ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
รู้เพียงว่ามันนานพอที่อาการรวดร้าวตามร่างกายแม้กระทั่งแผลฉกรรจ์จากคมเขี้ยวสัตว์ป่าเริ่มเปลี่ยนเป็นความชา ราวกับประสาทในส่วนนั้นหยุดทำงานลงชั่วขณะ
ทว่าสองหูยังคงได้ยินเสียงครืดคราดของลำตัวและเรียวแขนที่ครูดลากไปตามพื้นขรุขระ ดวงตาเบลอพร่ายังพอมองเห็นทัศนียภาพเลือนรางของป่าไม้ยามพลบค่ำ
และเหนือสิ่งอื่นใด…
ไม่รู้ว่าสติสตังพังยับเยินไม่มีชิ้นดีแล้วหรือยังไง เพราะขณะร่างกายถูกลากในท่านอนคว่ำ จังหวะผงกหัวขึ้นอย่างเลื่อยลอย ฉันพลันพบเงาดำคล้ายเงาของมนุษย์จากมุมหนึ่งโดยบังเอิญ สิ่งนั้นเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งมายังจุดหนึ่งผ่านริ้วหมอกที่ก่อตัวหนาขึ้นกว่าหลายนาทีก่อน ขยับเดินตามเส้นทางที่ตัวฉันถูกลากจนเหลือหลักฐานมากมายบนพื้นดิน
“ช่วย…”
ตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด ฉันเค้นเสียงที่แห้งแหบอย่างน่าสมเพชออกไป แม้ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองแค่ตาฝาดหรือเห็นวิญญาณในช่วงใกล้ตาย แต่ก็ตัดสินใจอย่างโง่งมเพียงเพราะยังหวงแหนชีวิตที่ยังใช้ไม่คุ้มค่าของตัวเอง
ปัง!
ไม่ทันปริปากร้องขออย่างเต็มคำเป็นหนที่สอง เสียงปืนพลันดังสนั่นหวั่นไหวลั่นป่า ส่งผลให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่ดำรงชีวิตกันอย่างสงบเงียบพากันแตกตื่น นกฝูงหนึ่งแตกฮือ กระพือปีกหนีกันจ้าละหวั่น
แม้แต่สัตว์ล่าเนื้อซึ่งมีลักษณะคล้ายเสือทว่าแตกต่างไปจากที่เคยเห็นเองก็นิ่งค้างเหมือนโดนฟรีซ หยุดกระชากลากถูฉันในที่สุด
ฉันเอี้ยวหน้ากลับไปมองตามคำสั่งของสมองอย่างไม่รอช้า ก่อนพบว่าบริเวณหน้าผากเจ้าตัวยักษ์ปรากฏรูขนาดใหญ่จากการโดนกระสุนเจาะ เป็นจุดตายที่แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำของผู้ยิงอย่างแท้จริง...
มันแน่นิ่งอยู่ชั่วอึดใจเดียว ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ดับวูบ ก่อนจะทรุดตัวลงในท่าหมอบซบบนข้อเท้าฉัน ซึ่งเป็นจุดที่คมเขี้ยวของมันยังฝังแน่นอยู่แบบนั้น…
ฉันตกใจกับภาพตรงหน้าจนลบลืมความเจ็บปวดที่เริ่มกลับมามีบทบาท แต่ไม่กี่วินาทีให้หลังกลับต้องค่อย ๆ ดึงสายตากลับมาตรงหน้าเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของบางสิ่งขยับเข้ามาใกล้
คงเพราะมีแสงรำไรจากดวงจันทร์ เมื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ฉันจึงสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของผู้มาเยือนได้ชัดเจนประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์
...เป็นคนจริง ๆ ด้วย
เขาคนนั้นมีลักษณะเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ คงสูงราวร้อยแปดสิบปลาย ๆ สวมเสื้อแขนยาวมิดชิด บริเวณศีรษะถูกคลุมทับด้วยฮู้ดจากเสื้อตัวเดียวกันจนเกิดเงาดำพาดทับตรงดวงตา ยิ่งมีเส้นผมปรกทับจนเกือบถึงปลายจมูกด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ยากต่อการมองเห็นดวงตาที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดนั่นเป็นเท่าตัว
คนคนนี้...เรียกได้ว่าตั้งแต่ศีรษะจดเท้าเป็นสีดำสนิท ไร้สีสันอื่นเจือปน ดูแล้วก็แทบจะกลมกลืนกับสีของท้องฟ้าในช่วงเวลานี้เสียด้วยซ้ำ
มีเพียงปืนยาวที่เขาสะพายไว้ตรงไหล่ซ้ายเท่านั้นที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ช่วยให้ภาพรวมดูไม่หม่นหมองจนเกินไป
ชายปริศนาผู้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสุดลึกลับผสานกับกลิ่นเขม่าควันจากปืนที่สะพายขยับเข้ามาอีกครึ่งก้าว ก่อนย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าขวา เอียงคอเล็กน้อยขณะจับจ้องฉันที่มีสภาพใกล้เคียงซอมบี้เข้าไปทุกที
“ผมต้องดึงมันออก คุณทนเจ็บไหวไหม” ผู้ชายใต้ฮู้ดดำขยับริมฝีปากเป็นน้ำเสียงทุ้มแหบที่ฟังแล้วรู้สึกเย็นเยียบถึงขั้วกระดูก พลางพยักพเยิดหน้าไปยังข้อเท้าด้านขวาของฉันซึ่งยังไม่หลุดพ้นจากคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นศพเรียบร้อยแล้ว
“นะ หนู…ไม่แน่ใจค่ะ” ฉันตอบเขาไปตามตรง
ดูจากร่างกายสูงใหญ่และแสนกำยำของเขา คิดว่าคงเป็นนายพรานที่เชี่ยวชาญการเดินป่าไม่มากก็น้อย หลังจากนี้คงต้องหวังพึ่งพาเขาแล้ว ดังนั้น… “แต่ไม่เป็นไรค่ะคุณ เอาออกเลยก็ได้ ถึงจะเจ็บแต่คงไม่ตายหรอก…”
ตอนกล่าว ใบหน้าของฉันคงซีดเซียวเป็นไก่ต้มแน่ แม้แต่เสียงเองก็แห้งแหบบาดคอ
ดูเหมือนว่าพิษบาดแผลและการสูญเสียเลือดปริมาณมากจะทำให้ฉันอ่อนแรงลงทุกวินาที หากไม่รีบพาไปส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที ดีไม่ดีอาจได้กลายเป็นผีเฝ้าป่าพร้อมกับเจ้าตัวยักษ์นั้นแน่
ป้าที่รอฉันอยู่คงต้องจุดธูปเรียกวิญญาณหลานกลับบ้านสถานเดียว
“…” ชายปริศนาไม่เอ่ยคำใด แต่กลับลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังจุดเกิดเหตุอย่างไม่รีบร้อนนัก จากนั้นก็ใช้มือที่เพิ่งเห็นว่าสวมทับด้วยถุงมือสีดำตะปบลงตรงปลายจมูกมัน ก่อนออกแรงง้างเพื่อให้ขากรรไกรเปิดกว้าง
อึก...
วินาทีนั้นเอง ความเจ็บปวดระลอกสองค่อย ๆ แล่นพล่านจากปลายเท้าสู่หนังศีรษะ ฉันหันหน้ากลับมา หลับตาลงแล้วใช้ฟันกัดแขนเสื้อตัวเองหวังบรรเทาความทุกข์ทรมานที่ยากจะเลี่ยงหนี
ตอนเขี้ยวฝังลึกลงเนื้อว่าเจ็บปานจะขาดใจแล้ว แต่ตอนดึงมันออก ระดับความสาหัสทางความรู้สึกกลับต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย
ฉันปล่อยน้ำตาไหลพรากเหมือนเด็กน้อย กรีดร้องผ่านแขนเสื้อที่เปียกชื้นจากน้ำลายของตัวเอง สั่นเทิ้มอยู่นานนับนาที...พิษบาดแผลและเลือดที่ไหลทะลักก็ทำเอาสติสตังเริ่มเลือนราง
แต่ก่อนภาพจะตัด ฉันกลับรับรู้ได้ว่าร่างกายอันแสนอ่อนเปลี้ยนี้ถูกอุ้มขึ้นคร่อมแผ่นหลังที่ทั้งอุ่น หนา และกว้างใหญ่ของใครบางคน
ระยะห่างเพียงน้อยนิดส่งผลให้ฉันได้กลิ่นแปลกประหลาดจากตัวของเขา ทั้งยังสัมผัสได้ถึงการก้าวเดินที่ไม่ค่อยสมดุลนักเหมือนได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้
ฉันทั้งประหลาดใจและสงสัย ทว่ากลับไม่มีแรงพอจะถาม จึงฟุบหน้าลงทั้งอย่างนั้น ก่อนสติสัมปชัญญะจะเหือดหายไป
บุรุษที่สาม
“กับเด็กผู้หญิงที่วิ่งเข้าป่ามาหาเรื่องตายด้วยตัวเอง มีดีอะไรให้คุณต้องช่วยเธอเหรอครับ?”
ดาร์กถามเสียงเครียดหลังเห็นสภาพของนิธิศผู้เป็นนาย ซึ่งเรียกได้ว่าเกินเยียวยาจนน่ากังวล
“ดู ๆ แล้วก็ไม่ได้วิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปนะ รนหาที่ตายเองแบบนี้ ปล่อยให้ธรรมชาติคัดสรรไม่ดีกว่าเหรอ”
ประโยคถัดมาเป็นของดัสก์ เขาไม่ลังเลที่จะแฝงการถากถางไว้ในถ้อยคำ จงใจกระแนะกระแหนและกล่าวโทษเหยื่อผู้โชคร้ายที่เจ้านายยอมเสียสละพาเข้ามาในเขตพรางตา อีกทั้งยังใช้พลังเยียวยาที่มีไว้รักษาผู้อื่นกับคนแปลกหน้าเช่นเธออย่างไม่ลังเล แม้รู้อยู่เต็มอกว่าผลข้างเคียงจากการกระทำนี้จะส่งผลเสียต่อร่างกาย...จนอาจเรียกได้ว่าตายทั้งเป็นก็ตามที
ในเวลาปกติผลข้างเคียงนั้นอยู่ในขอบเขตที่ร่างกายทนไหว แต่สำหรับตอนนี้เรียกว่าต่างกันราวขอบฟ้ากับก้นเหว
นิธิศเพิ่งถูกเล่นงานจากธนูอาบพิษ เขาจำแลงกายสู่ร่างเดรัจฉานตามกลไกของคำสาปเพื่อให้บาดแผลและพิษร้ายแรงถูกขจัด ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างต่ำสามชั่วโมง หรืออาจมากกว่านั้นแล้วแต่ชนิดและที่มาของบาดแผล
นิธิศไม่ทันหายขาดแต่จำต้องคืนร่างเพื่อให้สองขาอันยาวเหยียดพาตนไปถึงจุดที่เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังเผชิญหน้ากับความตาย และใช้นิ้วที่ยังพอเหลือเรี่ยวแรงอยู่บ้างเหนี่ยวไกใส่สัตว์ป่าตัวยักษ์ ยอมคร่าหนึ่งชีวิตอันมีค่าเพียงเพื่อปกป้องมนุษย์หน้าโง่ที่ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว
แค่นั้นไม่พอ เจ้านายผู้สูงส่งยังยอมใช้พลังรักษาที่ตนได้มากับเธอ ส่งผลให้แผลเหวอะบริเวณข้อเท้าหายสนิท ในขณะที่เนื้อตัวเขาซีดเซียวไร้สีเลือด โซซัดโซเซทรุดลงบนพื้น ก่อนขยับกายพิงผนังห้องเพื่อรอให้เวลาสำคัญมาถึง
“...”
แม้จะโดนสองสหายเซ้าซี้ไม่เลิก ทว่านิธิศกลับไม่ปริปาก...เพียงเงยหน้าขึ้นมองวิวนอกหน้าต่างซึ่งยามนี้สะท้อนภาพของพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสวกลางผืนฟ้า
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงจะครบ 202 ปี...นับตั้งแต่เหตุการณ์ ณ คืนพระจันทร์สีเลือด อันเป็นจุดแปรผันในชีวิตที่เต็มไปด้วยตราบาป
ทุกวันครบรอบของทุกเดือนในแต่ละปีร่างกายนิธิศจะถูกบีบให้อยู่ในภาวะวิปลาส ไม่ใช่ทั้งคน ไม่ใช่ทั้งสัตว์...
ความทรมานในตอนนี้จะกลายเป็นสิ่งเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลานั้นที่เขาต้องประสบไปตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“พูดอะไรหน่อยสิครับคุณนิธิศ แบบนี้พวกเราไม่สบายใจนะ คุณไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวเลย ดูสภาพคุณตอนนี้สิ” ดาร์กไม่ปล่อยผ่าน เพราะสภาพของนิธิศย่ำแย่เกินกว่าจะนิ่งนอนใจ “เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วด้วย สภาพคุณไม่น่ากลับมาเป็นปกติทัน จนถึงตอนนั้นร่างกายคุณจะแตกสลายเอานะ”
“ฉันไม่ได้ตายสักหน่อย” ความร้อนใจของดาร์กส่งผลให้นิธิศเคลื่อนนัยน์ตาคมกริบจากวิวนอกหน้าต่างเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเบื้องหน้า แม้เป็นเพียง ‘อีกา’ ที่อ่านอารมณ์ผ่านแววตาได้ยาก ทว่าสำหรับเขาซึ่งถูกสาปให้อยู่ระหว่างความเป็นมนุษย์กับเดรัจฉาน สามารถสังเกตอารมณ์ของสัตว์ปีกทุกสายพันธุ์ได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งยังสื่อสารกับมันได้เป็นปกติ แม้อีกฝ่ายจะเปล่งออกมาเป็นเสียงร้องไม่กี่พยางค์
ใช่ ทั้งดาร์ก ทั้งดัสก์ เป็นเพียงอีกาที่มีวิถีชีวิตเฉกเช่นสัตว์ปีกทั่วไป หาใช่สิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจเช่นเขา ถึงอย่างนั้นเหล่าสหายตัวจ้อยเหล่านี้กลับเข้าอกเข้าใจเขา แถมยังพึ่งพาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ความจริงแล้วยังมีสหายอีกหนึ่งนามแบล็ก แต่ได้รับหน้าที่ให้อยู่เฝ้าเด็กสาวผู้น่าสงสารซึ่งหมดสติตั้งแต่ก่อนพามาที่นี่
นิธิศเล็งเห็นว่าหากไม่ใช้พลังที่ได้มาเพื่อช่วยเธอ เลือดที่ไหลทะลักไม่ขาดสาย ทั้งพิษบาดแผลซึ่งรุนแรงเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะทนไหวอาจทำให้ลมหายใจเธอแตกดับได้ในไม่ช้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนัก
ชายหนุ่มผู้ถูกสาปจำต้องรักษาชีวิตของเธอไว้ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเมตตา และหาใช่รูปร่างหน้าตาอันงดงาม แต่ทำเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากคำสาปอันมืดมิดนี้ได้ในเร็ววัน หลังทุกข์ทรมานอย่างยาวนานจนความตายกลายเป็นความปรารถนาสูงสุดในชีวิต
นิธิศมั่นใจว่าเธอช่วยได้ รู้ด้วยกฎที่ฝังใส่หัว รู้ด้วยจิตที่แผ่ซ่าน และรู้ด้วยสัญชาตญาณอันเข้มข้น
“แต่ถ้าคุณทนไม่ไหว ร่างกายคุณจะแหลกสลายอยู่ดี” คราวนี้เป็นดัสก์ที่กล่าวขึ้น ก่อนกระพือปีกจากพื้นบินมาเกาะหลังมือของนิธิศที่วางพาดบนหัวเข่า “กว่าคุณจะฟื้นขึ้นมาก็ระบุเวลาไม่ได้ ระหว่างนั้นพวกเราจะอยู่ยังไง”
ให้พูดง่าย ๆ คือหากเขาทนความเจ็บปวดไม่ได้จนร่างกายแตกสลาย เขาจะอยู่ในสภาวะเหมือนโดนฟรีซไประยะหนึ่ง ซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าต้องใช้เวลานานกี่วันจึงจะฟื้นขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
จากประสบการณ์ สถิติเร็วสุดคือสองวัน ช้าสุดหนึ่งเดือน และอาจมากกว่านั้นหากร่างกายได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ชีวิตของนิธิศวนลูปแบบนี้มากว่าสองร้อยปี เป็นชีวิตกึ่งอมตะที่ประคองลมหายใจไปวัน ๆ จนกว่าจะเจอคนที่สามารถถอนคำสาปได้
“ปีกไม่ได้หัก หากินเองได้” รอยยิ้มบางเบาของนิธิศสะท้อนกับแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องว่างของหน้าต่าง จากนั้นสลัดน้องเล็กของเหล่าสหายให้บินหวือไปอีกทาง “ไม่ต้องห่วง ฉันชินแล้ว”
“แต่พวกเราไม่ชิน”
ดาร์กและดัสก์บินอยู่กับที่ในระดับสายตาของชายหนุ่ม บดบังวิวจากหน้าต่างครู่หนึ่ง