“อินไม่สบาย...”
“ไม่สบายแล้วทำไมไม่รู้จักไปหาหมอ ยังมาทำสนิมสร้อยถอดเสื้อยั่วผัวอยู่บนรถอีก แล้วไม่ต้องมาโทษผมเลยนะ เป็นใครมาเจอคุณถอดเสื้ออวดนมก้อนขาวๆ กลมๆ ให้ดู มันก็ต้องลากคุณเข้าป่าเหมือนผมทุกคนนั่นแหละ”
ปราปต์บ่นเสียงเข้มดุอีกชุดใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธอะไรนักหนา แค่เห็นหน้าอิ่มๆ แก้มแน่นๆ สีชมพู ซีดขาวไปแบบตอนนั้นก็ให้รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาอีก
“ค่ะ อินผิดเอง พี่ออกรถเถอะค่ะ” สุดท้ายเธอก็ตัดปัญหาด้วยการยอมเขาเหมือนทุกที “พี่คงไม่อยากอยู่ใกล้อินนาน ถึงบ้านใหญ่เร็วๆ พี่จะได้อารมณ์ดีขึ้นไงคะ”
ปราปต์หันขวับกลับมาจ้องหน้าภรรยาตัวเองเหมือนเจอคนแปลกหน้า แต่ไหนแต่ไรมาอุรัตน์นรินทร์กล้าประชดประชันเขาแบบนี้ซะที่ไหน !
“ว่าอะไรนะ ?!”
“อ... อินบอกให้พี่รีบออกรถค่ะ พอถึงบ้านใหญ่แล้วจะได้ต่างคนต่างไป ไม่ต้องใช้อากาศร่วมกันให้พี่รู้สึกมีมลพิษยังไงล่ะคะ”
“ถ้าอยู่ใกล้กันแล้วได้รับมลพิษ อย่างนั้นตอนที่ผมฉีดน้ำในตัวผมเข้าไปจนเต็มท้องคุณ คุณน่าจะตายเพราะโดนพิษอุ่นๆ ไปแล้วรู้มั้ย คงไม่มีโอกาสได้มานั่งปากดีประชดผัวอยู่อย่างนี้หรอก”
ความอัดอั้นมาทั้งวันทำให้อุรัตน์นรินทร์กำมือแน่นเกร็งสะท้าน พร้อมจดจ้องไปที่สามีเขม็ง
“พี่มันไม่มีหัวใจ ไอ้คนสารเลว !”
ชายหนุ่มไม่พอใจกับสายตาตัดพ้อเอาเรื่องและคำผรุสวาทรุนแรงของเมียสาวนัก เลยเผลอจับตรึงไหล่ของอุรัตน์นรินทร์ไว้แน่นจนเจ้าหล่อนต้องอุทธรณ์ออกมา
“ปล่อยอินนะคนทุเรศ !”
หญิงสาวดิ้นรนอย่างที่ไม่เคยไม่เคยทำมาก่อน และยกมือขึ้นตบฉาดไปบนแก้มสากสุดแรง
เพียะ !!!
ปราปต์กัดฟันนิ่งรู้สึกถึงเลือดที่ไหลซึมออกมาจากมุมปาก หายใจฟืดฟาดอย่างพยายามสะกดกลั้นความโกรธสุดกำลัง
“ตบอินคืนสิคะ ทำเลยค่ะ คนอย่างพี่ปราปต์ไม่มีหัวใจอยู่แล้ว เกลียดอินมาก อยากเห็นอินเจ็บปวดไม่ใช่หรือคะ ตบสิ ตบเลย !” อุรัตน์นรินทร์ท้าทายหน้าเชิด คอตั้งตรง
“อุรัตน์นรินทร์... !!!” นายตำรวจหนุ่มเค้นเสียงลอดไรฟัน
“หรืออยากจะทำมากกว่านั้นคะ พกปืนไว้ที่ไหนล่ะ เอาออกมายิงอินเลย หากอินตาย พี่ก็ไม่ต้องร้องขอการหย่าจากอินแล้ว ที่นี่ก็เปลี่ยวดีเหมาะมาก เอาเลยสิคะ อินจะได้ไปสบายสักที”
ชีวิตเธอไม่เหลือใครแล้วเขาก็รู้ สามีคนเดียวที่เธอหวังพึ่งพิงอาศัยก็เอาแต่ขับไล่รังเกียจ จิตใจเขามันทำด้วยอะไรกัน เลือดเนื้อหรือว่าก้อนหินกันแน่
“อินเกลียดพี่ เกลียด...” อุรัตน์นรินทร์สะอื้นฮักน้ำตานองหน้าจนดูน่าสงสาร ยิ่งเห็นคนที่เธอรักสุดหัวใจแม้ปากจะเพิ่งบอกเขาไปว่าเกลียดก็ตาม เลือดตกยางออก เธอก็ยิ่งเจ็บร้าวไปทั้งทรวง ต่างจากเขาที่ยิ่งเห็นเธอเจ็บปวด ทุกข์ทรมานคงยิ่งสาแก่ใจ
อุรัตน์นรินทร์ซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ปราปต์เห็นอย่างนั้นก็ให้ทำอะไรไม่ถูก ไปไม่เป็น มารู้ตัวอีกทีตัวเองก็คว้าร่างเล็กมากอดไว้แล้ว โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี
“อินเกลียดพี่... เกลียดพี่...”
“เออ ได้ยินแล้วน่า” ปราปต์ขานรับห้วนสั้น แต่เสียงอ่อนลงกว่าเดิมมาก ไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะเห็นอุรัตน์นรินทร์ฟิวส์ขาดแบบนี้
“ต่อไปอินจะเกลียดพี่... เกลียดให้มากๆ จะลืมให้ได้ว่าเคยรักพี่” อุรัตน์นรินทร์บ่นอู้อี้อยู่กับอกกว้างคล้ายละเมอ
“ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจอยู่หรอก แต่หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวไปบ้านใหญ่กันไม่ทันรู้มั้ย” ปราปต์พูดไปลูบผมนุ่มสลวยลื่นมือไป เหมือนปลอบเด็กเสียขวัญคนหนึ่ง ปากบอกว่าดีใจแต่ไม่รู้ทำไมข้างในมันร้อนแปลกๆ แบบนี้ก็ไม่รู้
คำว่าบ้านใหญ่ทำให้หญิงสาวได้สติ อุรัตน์นรินทร์สูดจมูกแรงๆ แล้วดันตัวผละออกจากอกกว้างช้าๆ
ปราปต์เห็นอย่างนั้นก็ทำเป็นไม่ใคร่จะสนใจนัก แล้วขับเคลื่อนรถออกมาจากซอยเปลี่ยว ขับตรงกลับบ้านเก่าของตัวเองที่อยู่แถบชานเมือง แต่สายตาก็คอยชำเลืองมองคนข้างกายเป็นระยะ พอขับรถมาสักพักก็ถึงที่หมาย เขาเลยเลี้ยวเข้าไปจอดที่โรงจอดรถที่มีรถหลายคันจอดเทียบอยู่แล้ว นั่นแสดงว่าพี่น้องคนอื่นๆ ของเขาคงมาถึงกันหมดแล้ว
อุรัตน์นรินทร์เดินลงมาจากรถเงียบๆ หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองแล้ว แต่สภาพตัวเธอเวลานี้คงดูดีที่สุดได้เท่านี้จริงๆ และสุดท้ายเธอก็อดที่จะมองเลยไปที่คนเป็นสามีไม่ได้ แต่พอเห็นเขาเดินเลี่ยงเข้าไปนั่งตรงศาลากลางสวน อุรัตน์นรินทร์จึงตัดสินใจเดินเข้าบ้านใหญ่ไปเพียงลำพัง...
แต่เพียงไม่นานนักหลังจากที่หญิงสาวเข้าไปล้างหน้าล้างตา รวมถึงล้างตัวจนรู้สึกสดชื่นขึ้นมามาก อุรัตน์นรินทร์ก็เดินออกมาพร้อมถาดยาแล้วตรงไปที่ศาลากลางสวน
ปราปต์เหล่ตามองคนตัวเล็กแวบนึง ก่อนจะเสไปสนใจต้นไม้ใบหญ้า หรือแม้แต่น้ำพุข้างๆ ศาลาแทน
อุรัตน์นรินทร์ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็นั่งลงตรงหน้าคนตัวโต ปราปต์ไม่พูดไม่จาแบบนี้ก็ดี เพราะเธอเองก็เบื่อและเหลือทนกับเสียงและวาจาเคลือบยาพิษของเขา เธอทำเพียงแตะปลายคางสามีเบาๆ ล็อกให้ใบหน้าคมคล้าม
อยู่กับที่เพื่อจะใช้ทำแผลที่มุมปากได้สะดวก
ปราปต์จดจ้องคนตาบวมๆ แดงๆ นิ่ง เมื่อท่านี้เขาไม่สามารถจะหันไปมองที่ไหนได้เลย ในสายตาเขาตอนนี้จึงมีเพียงอุรัตน์นรินทร์เท่านั้น
ปราปต์อดคิดไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้ว ที่สายตาคู่นี้ไม่ได้เหลือบแลผู้หญิงคนไหนอีกเลยนอกจากภรรยาจำเป็นคนนี้...
“ไหนบอกว่าเกลียด” พอถามเสร็จเขาก็ได้ยินเสียงอีกคนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบ
“ก็ยังเกลียดอยู่ค่ะ” เธอตอบออกไปนิ่งๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงเธอแค่กำลัง ‘พยายาม’ จะเกลียดเขาให้ได้อยู่ต่างหาก
“เกลียดแล้วมาห่วงไอ้แผลขี้ปะติ๋วของผมทำไม”
“ไม่ได้เป็นห่วงค่ะ แต่อินแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ยิ่งอินเป็นคนทำ อินยิ่งต้องรับผิดชอบ” หญิงสาวเน้นช่วงท้ายประโยคโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ชัดพอให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอประชดประชันเขา
“จะว่าว่าผมไม่มีความรับผิดชอบงั้นสิ”
เมื่อการทำแผลเฉพาะกิจเสร็จสิ้นพอดี อุรัตน์นรินทร์เลยผละตัวลุกขึ้นแบบเร็วๆ เธอเบื่อคำเหน็บแนมเสียงสูงของเขาเต็มทนแล้ว
“หากอินจะคิดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดนี่คะ พี่ปราปต์ไม่มีความรับผิดชอบจริงๆ เพราะไม่ว่าพี่จะยอมแต่งงานกับอินด้วยเหตุผลอะไร แต่พี่ก็แต่งกับอินแล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครจับมือพี่เซ็นใบทะเบียนสมรสหรือเอากระสอบคุมหัวพี่แล้วลากเข้ามาทำพิธีกับอิน แล้วมาวันนี้ทำไมพี่ถึงทำร้ายอินสารพัดได้ลงคอเพียงเพราะต้องการใบหย่าเท่านั้นล่ะคะ”
อุรัตน์นรินทร์กะพริบตาถี่ๆ หายใจยาวๆ เพื่อไล่น้ำตาและความรู้สึกทรมานที่ตีรื้นขึ้นมาอีกระลอก
“ทำไมล่ะ ผมจะตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตสักครั้งไม่ได้เลยหรือไง ใช่ว่าผมได้คุณแล้ว จะต้องทนดักดานอยู่กับคุณไปตลอดชีวิตนี่ คนไม่ได้รักได้ชอบกัน ยังไงสักวันก็ต้องเลิกรากันอยู่ดี ยิ่งเรายุติความสัมพันธ์คลุมเครือนี้ได้เร็วเท่าไร ผมว่าจะยิ่งเป็นการดีกับคุณเท่านั้นนะอุรัตน์นรินทร์”
“ความสัมพันธ์คลุมเครือหรือคะ ?” เธอจดจ้องหน้าปราปต์ไม่วางตา “ทุกครั้งที่พี่มีอะไรกับอิน อินก็ไม่เคยเห็นพี่จะตะขิดตะขวงใจอะไรนี่คะ ออกจะทำทุกอย่างด้วยความชำนาญและชัดเจนเกินไปด้วยซ้ำ”
แม้รู้ดีว่าเถียงเขาแล้วจะมีแต่เข้าตัว แต่เธอหมั่นไส้กับคำก็ไม่รักสองคำก็ไม่ได้ชอบเธอของเขาเต็มที... หากไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลยสักนิด จะมายุ่งกับเธอแทบทุกวันทุกคืนทำไม
ปราปต์สะอึกไปเพราะไม่คุ้นเคยกับโหมดแข็งข้อของเมียสาว แต่สุดท้ายสมองก็ประมวลผลหาคำพูดมาทำร้ายจิตใจผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ได้อีกครั้ง
“ผมก็ทำได้หมดนั่นแหละไม่ว่าจะกับใคร ยิ่งเป็นคนที่ผมปรารถนาผมจะยิ่งทำมันด้วยความเต็มใจและมีความสุขกว่านี้อีก”
อุรัตน์นรินทร์ยิ้มขื่น
“ถ้าอย่างนั้น ‘ความผิดพลาด’ อย่างอินคงสำคัญตัวผิดไปจริงๆ ขอโทษพี่ปราปต์ด้วยแล้วกันนะคะที่อินเป็นคนที่พี่ปรารถนาไม่ได้...”
อาจเป็นครั้งแรกที่เธอยอมรับผิดเพราะหวังประชดประชันเขา และต้องการบอกเป็นนัยๆ ด้วยว่า คนที่เขาไม่ปรารถนาอย่างเธอกำลังตัดสินใจบางอย่างได้ ดวงตาที่เคยมืดดำเพราะความรัก เหมือนจะเห็นแสงสว่างวาบอยู่รำไร
“คุณปราปต์ คุณอินคะ นายท่านให้มาเชิญไปที่โต๊ะอาหารค่ะ ตอนนี้ตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว”
แต่ก่อนที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลปรากรณ์จะได้สวนอะไรกลับไป สาวใช้ในบ้านก็เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน ปราปต์มองเห็นเมียตัวเองเดินลิ่วๆ ตามหลังเด็กรับใช้ไป เขาเลยลุกตามไปบ้างทั้งที่อารมณ์ยังคุกรุ่นและไม่เสถียรนัก