Stay Hug ที่พบรัก 2
“ขนมอบใหม่ ๆ มาแล้วจ้า” แนนนี่ถือถาดเค้กมาจากครัวหลังร้าน ก่อนจะค่อย ๆ จัดเรียงไว้ที่ตู้โชว์ขนมซึ่งเป็นกระจกใสตั้งอยู่หน้าร้าน จัดเสร็จก็มีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อก่อนกลับบ้านไปจนเกือบหมด คนที่ชื่นชอบการทำขนมอย่างแนนนี่ถึงได้ยกยิ้มกว้างดีใจ ฉันเองก็ดีใจที่ร้านมีลูกค้าเข้าไม่ขาดสาย มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยการลงทุนในครั้งนี้คงไม่เสียเปล่า
“ไปนั่ง ๆ ให้เด็ก ๆ ทำกัน” แนนนี่รีบเอ่ยบอกฉัน แล้วชวนให้เดินไปนั่งที่โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์แทน นั่นจึงทำให้ฉันได้มีโอกาสนั่งพักตั้งแต่มาถึงร้าน
“กินข้าวหรือยังอะ? ฉันหิวมาก” แนนนี่ถาม มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ยัง สั่งมาให้กินด้วยสิ”
“ได้ ๆ แล้วธิชามันจะมาไหม”
“มา ๆ สั่งมาเลย มันบอกจัดของขึ้นหน้าร้านเสร็จแล้วจะตามมา” เอ่ยตอบเพื่อนเมื่อแนนนี่เอ่ยถามถึงธิชาเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนอีกคนของเรา วันนี้ต้องมาประชุมประจำเดือนของร้านนี่แหละ เจ้าของร้านตัวจริงเลยต้องมาให้ครบทั้งสามคน
“แล้วเมื่อกี้น่ะ หล่อมากเลยเนอะ” แนนนี่ป้องปากกระซิบบอกฉันเสียงเบา ทั้งยังทำหน้าเขินอายยามเอ่ยถึงลูกค้าที่เพิ่งเข้ามารับบริการ
“แกเห็นใครก็หล่อหมดนั่นแหละ” ฉันแกล้งแซวเพื่อน
“ไม่ใช่สักหน่อย แต่คุณแทนคุณหล่อจริง ๆ นะ ไม่สิ หล่อทั้งบ้านเลยเถอะ”
“อ่า โอเค ๆ” ฉันขี้เกียจเถียงเพื่อนเลยไม่ได้ต่อความอะไรมากนัก มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความพี่ชายที่ส่งเข้ามาถามไถ่ดังปกติ
ฉันมีพี่ชายสองคนค่ะ แต่ตอนนี้พี่ชายกับพ่อแม่พักอยู่ที่ตัวจังหวัด เพราะต้องดูแลโรงแรมอีกสาขาของครอบครัวเรา รวมถึงดูแลร้านอาหารอีกสองร้านที่อยู่ในตัวจังหวัดอีก ส่วนฉันระเห็จมาอยู่ที่นี่ บ้านเกิดของแม่ แต่ตากับยายก็เสียกันหมดแล้วส่วนญาติ ๆ ของเราไม่มีแล้วค่ะ แม่ฉันเป็นลูกคนเดียว แต่ก็ยังมีคนนับหน้าถือตาและเกรงใจเรามาก ๆ เหมือนกันนะ ทั้งที่เราก็ไม่ได้มีอิทธิพลในท้องถิ่นอะไรขนาดนั้น
ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่ฉันไปค้างที่บ้านใหญ่ของเราที่ตัวจังหวัดเพื่อใช้เวลาครอบครัวกับที่บ้าน หนุ่ม ๆ บ้านฉันขี้หวงมากเลยนะ ตอนไปน่ะไปเองแต่ตอนกลับพี่ ๆ จะขับรถตามมาส่ง เสียเวลาย้อนไปย้อนมาไม่น้อยเลยเหมือนกัน แต่เพราะเข้าใจว่าเป็นห่วงเลยไม่ได้เอ่ยห้ามหากยังอยู่ในจุดที่ไม่เกินความพอดี หมายถึงตอนนั้นน่ะ เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะเกินความพอดีแล้ว
“แกเข้าจังหวัดวันไหนนะ” แนนนี่ถามอีกครั้งหลังจากที่ฉันมัวแต่ก้มหน้าตอบข้อความของพี่ชาย
“มะรืนมั้ง เดี๋ยวต้องดูอีกที จะฝากซื้ออะไรล่ะ?”
“ใจดีจังเลยน้า เดี๋ยวจะเขียนให้นะ ของที่ร้านนี่แหละ ช่วงนี้ฉันไม่ได้เข้าไปในจังหวัดเลย”
“โอเคจ้า จดมาเลย ๆ เดี๋ยวซื้อเข้ามาตุนให้”
มื้อเที่ยงของวันฉันนั่งกินข้าวพร้อมกับสองเพื่อนซี้ เสร็จแล้วก็นั่งคุยงานกันต่อเกี่ยวกับผลประกอบการของร้านตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านนี้เปิดได้นานเท่า ๆ กับที่พวกเราสามคนย้ายกลับมา ตอนนั้นก็วิ่งวุ่นจ้างทีมช่างให้เข้ามาออกแบบ และไฟเขียวให้ก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างไว้รอเลย เมื่อถึงเวลาก็ดีลอุปกรณ์ทั้งหมดมาลง ถึงประหยัดเวลาไปได้มากอยู่พอควร
“กำไรเยอะกว่าเดือนที่แล้วนะ แต่มีลูกค้าที่ต้องการให้ทำเดลิเวอรีมากขึ้นด้วยเหมือนกัน” ธิชาพึมพำเสียงเบาหลังจากที่นั่งตรวจยอดบัญชีของร้าน ส่วนฉันทำเพียงตรวจดูยอดรายรับรายจ่ายคร่าวๆ ด้วยความที่ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมอะไรมากนัก อีกอย่างหุ้นส่วนใหญ่คือแนนนี่ ส่วนฉันและธิชาถือคนละยี่สิบเปอร์เซ็นต์พอกรุบกริบ แต่เราก็ต้องมาประชุมคุยกันทุกเดือน อันที่จริงก็เกรงใจแนนนี่เหมือนกันนะที่ต้องดูแลร้านคนเดียวแบบนี้
“ใช่ ๆ แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่พักในเขตละแวกนี้ก็ไปส่งได้ไง ไกลสุดที่รับก็โรงแรมของไอ้อิง เพราะลูกค้าให้ค่าส่งเพิ่ม” แนนนี่เล่าให้ฟัง
“แล้วที่พักอื่น ๆ ล่ะ”
“มีสั่งตลอดเลยเหมือนกัน อ้อ แต่ส่วนใหญ่จะชอบสั่งพร้อมเค้ก นี่ก็คอยจัดของให้เด็กเอาไปส่ง”
“ยังไหวกันอยู่ใช่ไหมอะ” ฉันเอ่ยถามแนนนี่ที่ทำงานหน้าร้านคนเดียวด้วยความเป็นห่วง
“สบายมาก ยังไหวๆ”
“โอเคๆ งั้นก็ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แล้วแก้วที่สั่งไปจะมาสั่งวันมะรืนใช่ไหม?” ฉันพยักหน้ารับรู้
“ใช่จ้า สั่งของไปหมดแล้วแหละ เดี๋ยวเขาเอามาส่งให้”
“จบ เดือนนี้ทุกคนทำได้ดีมาก” ฉันพูดติดตลกเป็นการให้กำลังใจทุกคน
“เฮ้อ เหมือนฝันเลยเนอะ ได้กลับมาอยู่บ้านแบบนี้ถูกใจขนาด” ธิชาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไปกับตาเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา
“ถ้าไม่มีไอ้พี่บ้านั่น!”
“อ้าว อะไร อารมณ์เปลี่ยนปุบปับ” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ มือก็ยื่นไปหยิบแก้วกาแฟมาดื่ม
“ก็ลูกเจ้าของโรงสีน่ะสิ กวนประสาทที่สุด เจอหน้าก็อยากจะด่าแล้ว”
“โธ่เอ๊ย ใจเย็น ๆ ก่อน แกก็อย่าเพิ่งไปด่าพี่เขา” แนนนี่รีบเอ่ยห้ามแต่ยังหัวเราะกับท่าทีของเพื่อนอยู่เช่นเดิม ฉันหัวเราะเบา ๆ เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกที่เพื่อนสนิทแสดงท่าทางหงุดหงิดแบบนี้ออกมา ปากบ่นแต่ก็ยอมให้เขาเข้าใกล้นะ
“กวนมากอะ นี่ก็หนีออกมาก่อน กวนประสาทที่สุดเลย”
“ด่าคืนเลย” ฉันสนับสนุนเพื่อนอย่างซุกซน ไม่ใช่ไม่รักเพื่อนนะ รักนี่แหละเลยอยากให้สู้บ้างไม่อยากให้ยอมโดนรังแก
“อื้อ ถ้ากวนประสาทอีกจะด่าคืนเลย” ธิชาตอบกลับมาด้วยท่าทางฮึดฮัด กอดอกอย่างหงุดหงิดใจ เราทั้งสามคนนั่งคุยกันไปสักพัก ก็ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้านในช่วงเวลาบ่ายสาม
“อิงฝากส่งกาแฟที่ไร่ สกุลจ้าวรักหน่อย”
“หือ? อ้อ ได้ ๆ เท่าไหร่จะโอนจ่ายให้ก่อน”
“ตามบิลเลยค่า สองร้อยเจ็ดสิบบาท” แนนนี่บอก ฉันจึงสแกนคิวอาร์โค้ดที่หน้าเคาน์เตอร์ตามจำนวนเงินที่ลูกค้าสั่ง
“ธิชาฉันกลับก่อนนะ” ก่อนกลับไม่ลืมเอ่ยบอกธิชาที่บ่นงึมงำกับตัวเองอยู่ดังเดิม เพิ่มเติมคือโทรศัพท์มีสายเรียกเข้ามาอยู่เนือง ๆ แต่พอเห็นชื่อเจ้าของเบอร์โทรก็กอดอกแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ไม่หยุดเลย
“โอเค อีกสักพักฉันก็จะกลับแล้วล่ะ” ธิชาหันกลับมามองฉันแล้วโบกมือให้ ฉันโบกมือลาเพื่อน ไม่ลืมหันกลับไปบอกแนนนี่อีกครั้ง
“ไปแล้วนะ ดูมันหน่อย วันนี้เหมือนจะหงุดหงิดผิดปกติ” บอกเพื่อนขำ ๆ และอดเอ่ยแซวธิชาไม่ได้
“ฉันว่านะ หนีไม่พ้นหรอก เขาแกล้งแล้วตามติดขนาดนี้น่ะ”
“ต้องลุ้นกันไปก่อน” ฉันหัวเราะเบา ๆ โบกมือลาเพื่อนและเดินถือแก้วเครื่องดื่มออกจากร้าน ขับรถไปตามเส้นทางที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาได้เต็มตา กระทั่งถึงจุดยูเทิร์นรถฉันเลี้ยวรถกลับและขับมาอีกสองร้อยเมตรก็มีป้ายบอกทางเข้าไร่ จึงขับเข้าไปตามจุดที่เพื่อนบอก ระหว่างนี้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หาลูกค้าเพราะฉันไม่รู้ว่าต้องไปส่งจุดไหนของไร่
สายแรกลูกค้ายังไม่รับ ฉันจึงชะลอรถแล้วหยุดที่ริมถนน นับว่าดีมาก ๆ ที่ทางเข้าไร่แห่งนี้เป็นถนนคอนกรีตแต่รอบข้างทั้งซ้ายและขวาดันเป็นสวนผลไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา และทางฝั่งขวามือเป็นนาข้าวเขียวขจีขนาดย่อม