บทที่ 2
ฉันคือเซี่ยเจียวหง
ร่างอ้วนท้วนนอนอยู่บนเตียงกลับลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีหลังจากนางหลิงมู่เดินจากไป
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันตายไปแล้วนี่ แล้วป้าและเด็กทั้งสองคนเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน”
เธอพึมพำออกมา ในเมื่อภารกิจจบสิ้นแล้ว เธอเองก็ตายไปพร้อมกับเป้าหมาย ทำไมเธอยังมีชีวิตล่ะ แต่แล้วอยู่ ๆ ภาพทุกอย่างในความทรงจำฉายชัดขึ้นมาในหัวยิ่งกว่าภาพยนตร์ ทำให้เธอปวดหัวแทบจะระเบิด
“ร่างนี้ชื่อว่าเจียวหงแซ่เซี่ย แต่งงานแล้ว มีลูกสองคนวัยสี่ขวบ ส่วนสามีไปทำงานต่างเมือง บ้านหลังนี้จึงอยู่กันเพียงสี่คนเท่านั้น”
หลังจากที่ทบทวนความทรงจำของร่างทั้งหมด เธอกลับหมดสติไปอีกครั้ง กว่าจะฟื้นขึ้นมาก็ฟ้าเกือบสว่าง
ซืออี้ฝานและซืออี้เจินสองพี่น้องหลังจากที่ตื่นและเก็บที่นอนเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองวิ่งเข้ามาที่ห้องของแม่ทันที เพื่อดูว่าแม่ฟื้นหรือยัง เพราะเมื่อวานหลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ทั้งสองยังคงมาเฝ้าแม่ของตัวเองไม่ห่าง จนย่ามาพาไปนอน
แต่พอเปิดประตูขึ้นมาจึงเห็นร่างของแม่นั่งอยู่บนเตียง พร้อมกับมองมาที่เขาและน้องสาว ทำให้ความกลัวแม่ของทั้งสองคนตื่นตัวอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นเซี่ยเจียวหงกวักมือเรียกทั้งสองคนเข้ามาหาแทน
“อาฝาน เจินเจิน ไม่ต้องกลัว เข้ามาหาแม่สิ”
รอยยิ้มของเซี่ยเจียวหงครั้งนี้ทำให้เด็กน้อยทั้งสองคนคลายความกลัวลง แต่ยังมีความลังเลที่จะเดินเข้ามาหาแม่ที่ดูจะเปลี่ยนไปหลังจากฟื้นขึ้นมา
“แม่จะไม่ตีผมกับน้องใช่ไหม”
ซืออี้ฝานถามย้ำอีกครั้งตามประสา เด็กน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของตน หลังจากที่แม่ฟื้นลักษณะและท่าทางของแม่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แถมยังยิ้มให้เขาและน้องอีกด้วย
“แม่สัญญาว่าหลังจากนี้แม่จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แม่จะไม่ตีอาฝานและเจินเจินอีกแล้ว ลูกทั้งสองคนให้อภัยแม่คนนี้ได้ไหม”
เซี่ยเจียวหงอ้าแขนทั้งสองข้างออกแม้จะไม่พอใจที่ร่างกายของตนอ้วนจนเคลื่อนกายลำบาก แต่ก็พยายามจะอ้าแขนเพื่อให้ลูกทั้งสองเข้ามาหา
ซืออี้ฝานและซืออี้เจินเห็นรอยยิ้มของแม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม เด็กน้อยทั้งสองคนจึงน้ำตาซึมก่อนจะโถมตัวเข้ากอดแม่อย่างไม่คิดอะไรอีกแล้ว ทั้งสองคนแม้จะอายุไม่มาก แต่ก็โหยหาความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่ตลอดมา
พ่อเฉิงซานไม่ต้องพูดถึง ทั้งสองคนแทบจะจำหน้าไม่ได้ เพราะย่าบอกว่าพ่อไปทำงานหาเงินเพื่อส่งมาให้เขากับน้อง แต่แม่ที่อยู่ด้วยกัน กลับไม่เคยให้ความรักและความอบอุ่นกับเขาและน้องเลย ซืออี้ฝานและซืออี้เจินไม่ลังเลอีกแล้วที่จะเข้าหาแม่ของตัวเอง
“ฮือ ๆ ๆ แม่ครับ / แม่คะ” สองแฝดเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ ต่อไปนี้แม่สัญญาว่าจะดูแลลูกทั้งสองคนอย่างดี และย่าของลูกด้วย แม่จะไม่ทำร้ายคนในครอบครัวของเราอีกแล้ว”
เซี่ยเจียวหงปลอบลูกน้อยทั้งสองคนทั้งน้ำตาเช่นกัน นางหลิงมู่แอบยืนมองภาพนี้หน้าห้องทั้งน้ำตา ในใจนั้นหวังว่าลูกสะใภ้ของเธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง ๆ ก่อนจะคิดถึงลูกชายที่ขาดการติดต่อไปร่วมปีด้วยความห่วงหาและเป็นห่วงจับใจเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเฉิงซานลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ
“ย่าว่าเราไปกินอาหารกันดีกว่า ให้แม่ของหลานพักผ่อนก่อน เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา เดี๋ยวจะไข้กลับอีก”
นางหลิงมู่เอ่ยขึ้นมา เธอไม่อยากให้หลานทั้งสองคนร้องไห้มากนัก อีกทั้งลูกสะใภ้เองก็เพิ่งฟื้น เดี๋ยวจะไม่สบายเปล่า ๆ
“ครับย่า/ค่ะย่า”
ทั้งสองคนเชื่อฟังอย่างว่าง่าย แต่สายตายังมองไปที่แม่ของตน จนเซี่ยเจียวหงต้องพยักหน้าให้ เมื่อลูกทั้งสองคนเดินจากไป เธอจึงหันมาพูดกับแม่สามีด้วยท่าทางที่จริงจัง
“แม่คะ ที่ผ่านมาฉันขอโทษที่ทำไม่ดีในทุก ๆ เรื่อง แต่หลังจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว ครอบครัวเราขาดพี่เฉิงซานไปหนึ่งคน ฉันเองก็ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ปีหน้าอาฝานกับเจินเจินต้องเข้าเรียนในชั้นเด็กเล็ก ฉันต้องหาเงินให้ได้มากที่สุด”
“เธอพูดจริงเหรอ ว่าจะดูแลลูกทั้งสองคนอย่างดี”
นางหลิงมู่แทบไม่อยากจะเชื่อ แต่เธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เมื่อมองไปทางแววตาของลูกสะใภ้ แม้ว่าหน้าตาและรูปร่างจะยังเหมือนเดิม แต่แววตานั้นบอกเธอว่าไม่ใช่ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อคิดว่าตัวเองคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จึงสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อเอาความคิดนั้นออกไปจากหัว
เซี่ยเจียวหงเหมือนจะอ่านความคิดของแม่สามีออก หญิงสาวจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะบอกให้แม่สามีไปดูหลานทั้งสองคน ส่วนเธอขอเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวสักหน่อย แล้วจะรีบตามออกไป
นางหลิงมู่พยักหน้ารับแล้วเดินจากไปอีกคน แต่ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับอ่างใส่น้ำใบเล็กเพื่อให้ลูกสะใภ้ได้เช็ดตัวก่อนจะเดินไปหาหลานอีกครั้ง
“ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรนะเจียวหง ในเมื่อมีแม่สามีที่แสนดีขนาดนี้ แต่ยังกลับไปให้บ้านเดิมของตัวเองหลอกจนแทบจะหมดตัว ในเมื่อฉันมาอยู่ร่างนี้ ทุกคนที่นี่ฉันจะดูแลและฉันจะเป็นเซี่ยเจียวหงเอง” เซี่ยเจียวหงพูดไปกับสายลม
หลังจากที่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อใหม่เรียบร้อย เซี่ยเจียวหงจึงเดินออกมาสำรวจบ้าน แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เธอปวดใจ บ้านนี้มีแค่สองห้องเท่านั้น ซึ่งก็คือห้องที่เธออยู่ และห้องของแม่สามี ส่วนสภาพบ้านไม่ต้องพูดถึง จะพังแหล่มิพังแหล่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าหน้าหนาวที่ผ่านมาอยู่มาได้อย่างไร แม้ว่าตอนนี้หิมะจะหยุดตกไปแล้วก็ตามแต่อากาศยังคนเย็นอยู่
พอเห็นอาหารที่แม่สามีและลูกทั้งสองคนกิน มีเพียงข้าวต้มที่เห็นน้ำมากกว่าเม็ดข้าว กับแตงกวาดองโดยไม่มีไข่หรือว่าเนื้อเลยสักนิดเดียว “มิน่าล่ะร่างกายทั้งสามคนจึงผอมแบบนี้”
ต่อให้ไม่อยากกินแค่ไหน แต่มื้อนี้ก็ต้องกินไปก่อน เธอเชื่อว่าความสามารถที่เธอมีน่าจะเข้าป่าล่าสัตว์ได้บ้าง โดยที่เซี่ยเจียวหงไม่รู้เลยว่าร่างกายนี้ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอยู่กลับแข็งแรงขึ้นจนน่าตกใจ ต่อให้ล้มผู้ชายสิบคนพร้อมกัน เธอก็สามารถทำได้อย่างสบาย
“แม่รู้ไหม ถ้าเราจะสร้างบ้านสักหลัง เราต้องใช้เงินเท่าไร” เซี่ยเจียวหงถามขณะเก็บถ้วยชามไปล้าง
นางหลิงมู่เหลือบมองลูกสะใภ้อย่างไม่เข้าใจ อย่าหวังว่าจะสร้างบ้านเลย แค่ซ่อมแซมเธอยังไม่มีปัญญาแต่ก็ยังตอบลูกสะใภ้ให้หายข้องใจ
“ถ้าบ้านหลังเล็กไม่ใหญ่ประมาณสองถึงสามห้องนอนห้าร้อยหยวนก็น่าจะพอ แต่ขึ้นอยู่กับแบบบ้านนะ ส่วนถ้าต้องการหลังใหญ่กว่านั้นคงต้องไปสอบถามร้านที่เขารับเหมาดู แต่แม่คิดว่าน่าจะอยู่ที่พันหยวนเป็นอย่างต่ำ”
“ที่ข้างบ้านนี่เป็นของหรือปล่าคะแม่”
เซี่ยเจียวหงยังคงถามต่อ ความคิดเธอตอนนี้นอกจากหาเงินมาซื้อของเข้าบ้าน แต่ความต้องการหลักคือสร้างบ้านหลังนี้ก่อน เธอกลัวว่าหากวันไหนเกิดฝนตกพายุเข้าบ้านจะโดนพัดไปกับลมจนไม่มีที่ซุกหัวนอน
“อืม ที่ข้างบ้านเป็นของแม่เอง ตอนนั้นพ่อของเฉิงซานซื้อไว้แต่ไม่นานพ่อของเฉิงซานก็จากไป”
เมื่อพูดถึงสามีอันเป็นที่รัก นางหลิงมู่จึงปาดน้ำตาที่ซึมออกมา
“แม่รอนี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”
เซี่ยเจียวหงเดินกลับห้องเพื่อไปหยิบเงินที่สามีเคยส่งมาให้ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องและยื่นเงิน จำนวนหนึ่งให้แม่สามี
“แม่นำเงินนี้ไปซื้อข้าวและไข่ไก่มานะ รวมถึงของในบ้านที่หมด”
นางหลิงมู่ยื่นมือมารับแต่ยังมองลูกสะใภ้อย่างไม่เชื่อสายตา
“แม่ไปซื้อจะง่ายกว่าที่ฉันไปซื้อ แม่ก็รู้ว่าคนในหมู่บ้านไม่ชอบฉัน และฉันเมื่อก่อนร้ายแค่ไหนแม่น่าจะรู้ แม่ซื้อมาให้พอกินก่อนนะ ฉันจะหาวิธีหาเงินเพื่อจะไปซื้อของมาตุนจากตำบลวันหลังเอง”
“แล้วอาหงจะหาเงินจากไหน”
“ฉันจะลองเข้าป่าดูค่ะ เผื่อว่าจะได้สัตว์ป่ามาบ้าง อย่างน้อยพวกหน่อไม้หรือมันป่าน่าจะมี” เก็บเล็กผสมน้อยก็คงจะขายได้เงินมาบ้าง