ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง
“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”
“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”
ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี
“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”
“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย
“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”
ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแทบอยากเอามีดมากรีดปากคนพูด
เอ๊ะ...มีด!
ทันทีที่นึกถึง เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยเอามีดปอกผลไม้วางไว้ใต้หมอนเพื่อป้องกันตัว ทว่าข้อมือที่ถูกล็อกเอาไว้ทั้งสองข้างทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจคิด สุดท้ายจึงเลิกต่อต้าน กัดฟันทนให้อีกฝ่ายจับต้องได้ตามใจแม้จะรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงแค่ไหนก็ตาม แต่เพื่อหลอกให้พ่อเลี้ยงตายใจ เธอจำต้องยอม
“หึ...จุดติดง่ายเหมือนกันนี่หว่า ดี! แบบนี้กูชอบ”
ดิลกแค่นยิ้มเมื่อเห็นคนใต้ร่างเลิกดิ้นรนขัดขืน มือข้างที่จับข้อมือทั้งสองข้างของต้องรักไว้จึงเผลอปล่อยเพื่อจะมาจัดการกับอาภรณ์ของตนเอง และระหว่างที่มัววุ่นวายกับการปลดเข็มขัด สีข้างของหนุ่มใหญ่ก็ถูกวัตถุปลายแหลมแทงจนเกือบมิดด้ามพร้อมกับแรงถีบจากฝ่าเท้าของหญิงสาวจนร่างลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น มือก็เปลี่ยนมากุมบริเวณที่ถูกแทงพลางร้องโอดโอย
“อีรัก! กูจะฆ่ามึง!”
ดิลกตะโกนลั่นเมื่อเอามือขึ้นมาดูแล้วเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาจนดูน่ากลัว แต่ต้องรักไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น รีบผลุนผลันลุกขึ้นวิ่งไปยังประตูห้องนอนทันที สองเท้าวิ่งลงบันไดมาอย่างเร็วจนก้าวพลาด ส่งผลให้ร่างเล็กกลิ้งหลุนๆ มาตามขั้นบันไดจนกระทั่งร่างกระแทกกับพื้นปูน
วินาทีนี้หญิงสาวลืมความเจ็บไปจนสิ้น เมื่อลุกขึ้นยืนได้ก็ปรี่ไปที่ประตูบ้าน แล้วออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
สองเท้าเปล่าเปลือยวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยเข้าชุมชน ร่างบอบบางหอบจนตัวโยนพลางทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างหมดแรง อกใจเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หันไปมองทางที่ตัวเองวิ่งผ่านมาอย่างหวาดระแวงด้วยเกรงว่าพ่อเลี้ยงจะวิ่งตามมาฉุดกลับไป เมื่อไม่เห็นจึงรู้สึกโล่งขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
แล้วถ้ามันตายล่ะ เธอจะติดคุกไหม!
ร่างเล็กนั่งคู้เข่าขึ้นมากอดเอาไว้ ปากเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วเธอจะทำอย่างไรดีหนอ จะหันหน้าไปพึ่งพาใครได้ เงินก็ไม่มีติดตัวแม้แต่บาทเดียว เพราะเมื่อครู่ตอนที่วิ่งออกมาอารามตกใจและหวาดกลัวสุดขีดจึงไม่ได้หยิบอะไรออกมาเลย แม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปนึกถึง สมองสั่งเพียงอย่างเดียวว่าให้หนีเท่านั้น
ชนาธิปเปิดประตูแล้วแทรกตัวเข้าไปในรถด้วยอารมณ์กรุ่นๆ จนคนสนิททั้งสองจับกระแสความขุ่นมัวนั้นได้ เอกรัฐกับชัชวาลมองหน้ากัน ต่างคนต่างถามอีกฝ่ายทางสายตา ทว่าคำตอบที่แต่ละคนมีให้กันมีเพียงอาการส่ายหน้าเล็กน้อยเท่านั้น เป็นการบอกกับอีกฝ่ายว่า ไม่รู้...
นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปยังพนักงานแทบทุกคนที่เดินอยู่ริมทางเมื่อรถเคลื่อนผ่าน เมื่อไม่เห็นบุคคลที่ตนมองหาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จนคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าลอบมองหน้ากันอีกรอบ
“วันนี้ขับไปอีกทางนะ”
เสียงเรียบๆ ที่ดังจากเบาะหลังท่ามกลางความเงียบทำให้ชัชวาลที่ทำหน้าที่ขับรถอดสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้ พลางนึกในใจว่าอีกทางของเจ้านายนั้นคือทางไหนกัน แต่ดูเหมือนคนพูดจะรู้ว่าลูกน้องกำลังงุนงงสงสัย จึงชิงพูดขึ้นมาเสียเองโดยที่ไม่ต้องให้เอ่ยปากถาม
“ผ่านทางวัด”
“ครับ” ชัชวาลขานรับก่อนจะลอบสบตากับเอกรัฐที่นั่งอยู่ด้านข้าง เริ่มรับรู้รางๆ แล้วว่าสาเหตุของอาการไม่สบอารมณ์ของเจ้านายนั้นเกิดจากอะไร
ผ่านไปราวสิบห้านาที รถก็เคลื่อนที่ผ่านละแวกที่เขาเคยมาส่งต้องรักจนถึงบ้าน ชนาธิปมองจ้องเข้าไปในนั้นระหว่างที่รถกำลังขับผ่านปากซอยทางเข้าชุมชนของหญิงสาว คนขับก็ดูเหมือนจะรู้ใจเจ้านายดีเพราะชะลอรถให้วิ่งช้าจนแทบจะเรียกได้ว่าคลาน จนกระทั่งรถค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านจุดนั้นไป
“เดี๋ยว! จอดก่อน”
คำสั่งจากเจ้านายทำให้ชัชวาลเหยียบเบรกแทบจะทันที พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ของคนสั่งเปิดประตูรถแล้วเดินย้อนกลับไปยังทางที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา
เอกรัฐมองกระจกข้างรถจึงได้เห็นว่าชนาธิปกำลังเดินไปหาใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง คราแรกเขานึกว่าเป็นคนจรจัดแถวนี้จึงไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะผมเผ้ายุ่งเหยิงแถมรองเท้าก็ไม่ใส่ แต่พอเห็นเจ้านายเดินลงไป เขาจึงต้องลงตามไปด้วยเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่เจ้านายตามหน้าที่
ชนาธิปก้าวเร็วๆ ไปหาหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นราวกับกำลังสะอื้นไห้ นัยน์ตาคู่คมกวาดมองสภาพของคนตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่นทันที เขาวางมือที่หัวไหล่สั่นไหวนั้นเบาๆ
“ต้องรัก!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกทันควัน แววตาหวาดกลัวเมื่อแรกเห็นแปรเปลี่ยนเป็นดีใจ เมื่อเห็นร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณชนาธิป!”
แค่เรียกชื่อของเขา น้ำตาเจ้ากรรมก็รินไหลออกมาไม่ขาดสาย ทั้งดีใจทั้งโล่งใจที่ได้เจอเขาในเวลาที่กำลังมืดมนอย่างนี้
ร่างสูงย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้าราวกับจะให้หญิงสาวได้ตัดสินใจ ต้องรักมองมือนั้นเพียงชั่วครู่ก็วางมือของตัวเองลงบนมือใหญ่นั้นทันที ตามมาด้วยแรงช้อนจากคนตัวโตจนร่างเล็กลอยหวือขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ไปทำแผลก่อน แล้วค่อยคุยกัน”
เสียงทุ้มของเขาฟังแล้วอบอุ่นหัวใจของหญิงสาวยิ่งนัก ต้องรักเผลอตัวยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาพร้อมกับซุกหน้าลงกับไหล่ของชายหนุ่มอย่างหาที่พึ่งแล้วร้องไห้ออกมาอีกครา แต่คราวนี้เกิดจากความดีใจ
เอกรัฐรีบเปิดประตูด้านหลังให้ชนาธิปพาหญิงสาวเข้ามาในรถอย่างรู้งาน อดทึ่งเจ้านายตัวเองไม่ได้ที่จดจำต้องรักได้แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่ด้านข้างก็ตาม เพราะขนาดเขามองยังนึกว่าเป็นคนจรจัดแถวนี้เลย
ชายหนุ่มวางต้องรักลงบนเบาะก่อนจะแทรกตัวตามเข้าไป จากนั้นเขาก็คว้ามือของหญิงสาวมาวางไว้บนตักพร้อมกับหันไปหยิบกระดาษทิชชูด้านหลังเพื่อเช็ดคราบเลือดให้
“ไปโดนอะไรมา” เขาถามเบาๆ ราวกระซิบ แต่คนฟังกลับรู้สึกได้ถึงความห่วงใยในน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้น
“ไม่...ไม่ใช่เลือดของรักหรอกค่ะ” ต้องรักอ้อมแอ้มตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้างุดแล้วบอกเขาเสียงสั่นๆ
“รัก...รักแทงคนมา!”
ตอบออกไปแล้วก็นั่งเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขา ทว่าสัมผัสอุ่นร้อนที่แสนอ่อนโยนจากมือใหญ่คู่นั้นก็ทำเอาหญิงสาวอดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้
“ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว”
เขาพูดเพียงแค่นั้นโดยไม่ได้มองหน้าเธอแม้แต่น้อย แต่มือก็ยังคงใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่กับมือเล็กนั้นอย่างไม่นึกรังเกียจ