริงจัง
“ก็อะไรก็ได้ แค่ขอให้เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันเรียนมา อย่างน้อยถ้าฉันกลับบ้านไป ฉันจะได้เอาประสบการณ์ที่นี่กลับไปช่วยงานที่บ้านได้บ้าง” เธอบอกตามความคิดของตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกใจหายบ้าง เมื่อคิดว่าสักวันจะต้องไปจากที่นี่ แต่เมื่อมันเป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้นไม่ว่าช้าหรือเร็ว ดังนั้นเธอจะต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้
“เวลาอยู่กับผม อย่าพูดเรื่องกลับบ้าน” จัสมินสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ เขาที่ลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็เข้าถึงตัวแล้ว
“เผด็จการ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งไม่ให้ฉันพูดถึงบ้าน ฉันมีบ้านฉันก็ต้องคิดถึงบ้าน ช้าเร็วยังไงฉันก็ต้องกลับบ้าน คอยดูเถอะครบหกเดือนเมื่อไหร่ฉันกลับแน่ ดีไม่ดีฉันอาจได้กลับเร็วกว่านั้นก็ได้ ถึงตอนนั้นคุณน่ะ...อื้อ!...” เจื้อยแจ้วยังไม่ทันจบ จู่ๆ เขาก็ประทับริมฝีปากลงมาบนปากสีชมพูระเรื่อของเธอแรงๆ ราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นความนุ่มนวลและเรียกร้องอยู่ในที
“ยังคิดถึงบ้านอยู่รึเปล่า” เขากระซิบข้างหูเสียงกระเส่า หลังยอมถอนจูบอย่างแสนเสียดาย
“หา” คงมีแต่เธอที่ยังเบลอไม่หาย แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าจูบเปลี่ยนนิสัย
“หึๆ มานั่งนี่ดีกว่า” เขาอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ โดนจูบทีไรน่ารักขึ้นทุกที แล้วแบบนี้ไม่ให้เขาจูบเธอบ่อยๆ ได้ยังไง ก็เขาอยากเห็นเธอน่ารักทุกๆ วันเลยนี่นา
“อุ๊ย! ปล่อยนะ ที่ก็ตั้งเยอะตั้งแยะทำไมฉันต้องมานั่งบนตักคุณด้วย” เธอพยายามขืนตัวลงจากตักแกร่งของจอมเผด็จการ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเขายังกอดเธอไว้แน่น
“ก็ผมคิดถึง อยากอยู่ใกล้ๆ” เขาบอกพร้อมกับวางคางลงบนไหล่บอบบาง ทำเอาเธอหน้าเห่อร้อน รู้สึกว่าหน้าตัวเองต้องแดงเป็นลูกตำลึงแล้วแน่ๆ
“บ้า! อย่ามาเวอร์ คุณกับฉันเจอหน้ากันทุกวัน ถ้าบอกว่าเบื่อขี้หน้ากันฉันยังจะเชื่อมากกว่า” เธอพยายามกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง
“คุณคนเดียวต่างหากที่เบื่อ สำหรับผมการได้เห็นหน้าคุณทุกวันมีแต่จะยิ่งคิดถึงมากขึ้น แล้วรู้ไหมว่าผมต้องทำยังไงถึงจะหายคิดถึงคุณ” เธอเอียงหน้ามองเขาด้วยความสงสัยใคร่อยากรู้คำตอบ
“ก็ทำแบบนี้ไง” เขาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ด้วยความมันเขี้ยว ทำเอาคนถูกหอมถึงกับยกมือขึ้นปิดแก้มตัวเองทันที
“นี่! คนบ้า เอะอะก็จูบ เอะอะก็กอด แล้วนี่ยังจะหอมอีก คิดจะแกล้งกันใช่ไหมเนี่ย” เธอแสร้งว่าและหาเหตุผลต่างๆ นานามากล่าวอ้างเพื่อลบล้างความรู้สึกบางอย่างของตัวเองออกไป
“คุณคิดว่าผมจะเลวถึงขนาดแกล้งคุณด้วยวิธีนี้เหรอมะลิ ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเพราะอะไร” เขาตรึงใบหน้าเธอให้มองที่ใบหน้าเขา ให้ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ สื่อความรู้สึกที่เขามี
“คุณเห็นอะไรไหม สายตาผมมันไม่เคยโกหกใคร เห็นไหมว่ามันกำลังบอกอะไรคุณ ” เสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นชวนฝันของเขาทำเอาเธอราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด และถ้าขืนยังจ้องตากันอยู่อย่างนี้ล่ะก็ เธออาจเผลอพูดหรือทำอะไรบางอย่างออกไปแน่ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เหมือนระฆังช่วยชีวิต เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ที่สำคัญเสียงนี้ยังทำให้เขายอมปล่อยเธอให้ลุกขึ้น ถึงแม้จะเสียดายอยู่บ้างก็ตาม
“เชิญ” สิ้นเสียงเขา ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยสาวสวยคนหนึ่ง ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่เหมือนกับคนที่จะมาติดต่อเรื่องงาน
“Hi! ริชาร์ด คิดถึงคุณจังค่ะ” จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิด ด้วยการเข้าไปกอดและหอมแก้มเขา ถึงแม้มันจะเป็นการทักทายกันแบบตะวันตก แต่ในกรณีนี้เธอดูออกว่ามันไม่ใช่แค่การทักทายธรรมดา
“เอ่อ! มาหาผมถึงที่นี่ มีธุระอะไรรึเปล่าอันนา” เขาถามเสียงอึกอัก ขณะเดียวกันก็พยายามมองปฏิกิริยาของจัสมินที่ยืนมุมห้องไปด้วย
“ก็คุณไม่ค่อยอยู่บ้าน ฉันก็เลยต้องมาหาคุณที่นี่ ลูกก็มาด้วยนะคะ แต่ฉันให้แกรออยู่ในรถน่ะค่ะ ฉันบอกแกว่าจะมาชวนคุณไปทานข้าวเย็นด้วยกัน รู้ไหมว่าแกดีใจมากแค่ไหน ไปทานข้าวกับเราตามประสาครอบครัวนะคะริชาร์ด ถือว่าเห็นแก่ลูก” ทุกอย่างแทบพังทลายอยู่ตรงหน้าเมื่อได้ยินคำว่าครอบครัวจากปากผู้หญิงคนนั้น ความเจ็บความเสียใจจู่โจมเข้ามาในหัวใจจนเธอยืนแทบไม่ไหว โชคดีที่ผู้หญิงอย่างจัสมินยังเข้มแข็งพอที่จะพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์บัดซบนั้นได้
“งั้นฉันขอตัวนะคะ” จัสมินบอกโดยไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ
“เดี๋ยวมะลิ ฟังผมก่อน “ ริชาร์ดพยายามเรียกและกำลังจะเดินตามเธอออกไป แต่ติดที่ถูกอันนารั้งแขนเอาไว้ซะก่อน
“ปล่อย คุณไม่มีสิทธิ์” ริชาร์ดเสียงกร้าวขึ้นมา
“แต่ฉันเป็นเมียคุณ เป็นแม่ของลูกคุณ นังผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์” แค่เห็นสายตาอาทรที่เขามองจัสมิน อันนาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะแพ้ เพราะก่อนหน้านี้ที่เธอพยายามรังควาญผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของริชาร์ด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นเขามองใครแบบนี้ และสายตาแบบนี้ที่เธอโหยหามาตลอดแต่ไม่เคยได้รับมัน แล้วผิดเหรอที่เธอจะอิจฉาและพยายามแย่งชิง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
“อย่าเรียกเขาแบบนั้นอีก เพราะเขามีค่ามากกว่าคุณที่ไม่เคยเห็นค่าของใครมากกว่าตัวเอง กลับไปซะ มันไม่มีประโยชน์อะไรอีก เพราะครั้งนี้ผมจะไม่ยอมคุณเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา” เขาบอกเสียงกร้าว แค่นี้ก็ทำเอาอันนาถึงกับน้ำตาอาบแก้ม ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแพ้เท่าครั้งนี้มาก่อน ที่ผ่านมาเธอเคยคิดว่าตัวเองมีหวัง แต่กับครั้งนี้เธอกลับรู้สึกตรงกันข้าม แต่ถ้าจะให้ยอมแพ้และเดินออกไปจากชีวิตเขาง่ายๆ เธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“หึๆ คุณจะทำอะไรฉันได้ อย่าลืมสิว่าลูกต้องการฉัน” นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขายอมอันนาทุกครั้ง เพียงเพราะลูกที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต และนี่อีกเหมือนกันที่ทำให้อันนายังวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาได้แบบนี้
“ถ้าคุณคิดจะเขี่ยฉันออกจากชีวิต ฉันจะพาลูกไปด้วย” ริชาร์ดกัดฟันกรอดกับคำขู่นี้ที่เขาฟังมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ และที่น่าอดสูกว่านั้นก็คือ เขายอมมันทุกครั้งแต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เดิมๆ ขึ้นอีกแล้ว ชีวิตของเขาจะต้องเดินหน้าต่อไปสักที
“อย่ามายุ่งกับลูกของผม แล้วก็ออกไปจากชีวิตผมซะ อย่าให้ผมต้องใจร้ายกับคุณ” เขาเน้นย้ำทุกคำชัดๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าครั้งนี้เขาเอาจริง
“คุณใจร้ายกับฉันมาตลอด จะร้ายกว่านี้อีกสักหน่อยจะเป็นไรไป แล้วก็ขอให้คุณจำเอาไว้อย่างหนึ่ง เอลี่คือลูกของฉัน” ริชาร์ดนัยน์ตาดุกร้าวขึ้นมาทันทีที่อีกฝ่ายยกเรื่องลูกขึ้นมาขู่