บทที่ 12 เรื่องราวของบ้านเฉินสายหลัก

2579 คำ
บทที่ 12 เรื่องราวของบ้านเฉินสายหลัก เช้าวันต่อมา… ฉันลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วทำการแช่เสื้อผ้าไว้ซัก ระหว่างรอนั้นก็เอาเงินออกมานับ เมื่อวานเธอขายนาฬิกา ผ้าห่ม สบู่ เนื้อและผัก ได้เงินมา 1363 หยวน เห็นจำนวนเงินแล้วเธอก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย เพราะเงินแค่ไม่กี่หยวนที่มีติดบ้านก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้ฉันอุ่นใจเลย ตอนนี้ฉันมีเงินขายของรวมกับเงินเดิมอีก 153 หยวน รวมเป็น 1516 หยวน เงินจำนวนนี้ทำให้ฉันเป็นเศรษฐีได้เลยนะในยุคนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเงินสิบกว่าล้านในชีวิตอนาคตเอามาใช้ที่นี่ได้ เหอะๆ “แม่” เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นทำให้ฉันหันไปมอง เห็นลูกสาวสุดน่ารักยืนทำตาแป๋วอยู่หน้าประตูห้อง ผมยาวๆ นั้นฟูเล็กน้อย แต่ฉันมองแล้วก็คิดว่าวันนี้จะตัดผมให้ลูกสาวสักหน่อย “ตื่นแล้วเหรอ” ฉันยิ้มแล้วเดินไปอุ้มเด็กตาแป๋วขึ้นแล้วหอมแก้มเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความรัก ฟอดด… “คิกคิก ตื่นแล้ว” ลี่เหมยหัวเราะคิกคักอย่างสุขใจ เมื่อถูกแม่หอมแก้ม เพราะหลายวันมานี้แม่เปลี่ยนไปมาก จากที่ใจร้ายเหมือนนางยักษ์ แปรเปลี่ยนเป็นนางฟ้าแสนใจดี ซึ่งหนูน้อยก็กอดคอซบหน้าลงไหล่แม่อย่างออดอ้อน “ขี้อ้อนจริง” เห็นท่าทางขี้อ้อนของลูกสาว ฉันก็ใจอ่อนยวบ นี่หลินซูมี่คนก่อนทำไมใจร้ายกับลูกจัง แต่สำหรับหลินซูมี่คนนี้กลับตกหลุมรักลูกสาวตัวเองเข้าแล้ว ฉันเดินจูงมือลูกสาวไปดูลูกชายว่าตื่นหรือยัง เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกลมตัวน้อยยังหลับอุตุอยู่ท่ามกลางกองผ้าห่มเธอก็ยิ้ม จากนั้นฉันก็พาลูกสาวไปล้างหน้าแปรงฟัน พอล้างหน้าให้ลูกสาวแล้ว ฉันก็เอายาสีฟันสำหรับเด็กมาบีบใส่แปรง โดยมีสายตาตื่นเต้นจากเด็กน้อยที่มองตามมือแม่ที่เห็นอะไรแปลกๆ ไหนจะกลิ่นหอมของสีขาวนั่นอีก ฉันยิ้ม แล้วนั่งลงตรงหน้าลูกสาว บอกแกให้อ้าปากพร้อมกับสอนเด็กน้อยแปรงฟันอย่างถูกวิธี “กินไม่ได้นะลี่เหมย” ฉันพูดขึ้นเสียงดุ เมื่อเห็นเด็กน้อยทำตาโตขณะที่กำลังแปรงฟัน ฉันรู้ได้ทันทีว่าเพราะอะไร ก็นะ ยาสีฟันเด็กในชีวิตก่อนของเธอมันหอมและมีรสชาติหวานซะขนาดนั้น “กินไม่ได้เหรอ” พอได้ยินว่ากินไม่ได้ ลี่เหมยก็ทำหน้าเศร้า กลิ่นหอมหวานในปากนี่มันกินไม่ได้จริงๆ เหรอ “ใช่ ยาสีฟัน เอาไว้ใช้ทำความสะอาด กินไม่ได้ เอาไว้แม่จะเอาขนมให้กินนะ แต่ยาสีฟันนี่กินไม่ได้จริงๆ” ฉันหยิบหลอดยาสีฟันขึ้นมาอธิบายให้ลูกน้อยฟัง ลี่เหมยก็มองตามอย่างแสนเสียดาย “ค่ะ” แต่พอได้ยินว่าแม่จะเอาขนมให้กิน เด็กน้อยก็ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับรู้อย่างว่าง่าย นั่นทำให้ฉันหลงลูกเข้าไปอีก น่ารัก เด็กดีว่าง่ายขนาดนี้ หลินซูมี่คนก่อนทำไมใจร้ายกับลูกได้ลงคออย่างนี้นะ พอพาลูกทำธุระเสร็จแล้ว ฉันก็พาลูกสาวเข้ามาหาลูกชายที่ยังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เนื่องจากเด็กน้อยเพิ่งตื่นมากินนมกลางดึกก่อนรุ่งเช้าได้ไม่นาน จึงทำให้ยังอิ่มแล้วหลับสบายอยู่ “แม่จะไปทำอาหาร ลี่เหมยดูน้องได้ไหมเอ่ย” ฉันวางลี่เหมยลงข้างน้องชาย แล้วบอกเสียงหวาน “ได้ค่ะ” ลี่เหมยพยักหน้ารับแล้วยิ้มกว้างให้แม่ “คนเก่งของแม่ เดี๋ยวแม่รีบกลับนะ” ฉันยิ้มให้ลูกสาวแล้วก้มลงหอมแก้มกลมๆ ของลูกชายแล้วไม่ลืมหอมหัวของลูกสาว ฉันตัดใจจากลูกๆ ที่แสนจะน่ารักแล้วเดินออกมาจากห้อง หยิบไข่ออกมาประมาณ 1 ชั่ง และเข้าไปตักข้าวใส่ถุงกระดาษ วันนี้ฉันตั้งใจจะทำข้าวผัดไข่ให้ลูกๆ ทั้งสองกิน ฉันอยากจะหัดให้ลูกชายเคี้ยวข้าวด้วย ส่วนของฉันก็กินกับลูกสาว แล้วก็ทำผัดผักบุ้งอีกจาน พอจัดเตรียมของเสร็จแล้วหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะ 7 โมงเช้า เวลาทำงานของคอมมูนคือ 8 โมงถึง 5 โมงเย็น เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เก็บเกี่ยว ยังไม่มีอะไรให้ทำมากมาย ฉันเดินออกมาจากบ้าน ปิดประตูรั้วแล้วก็คิดว่าจะเอากุญแจแบบคล้องโซ่มาไว้ล็อคหน้าบ้านด้วย ส่วนในบ้านก็ต้องติดกลอนเพิ่ม ถึงแม้ว่าในหมู่บ้านจะไม่มีโจร แต่ฉันอยู่กับเด็กแค่สองคน ถ้าเกิดมีโจรขึ้นมาจริงๆ บ้านฉันก็คือเป้าหมายแรกแน่นอน… ในครัวบ้านเฉิน… ฉันเดินเข้ามาในครัวบ้านเฉิน ที่ต่อออกมาจากตัวบ้านใหญ่ ก็เห็นแม่เฉินกับสะใภ้สามกำลังทำอาหารช่วยกันอยู่ “อ้าวลูกสะใภ้รอง” แม่เฉินเอ่ยทักทาย “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่ วันนี้ลงครัวเองเลยเหรอคะ” ฉันทักทายแม่เฉิน แล้วยิ้มให้สะใภ้สาม “อื้ม วันนี้สะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยสบายน่ะ” แม่เฉินบอก “เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” ฉันถามเพราะเป็นห่วง “ก็แค่ไข้หวัดธรรมดานะ ไม่ได้เป็นไรมากหรอก แล้วนั่นถืออะไรมาเยอะแยะ” แม่เฉินเหลือบตามองตะกร้าใบใหญ่ที่มีผ้าปิดไว้จึงไม่เห็น “ของทำอาหารนะคะ” ฉันตอบแล้วหยิบเอาของออกมาให้แม่เฉินเห็น จะได้ไม่สงสัย ฉันคิดไว้แล้วว่าระหว่างที่มาทำอาหารที่บ้านใหญ่ ฉันคงจะไม่ได้ใช้เนื้อทำอาหารบ่อยนัก คิดแล้วก็ต้องรีบหาเตามาใช้แล้วล่ะ “อื้ม เดี๋ยวฉันจะเสร็จแล้วล่ะ” พอเห็นว่ามีแค่ไข่และผัก แม่เฉินก็วางใจ แม้ว่าไข่จะล้ำค่า แต่ก็ยังดีที่ลูกสะใภ้รองของนางไม่ซื้อเนื้อมาทำอาหารทุกมื้อ นางลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยสะใภ้รองก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยขนาดนั้น “ค่ะ” ฉันแอบมองแม่สามี ทีแอบดู คงจะแอบมองว่าวันนี้มีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีกไหม “วันนี้ตอนเย็นพวกฉันต้องไปบ้านหลักเฉิน ฉันว่าจะฝากหลานๆ ไว้กับเธอ สะดวกหรือเปล่า” ระหว่างที่กำลังหั่นผักบุ้งอยู่นั้นแม่เฉินก็พูดขึ้น “หื้ม ไปทำไมหรือคะ” ฉันขมวดคิ้วจนหน้าผากเป็นรอยหยักสงสัยจึงหันมองหน้าแม่เฉิน ในความทรงจำของฉันไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านสายหลักเลย รู้แค่ว่าบ้านสายหลักเฉินอยู่หมู่บ้านข้างๆ ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านที่พวกฉันอยู่ (ชื่อหมู่บ้านหนานถัง) “ก็ลูกชายลุงใหญ่ของหยางตงน่ะซิอยากไปทำงานที่ในเมือง” แม่เฉินบอกพร้อมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “แล้วเกี่ยวอะไรกับบ้านเราคะ” ฉันถามเพราะยิ่งสงสัย “ก็จะอะไรอีกละคะพี่สะใภ้รอง ก็บ้านเฉินสายหลักอยากให้บ้านสายรองออกค่าตำแหน่งลูกชายคนโตน่ะสิจ๊ะ ได้ยินว่าเขาอยากไปทำงานที่โรงงานผ้าที่มีคนขายตำแหน่งให้” แล้วก็เป็นสะใภ้สามโพล่งพูดขึ้น แล้วทำหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก “แต่บ้านเราแยกออกมาจากบ้านหลักแล้วนี่คะ” ฉันฟังแล้วหันไปพูดกับแม่เฉิน “ก็ใช่ แต่กับย่าของหยางตงเรายังต้องแสดงความกตัญญูอยู่นะ ครั้งนี้ลุงใหญ่ก็คงให้คุณแม่ออกหน้าพูดให้เหมือนเดิมนั่นแหละ” พอแม่เฉินอธิบายแล้วฉันก็ยิ่งไม่คุ้น แน่นอนเลยว่าหลินซูมี่คนก่อนไม่ได้รับรู้เรื่องราวนี้แม้แต่น้อย เธอรู้แค่ว่าบ้านเฉินต้องส่งอาหารไปให้บ้านสายหลักทุกปีก็เท่านั้น แต่เรื่องเงินเธอไม่รู้ว่าต้องส่งไหม แล้วไหนจะคำพูดของแม่สามีที่เหมือนจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนอีก “แสดงว่าเคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกเหรอคะ” “ก็ตอนที่ส่งลูกของบ้านหลักไปเรียนหนังสือนั่นแหละ แล้วก็ตอนหยางตงเข้าร่วมกองทัพ บ้านหลักอยากให้หยางตงสละตำแหน่งให้ลูกชายใหญ่ของลุงใหญ่ คนที่จะไปทำงานที่โรงงานผ้านี่แหละ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันคือความสามารถของหยางตง” แม่เฉินตอบแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นางเองก็จนใจ ทุกครั้งที่บ้านสายหลักเรียกร้องอะไร บ้านของนางและบ้านสามน้องชายของสามีก็ไม่สามารถขัดอะไรได้เลย มีแค่ครั้งเดียวที่ลูกชายคนรองของนางที่ต้องไปเข้ากองทัพนั่นแหละ ที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของบ้านใหญ่ได้ มีอย่างที่ไหนจะสลับตัวลูกชายนางกับลูกชายคนโตของบ้านหลัก แต่ดีที่ทำไม่ได้ เพราะการเข้ากองทัพก็ต้องฝึกฝนร่างกายและต้องผ่านการทดสอบเท่านั้น ซึ่งลูกชายนางผ่าน แต่ลูกชายบ้านนั้นไม่ผ่าน เขาเป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง นี่ก็คงเบื่อการลงนา เบื่อการทำงานที่คอมมูน จึงอยากจะไปทำงานในเมือง แต่ก็ไม่วายมาเดือดร้อนบ้านสายอื่น “หน้าไม่อาย” ฉันพึมพำไม่พอใจ “นั่นสิพี่สะใภ้รอง พวกเขาทำอย่างนี้ได้ หน้าไม่อาย เงิน ธัญพืช อาหารของคุณย่าเฉิน เราก็ส่งให้ทุกปี แต่ก็ยังอยากให้เราไปรับผิดชอบชีวิตคนบ้านนั้นด้วยอีก หน้าไม่อายจริงๆ” สะใภ้สามแม้จะไม่ชอบสะใภ้รองแต่นางก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ผลประโยชน์ของบ้านเฉินสายรองคือสิ่งที่คนในบ้านต้องรักษาช่วยกันสิ แม้บ้านรองจะแยกบ้านแล้ว แต่ก็ยังส่งเงินให้บ้านใหญ่ทุกเดือน สะใภ้รองก็คงไม่พอใจนักหรอกที่เงินของสามีจะถูกเอาไปให้บ้านหลักใช้ ส่วนฉันได้ยินสะใภ้สามพูดก็คิดว่าการแยกบ้านของบ้านเฉินทุกสายนั้นคงเป็นการแยกออกมาอยู่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ตัดขาด แต่ก็นะ ไม่เคยมีบ้านไหนตัดขาดกับบ้านเดิมได้หรอก ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันจนถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน ขนาดเธอคนก่อนทะเลาะกับแม่สามีเรื่องลี่เหมยจนพ่อสามีให้แยกบ้านออกมาก็ไม่ได้มีหนังสือตัดขาด มีแค่หนังสือแยกบ้านเพียงเท่านั้น “อย่าพูดเสียงดังไปสะใภ้สาม หล่อนน่ะก็เพลาๆ ลงบ้างเถอะ” แม่เฉินว่าขึ้นเมื่อได้ยินสะใภ้สามพูดเสียงดัง นางไม่ได้อยากให้คนอื่นได้ยิน เพราะกลัวคนจะว่าบ้านเฉินอกตัญญูกับบ้านหลัก “ฉันเห็นด้วยกับสะใภ้สามนะคะ พวกเขาไม่ควรทำแบบนี้ ทั้งที่เราก็กตัญญูกับคุณย่าทุกปี” ฉันพูดขึ้นบ้าง เพราะฉันเองก็ไม่ได้พอใจกับเรื่องนี้ แค่ส่งธัญพืชให้ทุกปีก็ทำให้บ้านเฉินรัดเข็มขัดกันแทบจะอดมื้อกินมื้อแล้วในช่วงฤดูหนาว ไหนจะเงินอีก บ้านเฉินมีรายได้ทางเดียวคือกับสามีของฉัน ในยุคนี้การค้าขายปิดกั้น รายได้ชาวบ้านในชนบทไม่ได้เยอะนักหรอก ต้องส่งธัญพืช ส่งเงินให้พวกเขาทุกปีก็ว่ามากแล้ว แต่นี่เวลาต้องการอะไรก็ต้องมาเดือดร้อนบ้านอื่นมันก็ไม่ใช่แล้ว ฉันไม่ได้เสียดายเงินที่ให้พ่อแม่สามีทุกเดือนหรอก แต่ฉันไม่พอใจที่พวกเขาไม่ได้ใช้ แต่ต้องเอาไปให้คนอื่นใช้มากกว่า แทนที่ลูกหลานจะได้อยู่ดีกินดี แต่บ้านหลักนั้นกลับมาปล้นเอาแล้วใช้เพียงคำว่ากตัญญูมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น “จะทำยังไงได้ล่ะ” แม่เฉินเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เพราะสามีของนางคือพี่น้องพวกเขา ไหนจะแม่สามีที่อยู่กับบ้านหลักอีก บ้านนางน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเงินที่หยางตงส่งมาก็พอมีเก็บ และเงินเก็บของนางกับสามีอีกไม่น้อยตอนที่แยกบ้านออกมา จะสงสารก็แต่บ้านน้องชายสามีที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับบ้านหลักนั่นแหละ เพราะนางและสามีกลัวว่าจะโดนเอาเปรียบจากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่จึงย้ายมาอยู่คนละหมู่บ้าน แต่น้องสามไม่ได้มีเงินเยอะจึงไปอยู่บ้านเก่าของคนที่ย้ายออกจากหมู่บ้านไปตั้งรกรากที่อื่น ตอนแยกบ้านออกมาพ่อสามีให้เงินแยกบ้านแค่คนละ 50 หยวนเท่านั้น แต่นางมีสินเดิมและสามีที่ล่าสัตว์เก่งอีก ช่วงนั้นไม่ได้เป็นช่วงยุคมืดเหมือนในช่วงนี้ที่ปิดกั้นการค้า ทำให้นางมีเงินเก็บเยอะ ส่วนบ้านสามก็ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเพราะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่กับบ้านนางนั้นพวกเขาไม่กล้ามาเอาเปรียบถึงนี่เพราะอยู่คนละหมู่บ้านและกลัวจะเสียชื่อเสียง เวลาต้องการอะไรก็ให้น้องชายสามของสามีมาเรียกไปที่บ้านหลักก็เท่านั้น นางเคยแอบคิดด้วยซ้ำว่าถ้าสิ้นแม่สามีแล้วจะบอกให้สามีตัดขาดจากบ้านเดิมจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบอีก แต่ก็ได้แค่คิด นางไม่ได้อยากแช่งแม่สามี และนางรู้ว่าสามีนางยืดมั่นกับคำว่ากตัญญูแค่ไหน เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนนางถึงจะลองพูดคุยกับสามีดู “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันจะไปด้วยค่ะ” ฉันคิดแล้วก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตา เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง “อะไรนะ” พอได้ยินแล้วแม่เฉินก็ตกใจ ปกติลูกสะใภ้รองไม่เคยสนใจเรื่องของคนอื่นเลย แล้วยิ่งกับบ้านหลักของสามีนาง ลูกสะใภ้คนนี้ก็ไม่เคยไม่สุงสิงหรือรู้จักเลย “ฉันบอกว่าฉันจะไปด้วยค่ะ ส่วนเด็กๆ ให้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลเถอะค่ะ” ฉันตอบแล้วหันไปมองหน้าสะใภ้สาม ถ้าบอกให้สะใภ้สามอยู่บ้าน หล่อนคงไม่ยอมแน่ แต่สะใภ้ใหญ่เป็นคนค่อนข้างหัวอ่อนและไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ให้สะใภ้สามไปด้วยดีกว่าเผื่อว่าจะช่วยพูดอะไรได้บ้าง “จะดีเหรอ” แม่เฉินถาม แล้วมองลูกสะใภ้รองอย่างไม่แน่ใจ “ดีสิคะ ให้ฉันไปด้วย ดีแน่นอน” ฉันพูดยิ้มๆ แต่ฉันก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองจะทำอะไรได้ เนื่องจากนี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง ยิ่งแยกบ้านกับบ้านพ่อแม่สามีแล้วด้วย ฉันแค่อยากไปดูก็เท่านั้น ว่าคนบ้านหลักต้องการอะไร เพราะจากที่ฟัง บ้านพ่อสามีฉันก็โดนเอาเปรียบจากบ้านหลักไม่น้อย ว่าแล้วก็คิดถึงบ้านหลินของฉันที่แทบไม่ต่างกัน เพราะพ่อกับแม่ฉันก็เจอแบบนี้เหมือนกันเลยแหละ เอาไว้ฉันค่อยหาวันไปเยี่ยมบ้านเดิมเพื่อถามไถ่บ้างดีกว่า…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม