“อาไม่ได้เทิดทูนพรหมจรรย์ขนาดนั้น”
“แสดงว่าอาณัฐก็เสียตัวแล้วสิคะ”
เด็กสาวถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ใช่เรื่องที่เด็กควรรู้” เขาจิ้มหน้าผากเธอ
“แบบนี้ทุกที ไม่ใช่เรื่องที่เด็กควรรู้ ผู้ใหญ่น่ะไม่ดี ชอบปิดบังซ่อนเร้น ไม่อยากให้รับรู้ แล้วไงคะ เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นท้องกันเต็มบ้านเต็มเมือง”
“ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็อย่าไปทำ ว่าคนอื่น เอาตัวเองให้รอดก่อน”
“หนูดีเอาตัวเองรอดอยู่แล้ว ในห้องเรียนยังไม่มีใครกล้าหือกับหนูดีเลย หนูดีเป็นหัวหน้าแก๊ง เอ๊ย! หมายถึงหัวหน้าห้อง”
“แสบน่าดูนะเรา ใครเป็นครูประจำชั้นคงปวดหัว”
“ไม่เลยค่า หนูดีเป็นที่รักของคุณครูทุกคน”
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณพ่อกับคุณแม่แย่งกันบริจาคเงินให้โรงเรียนทุกปี”
“อ้อ... เข้าใจแล้ว”
“บางทีคุณพ่อกับคุณแม่ก็เลี้ยงลูกด้วยเงิน”
“ไม่เลี้ยงด้วยเงินจะให้กินแกลบหรือไง เดี๋ยวนี้ต้องใช้เงินกันทั้งนั้น”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
เธอนั่งขัดสมาธิกอดอก ปากยื่น หน้าตูม มองเขาเขม็ง
“แล้วยังไง”
ณัฐเสียงอ่อย ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรผิดไป
“อาณัฐไม่เคยมีลูกไม่เข้าใจหรอกค่ะ”
“อ้าว... แล้วเราเคยมีลูกกับเค้ารึไง”
“ไม่เคยมีค่ะ แต่ในฐานะลูกคนหนึ่ง ก็ต้องการความรักจากพ่อแม่ อาณัฐไม่ต้องการเหรอคะ ความรักจากพ่อแม่น่ะ”
“มันก็ใช่นะ แต่บางทีเขาก็ทำงานยุ่ง เลยไม่มีเวลาให้เรา”
“ไม่จริงค่ะ หนูดีเถียงใจขาดดิ้นเลย”
เธอหยิบหมอนอีกใบมาตบๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกอดอก ท่าทีขึงขัง ณัฐเหล่มอง ยัยเด็กบ๊องนี่จะเอาจริงเหรอ แต่เขาง่วงเกินกว่าจะไล่เธอออกไปจากห้อง
“พ่อแม่บางคนเขาก็มีเวลาให้ลูกนะคะ ถึงจะทำงานหนักขนาดไหน เงินมันสำคัญกว่าครอบครัวหรือไง”
“งั้นก็บอกพ่อแม่ว่าให้ทำงานน้อยลง มีเวลาให้เราเยอะขึ้น พูดไปตรงๆ เลย ท่านอาจจะเข้าใจ ถ้าเราไม่พูดเขาก็อาจจะไม่เข้าใจ”
“โอ๊ย! เขาไม่มีเวลาให้หรอกค่ะ คุณพ่อของหนูดีน่ะวันๆ ส่องแต่เด็กสาวเอ๊าะๆ ส่วนคุณแม่ก็กินเด็กเป็นยาอายุวัฒนะ”
“แค่กๆๆๆ”
ณัฐสำลักน้ำลายตัวเอง นุดีพูดตรงจนเขาอึ้ง แต่เธอคงอัดอั้นตันใจเอามากๆ เลยหาทางระบาย และเขาก็ซวยต้องมานอนฟังเธอบ่น
“พ่อแม่เราไม่ได้รักกันหรือไง แยกทางกันแบบนั้นใช่ไหม” เขาถามตรงๆ ดูแล้วถึงเธอจะเศร้าแต่เป็นคนตรงไปตรงมา ยอมรับความจริง
“ไม่รักกันค่ะ แต่อดีตเคยรักกันหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้จริงๆ แต่ไงก็ทำให้หนูดีเกิดมาแล้ว น่าจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ ไม่ใช่ทำให้เกิดมาแล้วมาทิ้งๆ ขว้างๆ รู้งี้ให้ตายๆ ไปซะตั้งแต่อยู่ในท้องก็ดี”
“แม่เราก็คงรักเรานะ ไม่งั้นไม่อุ้มท้องเรามาตั้งเก้าเดือนหรอก”
“พ่อบอกว่าแม่จะจับพ่อเลยทนอุ้มท้องและคลอดออกมาเพื่อพิสูจน์ดีเอ็นดี พ่อเลยต้องยอมแต่งงานด้วย”
“ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า แต่เขาว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย”
“นั่นน่ะสิคะ”
คนเล่าถอนใจเฮือกใหญ่
“แล้วเราเรียนที่ไหนล่ะ”
“ก็เรียนที่...”
เธอบอกโรงเรียนให้เขารับรู้
“โรงเรียนดังซะด้วย”
“เหลือเทอมสุดท้ายแล้วค่ะ ใกล้จะเรียนจบแล้ว”
“คิดจะเรียนอะไรต่อล่ะ”
“อยากเป็นเชฟค่ะ อยากทำอาหาร”
“รู้ไหมว่าทำอาหารมันเหนื่อย การเป็นเชฟไม่ใช่ง่ายๆ นะ”
“หนูดีอยากเป็นค่ะ อยากเรียนด้วย”
“คุยกับพ่อแม่บ้างหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“ทำไมไม่คุยล่ะ บอกความต้องการของเราให้ท่านรับรู้ ที่บ้านรวยไม่ใช่เหรอ เขาคงส่งเสียได้หรอก”
“พ่อมัวแต่กกอีหนู แม่ก็มัวแต่กกเด็กหนุ่มๆ จะมีเวลาที่ไหนมาฟังหนูดีคะ พอเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันยกใหญ่
“อยากให้ช่วยอะไรไหม”
“ถ้ามีก็จะบอกนะคะ ขอบคุณมากที่ให้ที่นอนในคืนนี้ นอนคนเดียวทั้งเหงาทั้งเศร้า บางทีก็กลัว”
“เราอยู่มาตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอบ้านหลังนี้ กลัวอะไรอีกล่ะ”
“ที่ไหนกันล่ะคะ เพิ่งย้ายมาอยู่ก่อนคุณอาณัฐไม่กี่เดือนเอง”
เธอเห็นหรอกว่าณัฐก็เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ เขาเป็นเพื่อนบ้านที่เธอไม่เคยคุยด้วยเลย แต่วันนั้นไม่รู้จะทำยังไง พ่อแม่ทะเลาะกันก็เลยปีนมาบ้านเขา เจอเข้ากับเจ้าดุ๊กดิ๊ก กลัวมันกัดแทบแย่ แต่มันไม่กัดเธอแฮะ
เธอเลยเข้าใจว่าเจ้าของบ้านคงใจดี เขาว่าสุนัขถูกเลี้ยงมาเป็นยังไง เจ้าของก็เป็นแบบนั้น ใช่ว่าสุนัขพันธุ์ดุ จะดุทุกตัวเสียเมื่อไหร่ สุนัขบางตัวยังรักเด็ก ช่วยเลี้ยงเด็กเลย
“แอบปีนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว”
“ก็เป็นเดือนแล้วค่ะ พ่อกับแม่ทะเลาะกัน หนูดีไม่อยากฟัง เลยหนีมาอยู่ที่นี่”
“รู้ไหมปีนรั้วบ้านคนอื่นแบบนั้น ตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง”
“เรื่องปีนไม่กลัวค่ะ เพราะมาทางต้นมะม่วง ตอนแรกกลัวเจ้าดุ๊กดิ๊กมาก แต่มันไม่ยักกะกัด”
“มันไม่ได้โดนเลี้ยงมาให้กัดสักหน่อย”
“ก็เลยคิดว่าเจ้าของเจ้าดุ๊กดิ๊กคงใจดี”
เธอยิ้มแป้น ตะแคงหน้ามามองเขา ณัฐเผลอเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของเธอ ก่อนจะดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ตกลงหมาของอาเปลี่ยนชื่อแล้วสิ แล้วทำไมเรียกมันว่าเจ้าดุ๊กดิ๊กล่ะ”
“ก็เห็นมันซนน่ะค่ะ ขี้อ้อนด้วย เลยเรียกว่าเจ้าดุ๊กดิ๊ก”
“ชื่อแปลก”
“อาณัฐเป็นเชฟอยู่ที่ไหนคะ” เธอถามเรื่องที่สนใจ
“ก็โรงแรมไม่ใหญ่นักหรอก เป็นลูกจ้างเขา”
“ไม่คิดจะออกมาเปิดร้านอาหารบ้างเหรอคะ”
“ไม่ดีกว่า”
“ทำอาหารอร่อยแบบอาณัฐ เป็นเจ้าของธุรกิจสิคะดี จะได้รวยเร็ว”
“รู้ไหมว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือทำอะไรเองน่ะมันเหนื่อยนะ”
“เหนื่อยแต่ก็คุ้มไม่ใช่เหรอคะ”
“อาอาจจะไม่อยากรวยก็ได้”
“แต่ดูแล้วอาณัฐก็รวยนะคะ”
“รู้ได้ไง”
“อามีบ้านมีรถและของใช้ในบ้านก็แพงๆ ทั้งนั้น”
“ของนอกกาย ไปกู้หนี้ยืมสินมาก็ได้”
“จริงนะคะ คนเดี๋ยวนี้มีแต่เปลือกเยอะแยะไป ชอบอวดร่ำอวดรวยดูดี แต่จริงๆ มีแต่หนี้”
“เรานี่พูดเหมือนคนแก่ อายุก็ยังไม่เยอะ”
“ดูจากคนรอบข้างน่ะค่ะ คนรวยจริงๆ เขาไม่โม้กันหรอกค่ะ”
“คนรวยขี้โม้ก็มีนะ”
“แต่หนูว่าอาณัฐคงไม่ได้ติดหนี้หรอกค่ะ”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็อาณัฐไม่เหมือนคนเป็นหนี้”
“แล้วคนเป็นหนี้เขาเป็นยังไงกันล่ะ”
“นอกบ้านหน้าชื่นตาบาน กลับบ้านมาหน้าเหี่ยวหน้าแห้ง กินข้าวกับไข่ต้ม คิกๆ”
“เออ... นะ เพิ่งรู้ว่าคนเป็นหนี้ชอบกินข้าวกับไข่ต้ม”
ณัฐไม่รู้สักนิดว่าเขานอนคุยกับเธอนานแค่ไหน แต่เขาหลับไปพร้อมๆ กับเธอหลังจากนั้นไม่นาน
ณัฐปรือตาตื่นเพราะรู้สึกว่ามีอะไรมากอดก่ายเขาเอาไว้เหมือนลูกลิง
เขากะพริบตาปริบๆ ตกใจไม่น้อย แต่พอตั้งสติก็นึกได้ว่าคนที่นอนกอดก่ายเขาเหมือนหมอนข้างคือใคร
เขามองคนในอ้อมแขนตาไม่กะพริบ เด็กสาวที่ปีนรั้วเข้ามาบ้านเขา และมาขอนอนด้วย เมื่อคืนเขากับเธอคุยกันจนเผลอหลับไปทั้งคู่
ใบหน้าของเธอขาวผ่อง แก้มแดงระเรื่อเป็นสีชมพู ริมฝีปากอวบอิ่ม ใบหน้าเป็นรูปหัวใจรับกับเส้นผมหยักศกสีดำสนิท สัมผัสแล้วนุ่มมืออย่างที่สุด
กลิ่นหอมประจำกายของเธอทำให้เขาเผลอสูดดม เป็นกลิ่นสาบสาวที่แสนบริสุทธิ์ ท่าจะอาการหนักนะเรา
เขาเตือนสติตัวเอง แต่โนมเนื้ออวบอูมของหน้าอกหน้าใจดันมาเบียดอยู่กับเรือนร่างของเขานี่สิ
ณัฐก้มลงไปดูใกล้ๆ อยากจะจุ๊บเธอสักทีเพราะอดใจไม่ไหว แต่จู่ๆ ยัยเด็กแสบก็ลืมตาขึ้นมา
“โอ๊ย!”
ณัฐตกใจกลิ้งตกจากเตียงในทันที คนบนเตียงสลึมสลือยังงุนงงขณะชะโงกมาดูร่างสูงที่ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างเตียง
“อาณัฐลงไปทำอะไรตรงนั้นคะ”
“เราน่ะสิ เตะอาตกเตียง”
“หนูดีนี่นะ เตะอาณัฐตกเตียง”
เธอทำหน้าไม่เชื่อ ในขณะที่เขากุมสะโพกยืนขึ้นเต็มความสูงอยู่ข้างเตียง มองเด็กสาวหัวยุ่งแต่หน้าตาใสกิ๊กแล้วใจแกว่งอย่างบอกไม่ถูก
“กลับห้องไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เดี๋ยวจะได้ลงไปหาอะไรกินกัน”