บทที่ 10 ตลาดมืด

4259 คำ
บทที่ 10 ตลาดมืด รุ่งเช้าที่โต๊ะกินข้าว… “แม่เตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้ลี่เหมยแล้วนะ” ฉันคุยกับลูกสาว พร้อมคีบไข่ต้มให้ลูกสาวกินกับข้าวต้ม “ค่ะ” ลี่เหมยยิ้มยิงฟันกล้าทำหน้าทะเล้นใส่แม่ เพราะมีความสุขมากที่เมื่อคืนได้นอนกอดแม่เป็นครั้งแรก และตื่นเช้ามาแม่ยังช่วยล้างหน้าแต่งตัว และยังทำอาหารเช้าให้กินอีก ไม่เหมือนเมื่อวานก่อน ที่เด็กน้อยต้องรอให้แม่กินก่อนแล้วเด็กน้อยต้องกินของเหลือจากแม่ “แล้วอย่าดื้อกับป้าสะใภ้ล่ะ” ฉันบอกลูก เมื่อยกมือลูบหัวของแกอย่างรักใคร่ และรู้สึกสงสารลูกสาวที่เธอในอดีตทำร้ายลูกตัวเอง “ค่ะ” หนูน้อยลี่เหมยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ซึ่งฉันก็อดยิ้มให้กับความน่ารักของลูกตัวน้อยไม่ได้ พลางนึกในใจว่าทำไมหลินซูมี่ในอดีตถึงใจร้ายได้อย่างนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นลูกสาขของฉันถอดแบบมาจากฉันทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เหมือน แต่ดูเหมือนว่าเด็กตัวน้อยจะได้รับยีนส์เด่นของทั้งพ่อและแม่มาเต็มๆ “เด็กดี” ฉันเช็ดปากให้ลูกสาว แล้วคีบผัดผักใส่ในข้าวให้แก พอกินอาหารเช้า ป้อนนมและข้าวให้ลูกชายและทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว ฉันก็อุ้มลูกชายและเดินตามหลังลูกสาวไปที่บ้านใหญ่ มืออีกข้างที่ไม่ได้อุ้มลูกชายก็ถือตะกร้าที่ใส่อาหารเที่ยงของลูกๆ ไปด้วย… ที่บ้านเฉิน… ฉันเดินเข้ามาบริเวณหน้าบ้านใหญ่ที่เปิดประตูรั้วไว้อยู่แล้ว ก็เห็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งดูเด็กๆ 2 คนเล่น (เฉินต้า หนิวเป็นลูกชายของนาง เฉินหยางหลิงเป็นลูกสาวของน้องชายสาม) ซึ่งพี่สะใภ้ใหญ่ก็หันมาเห็นพอดีจึงเอ่ยทักพร้อมกับยิ้มให้ “น้องสะใภ้รองมาแล้ว” “พี่สะใภ้ใหญ่” ฉันเอ่ยทักทาย แล้วยื่นมือไปลูบหัวของหลานๆ ทั้งสอง “เชิญนั่งสิน้องสะใภ้รอง” สะใภ้ใหญ่พยักหน้าให้ฉันนั่งบั้งกู๋ “ไม่ล่ะคะ ฉันฝากเด็กๆ ด้วยนะคะพี่สะใภ้” ฉันยิ้มให้สะใภ้ใหญ่ แล้วพยักหน้าให้ลูกสาวไปเล่นกับพี่ และน้อง “ได้สิ ลี่หมิงมาหาป้ามะ” สะใภ้ใหญ่อ้าแขนรับ ลี่หมิง ซึ่งฉันก็เอาลูกชายให้พี่สะใภใหญ่อุ้ม “นี่เป็นนมและโจ๊กของลี่หมิงค่ะ ส่วนในตะกร้ามีอาหารของลี่เหมย แบ่งให้ต้าหนิวกับหยางหลินกินตอนเที่ยงได้เลยนะคะ ฉันทำมาเผื่อเด็กๆ ด้วย แล้วก็มีซาลาเปาฝากให้ทุกคนที่ไปทำงานด้วยนะคะ” ฉันยื่นตะกร้าที่มีเกี๊ยวน้ำหมูและซาลาเปาที่เอาออกมาจากมิติให้สะใภ้ใหญ่ และไม่เป็นที่น่าสงสัยอะไรเพราะฉันได้เอาเกี๊ยวและซาลาเปาแช่แข็งออกมาตั้งแต่เมื่อคืน โดยที่ฉันอ้างกับสะใภ้ใหญ่ว่ากลับบ้านไปเมื่อวานก็ได้ทำซาลาเปากับเกี๊ยวไว้ พี่สะใภ้ใหญ่จึงไม่สงสัยอะไร “ลำบากเธอหรือเปล่าสะใภ้รอง” ผู่เย่วถึงจะสงสัย แต่เธอไม่ถามได้แต่มองหน้าน้องสะใภ้อย่างเกรงใจ เมื่อวานก็มีอาหารจานเนื้อมาแบ่งให้ แล้ววันนี้ยังมีน้ำใจเอาอาหารมาให้อีก แถมวันนี้ก็มีเนื้ออีกแล้ว เมื่อเช้านี้เห็นเกี๊ยวตัวใหญ่และซาลาเปายักษ์ที่ฉันเอามานึ่งยังตกใจเลย เธอรู้เลยว่าข้างในต้องยัดไส้เนื้อเต็มๆ แน่นอน เพราะกลิ่นของเนื้อที่ส่งออกมานั้นยั่วน้ำลายเหลือเกิน คิดแล้วก็ได้แต่ปลงๆ นี่ สะใภ้รองจะใช้เงินเยอะเกินไปแล้ว “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันตั้งใจทำให้ พี่สะใภ้รับไว้เถอะ แต่ก่อนจะกินก็อุ่นซะหน่อยนะคะ จะได้อร่อยขึ้น” ฉันแนะนำ “ได้จ๊ะ ขอบใจเธอมากนะ” พอเห็นความตั้งใจของน้องสะใภ้รอง ผู่เว่ยก็ยิ้มรับอย่างเต็มใจ ใครบ้างจะไม่อยากกินเนื้อ เธอนึกไปถึงสามีและครอบครัวที่ไปทำงานในคอมมูนก็สงสาร แต่ละวันอาหารก็มีแค่แผ่นแป้งหยาบๆ ผัดผัก และน้ำเท่านั้น วันนี้เป็นอีกวันที่ทุกคนจะได้กินเนื้อ มันดีมากจริงๆ ฉันยิ้มให้พี่สะใภ้ใหญ่ มือก็แตะแก้มแดงๆ ของลูกชายที่ดิ้นอยู่ในวงแขนพี่สะใภ้ แล้วเห็นไปพูดกับลูกสาวว่า “ลี่เหมยลูกแม่” “ค่ะ” ลี่เหมยเข้าไปหาแม่ เมื่อแม่กวักมือเรียก “อย่าดื้อกับป้าสะใภ้นะ แล้วก็ดูน้องด้วย เดี๋ยวแม่รับกลับบ้าน” ฉันยิ้มให้กับความน่ารักของลูกสาวแล้วก็รวบร่างเล็กนั้นมากอดเต็มรัก ส่วนลี่เหมยก็โอบแขนน้อยๆ กอดแม่ ยิ้มอย่างมีความสุข “เด็กดีๆ” ฉันบอกลูกสาวชิดพวงแก้มหอมของลูกสาว ท่ามกลางความรักของแม่ลูกก็มีสายตาของสะใภ้ใหญ่มองมาอย่างอึ้งๆ และมีความยินดี เธอดีใจที่สะใภ้รองคิดได้และหันมาสนใจลูกสาว ลี่เหมยเป็นเด็กดีและน่ารักมาก เธอเองก็ยังอยากมีลูกสาวที่น่ารักๆ อย่างนี้บ้าง… ที่คอมมูน... ฉันเดินมาที่คอมมูนเพื่อขอติดเกวียนฝ่ายผลิตเข้าไปในเมืองด้วย เพราะจากที่ค้นดูในความทรงจำ ปกติหลินซูมี่จะมาขอติดรถฝ่ายผลิตเข้าเมืองเป็นประจำ แต่ก็ดีแล้วล่ะเพราะฉันไม่คิดที่จะเดินเท้าเข้าเมืองอยู่แล้วเพราะระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตรแหนะ มันเหนื่อยไม่ใช่น้อยกว่าจะไปถึงในเมืองฉันขาลากไม่มีแรงก่อนพอดี ซึ่งวันนี้มีคนในหมู่บ้านไม่กี่คนที่มาด้วยกัน แต่ฉันไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าแม่บ้านที่จะเข้าไปหาซื้อของในเมืองกัน “ดูนั่นสิ สะใภ้รองบ้านเฉิน วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่กิน นอน แล้วก็เข้าเมือง” “นั่นสิ วันนี้คงจะเอาเงินหยางตงที่ส่งมาให้ไปผลาญซื้อของอีกแน่ๆ” “ก็คงใช่ เมื่อวานฉันได้ยินคนพูดกันให้ทั่วว่าหล่อนให้ฟูกนอนและเสื้อผ้าบ้านเดิมไปด้วย” “ฉันก็ได้ยิน น่าสงสารบ้านเฉินนะ ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรถึงได้ลูกสะใภ้ขี้เกียจไปอยู่ที่บ้านแบบนั้นด้วย” “ใช่ ฉันล่ะสงสารหยางตงกับลูกๆ เขาเสียจริง เธอเห็นไหม ลี่เหมยน่ะ ชุดแทบจะใส่ไม่ได้แล้ว แต่ดูหล่อนสิ มีชุดใหม่มาใส่ได้ตลอด” ระหว่างที่นั่งรอเกวียนก็มีเสียงนกเสียงกามาเข้าหูฉันบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้สนอะไร ได้แต่นั่งเงียบทำหน้านิ่งๆ สร้างความแปลกใจให้ทุกคนที่อยู่แถวนั้นมาก เพราะปกติแล้วแค่มองหน้า สะใภ้รองบ้านเฉินก็เอะอะโวยวายชี้หน้าด่ากราดทุกคนไปแล้ว แต่นี่นินทากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้กลับไม่โดนอะไร ก่อนจะแต่งงานชื่อเสียงของหลินซูมี่ก็มีดีอยู่พอสมควร เพราะเป็นคนมีการศึกษา ตอนแต่งเข้าไปบ้านเฉินแรกๆ ทุกคนก็ยินดีมาก แต่พอเห็นความขี้เกียจและความร้ายกาจแล้วจากความชื่นชมยินดีก็กลายเป็นระอา ฉันไม่สนใจคำพูดหรือสายตาของใคร พอเกวียนฝ่ายผลิตมาถึงฉันก็เดินไปนั่ง ปกติแล้วฝ่ายผลิตจะมีเกวียนและรถแทรกเตอร์ที่ใช้ขนของเข้ามา แต่วันนี้มีแค่เกวียนธรรมดาเท่านั้น… เมื่อเข้ามาถึงในเมืองฉันก็โค้งตัวขอบคุณเลขาโจวที่ทำหน้าที่ขับเกวียน จากนั้นก็หันหลังเดินไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองค้างอย่างมึนงงกับภาพที่เห็น “นี่ สะใภ้รองบ้านเฉินเป็นอะไรไป” ทุกคนในที่นี่พากันพูดเป็นเสียงเดียวกัน ฉันเดินไปที่ร้านค้าสหกรณ์ของอำเภอ ดูราคาสินค้าต่างๆ เพื่อนำมาตั้งราคาขายของในมิติ พอดูจนครบแล้วก็เดินไปหาที่ลับตาคนเอาจักรยานออกมาขี่ แล้วไปที่โรงเชือดเพื่อสอบถามราคาเนื้อ พอได้ข้อมูลมาครบแล้วฉันก็มาที่ตลาดมืด ทางเข้าที่นี่ก็ช่างวังเวงน่ากลัวเหลือเกิน แต่ก็พอเข้าใจ เพราะที่นี่คือที่ผิดกฎหมาย ทางเข้าก็ต้องมีคนเฝ้าเพื่อบอกรหัสผ่าน และคอยดูต้นทาง เผื่อทหารแดงมาตรวจตรา คนข้างในจะได้ไหวตัวทัน ฉันเอาผ้าพันคอมาปิดหน้าตามกฏของตลาดมืดที่ต้องปกปิดหน้าก่อนเข้าไป ฉันก็เดินไปบอกรหัสผ่านกับคนที่เฝ้า พร้อมกับยื่นเงินให้ 1 เหมา เป็นค่าเข้าตลาด “อย่าสร้างปัญหา” พอได้รับรหัสและเงินแล้วคนเฝ้าก็พูดขึ้นเสียงนิ่งตามแบบฉบับของเขา “…” ฉันไม่พูด แต่ก้มหัวให้พวกเขาเล็กน้อย แล้วเดินเข้ามาในตลาด ซึ่งภาพที่เห็นคือคนข้างในนั้นเยอะมาก แทบไม่ต่างจากตลาดสดในยุคปัจจุบันเลย ทุกคนล้วนปิดหน้าปิดตาทำตามกฎ แต่การแต่งกายของแต่ละคนนั้นดูก็รู้เลยว่าเป็นคนมีเงิน ปกติชาวบ้านไม่ค่อยเข้ามาที่นี่กันนักหรอก ถ้าไม่มีของที่อยากได้หรือของดีมาขาย เพราะแค่ค่าเข้าก็เรียกว่าแพงมากแล้วสำหรับชาวบ้านธรรมดา ฉันเดินไปที่ลับตาคนแล้วเอาตะกร้าสานใบใหญ่ออกมา จากนั้นก็หยิบเอาสบู่ออกมาวางไว้เล็กน้อยพร้อมกับเอาผ้ามาปิดไว้เพื่อกันสายตาคน เผื่อเวลาคนอื่นต้องการอะไรแล้วเธอมีในมิติ หยิบออกมาคนจะได้ไม่ว่าเธอเป็นผีร้ายหรือเทพเซียนที่เสกของออกมากลางอากาศ “สวัสดีค่ะสหาย ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” ฉันเห็นผู้หญิงในช่วงวัยที่น่าจะอายุเท่ากันกับฉัน แต่งตัวดูดีมาก เหมือนคุณหนู กำลังมองหาอะไรซักอย่างอยู่นานแล้วจึงเดินเข้าไปถาม หญิงคนนั้นกำลังเดินหาของอยู่ก็หันมาตอบคำถามของฉันว่า “สวัสดีค่ะ คือฉันอยากจะมาหาซื้อนาฬิกาให้พี่ชายเป็นของขวัญ แต่ยังหาไม่ได้เลย คุณพอจะมีหรือหาให้ได้ไหมคะ” ซึ่งฉันดูท่าทางของเธอแล้วไม่ได้ตกใจกับการที่มีคนเข้ามาถามแบบนี้ เพราะที่ตลาดมืดแห่งนี้ถือว่าปกติ แต่ของที่เธอมาหาซื้อนี่สิ คนแล้วคนเล่าที่มาถามก็ตอบเป็นเสียงกันว่าไม่มี “ฉันมีค่ะ รอฉันเดี๋ยวนะคะ” ฉันยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วขอตัวเดินไปยังมุมลับตาคน ค้นหาเอานาฬิกาออกมาใส่ถุงผ้าจำนวนหนึ่ง เพราะถ้าเอามาเยอะอาจจะเป็นที่ต้องสงสัย แล้วยังจะถูกกดราคาอีกด้วย ฉันเดินกลับไปหาหญิงสาวที่ยืนรออยู่แล้วยื่นถุงผ้าให้ “นี่ค่ะ ฉันได้มาแค่ 6 เรือน มีแบบคู่ด้วยนะคะ” “สวยมากเลยค่ะ คุณขายยังไงคะ” หล่อนรับเอาถุงผ้าไปเปิดดูแล้วทำตาโต “เอิ่ม ราคาที่ฉันได้มาค่อนข้างจะแพงนะคะ ฉันขายเรือนละ 180 หยวนค่ะ แต่ถ้าสหายซื้อ 2 เรือนขึ้นไปฉันขายให้ 170 หยวนค่ะ” ฉันทำท่าคิดเล็กน้อยแล้วบอกไป นาฬิกาถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยของคนรวย ราคานี้ไม่น่าจะแพงเกินไปหรอก “ถ้าอย่างนั้นฉันเอา 2 เรือนค่ะ” หล่อนทำท่าคิดบ้าง แล้วก้มลงเลือกนาฬิกาขึ้นมาถือไว้ 2 เรือน “340 หยวนค่ะ นี่เป็นสบู่ ฉันให้ไปทดลองใช้นะคะ ถ้าเกิดสหายใช้แล้วชอบก็มาซื้อกับฉันได้ค่ะ” ฉันยิ้มเมื่อหญิงสาวคนนี้เลือกที่จะซื้อ 2 เรือน ในยุคที่ฉันจากมาก็เป็นทาสการตลาดแบบนี้แหละ อะไรที่ลด แลก แจก แถม ฉันก็ตกลงไปในหลุมของการตลาดแบบนี้ทุกที ฉันเปิดผ้าออกหยิบสบู่ให้กับหญิงสาวตรงหน้าไป 1 ก้อน กลิ่นกุหลาบที่เธอคิดว่าเหมาะสมที่จะเป็นของสมนาคุณให้กับคนตรงหน้า ผู้หญิงคนนี้จ่ายเงินออกมาหลายร้อยหยวนโดยที่คิดเพียงเล็กน้อยแบบนี้ ต้องเป็นคนในตระกูลใหญ่ๆ แน่นอน ผูกมิตรไว้ก็เป็นการดี ฉันคิดในใจ “กลิ่นหอมมากเลยนะคะ” หล่อนยื่นเงินให้ฉัน แล้วได้กลิ่นหอมออกจากสบู่ก็รับเอาไว้อย่างไม่อิดออด “ค่ะ อันนี้เป็นกลิ่นกุหลาบค่ะ” ฉันบอกเหมือนเชิญชวนให้หญิงตรงหน้าใช้แล้วกลับมาซื้ออีก “ขอบคุณมากนะคะสหาย ถ้าฉันใช้แล้วชอบจะกลับมาหาสหายอีกแน่นอนค่ะ” หล่อนยิ้มอย่างพอใจแล้วเอ่ยลา วันนี้ได้ทั้งนาฬิกาให้พี่ชายแล้วยังได้ของตัวเองอีกด้วยทำให้เธอรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอหาซื้อนาฬิกามาหลายวันแล้วทั้งในร้านค้าสหกรณ์ของรัฐและตลาดมืดแห่งนี้ โชคดีที่วันนี้เธอได้มาเจอแม่ค้าแปลกหน้าคนนี้จึงทำให้เธอโล่งใจเป็นอย่างมาก แล้วยังได้สบู่กลิ่นหอมๆ นี่ไปใช้อีก เมื่อพอลูกค้าคนแรกเดินไปแล้ว ก็มีหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เข้ามาทักทายฉัน “แม่ค้า” “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” ฉันยิ้มรับแล้วเอ่ยถาม “ฉันสนใจสบู่น่ะ” หล่อนพูดถึงสิ่งที่ต้องการทันที เดิมทีนางแค่มาหาซื้อของไปให้สามีเท่านั้น แต่เดินผ่านหญิงสาวสองคนที่ยืนคุยกันอยู่แล้วได้กลิ่นหอม พอได้ยินว่าเป็นสบู่จึงสนใจ นางยืนรอจนทั้งสองคุยกันเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาทักทายทันที “ได้ค่ะ สบู่ฉันมีทั้งหมด 4 กลิ่นค่ะ น้ำนมข้าว กุหลาบ มะขาม แล้วก็มินต์ กลิ่นมินต์นี่ ผู้ชายใช้ด้วยได้นะคะ” ฉันตอบแล้วหยิบสบู่ในตะกร้ามาอธิบายให้หญิงตรงหน้าฟัง “ขายยังไงหรือ” พอเห็นสบู่แล้วนางก็สนใจเป็นอย่างมาก สบู่พวกนี้มีกลิ่นหอม ทั้งยังก้อนใหญ่ ต่างจากสบู่ในร้านค้าสหกรณ์ที่ทั้งก้อนเล็กและไม่มีกลิ่นหอมเช่นนี้ “คือราคามันค่อนข้างแพงนะคะ ฉันขายที่ 3 หยวนค่ะ ไม่ต้องใช้คูปอง ที่ฉันขายแพงเพราะมันหายากมาก ฉันได้มาแค่อย่างละนิดล่ะหน่อยเอง” ฉันบอก และไม่ได้โกหกหรือกดราคา เพราะได้ศึกษามาแล้วว่ายุคนี้สบู่แบบนี้จะไม่มีขายเลย “ถ้าอย่างนั้นฉันเอาน้ำนมข้าวกับมินต์อย่างละ 5 ก้อนค่ะ” พอได้ยินราคาแล้วเจ้าหล่อนก็ไม่ลังเลที่จะซื้อ เพราะสบู่ในร้านค้าปกติมีราคา 2 หยวน 3 เหมา แต่ไม่ได้มีกลิ่นหอมและก้อนใหญ่แบบนี้ อีกทั้งไม่ต้องใช้คูปองอีก นางคิดจะนำไปให้สามีใช้และเอาไปฝากเจ้านายด้วย “ได้ค่ะ ทั้งหมด 30 หยวนค่ะ” ฉันรีบหยิบสบู่ใส่ถุงกระดาษที่เตรียมไว้สำหรับใส่ขายของ แล้วยื่นให้หญิงคนตรงหน้าทันที “นี่ค่ะ” นางยื่นเงินให้ฉัน “ถ้าคุณนายอยากได้อะไรที่หายังไม่ได้สามารถถามฉันได้เลยนะคะ เผื่อฉันมี” พอรับเงินแล้วฉันก็ลองถามเพื่อขายของ “ไม่ปิดบังค่ะ คือฉันกำลังหาขาหมูไปให้ลูกสะใภ้ของหัวหน้าสามีน่ะค่ะ หล่อนพึ่งจะคลอดลูก แต่ไปที่โรงเชือดแล้วไม่ทัน คุณพอจะหาให้ได้ไหมคะ” พอได้ยินว่าหญิงตรงหน้าสามารถหาของให้ได้ เจ้าหล่อนก็ไม่ลังเลเลยที่จะบอก ซึ่งตอนเย็นนางและสามีจะไปเยี่ยมลูกสะใภ้ของหัวหน้า แต่ว่ายังหาของฝากที่ดีที่สุดไม่ได้เลย “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นคุณนายรอฉันเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันขอไปดูก่อน” ฉันยิ้ม แล้วรีบเดินไปที่ลับตาคนหยิบเอาขาหมูที่มีในมิติออกมาใส่ในตะกร้า “หาได้ไหมคะ” เมื่อเห็นแม่ค้าเดินกลับมาหา หล่อนก็ถาม “ได้ค่ะ ฉันได้ขาหมูมา 2 ขาพอดีค่ะ ขาละประมาณ 2 จิน ฉันขายจินล่ะ 7 หยวน 5 เหมา ไม่ต้องใช้คูปองค่ะ แต่ถ้ามีคูปองเนื้อ ฉันขาย 6 หยวน 8 เหมา ตามราคาของโรงเชือดเลยค่ะ มีเนื้อด้วยนะคะ เผื่อคุณสนใจ” ฉันหยิบเอาขาหมูและเนื้อออกมานิดหน่อยเผื่อว่าจะขายได้ และคิดว่ารอบหน้าจะเอาถุงผ้าใหญ่ๆ มาถือไว้ด้วย จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาหลายๆ รอบแบบนี้ “ถ้าอย่างนั้นฉันเอาขาหมูทั้ง 2 ขาเลยค่ะ แต่ไม่ใช้คูปองนะคะ” พอได้ยินราคาที่ไม่ได้ต่างจากโรงเชือดมากนักเมื่อไม่ได้ใช้คูปอง หล่อนก็ตัดสินใจทันที และหล่อนมีคูปองซื้อเนื้อ แต่คิดว่าน่าจะเก็บไว้ใช้ในครอบครัวดีกว่า เพราะหายากยิ่งกว่าเนื้อเสียอีก ต่อให้มีเงิน แต่ไม่มีคูปองเงินก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด “30 หยวนค่ะ” ฉันเอาขาหมูมาห่อใส่กระดาษไขแล้วยื่นให้หญิงตรงหน้าไป “ขอบคุณนะแม่ค้า ถ้าฉันต้องการอะไรรอบหน้าฉันจะมาหาแม่ค้าอีกนะคะ” “ยินดีค่ะ แต่ฉันจะไม่ได้มาทุกวันนะ” ฉันบอกวันที่จะเข้ามาในเมืองอีกครั้ง ที่ฉันไม่มาขายทุกวันเพราะเดี๋ยวคนในหมู่บ้านจะสงสัย และอาจจะโดนคนบ้านเฉินว่าเรื่องที่เข้ามาในเมืองบ่อยด้วย ฉันไม่ได้สนใจคำคนอื่นมากนักหรอก แต่ฉันไม่อยากให้บ้านเฉินเข้าใจฉันผิดมากกว่า “แม่ค้ามาวันไหนบ้าง” หล่อนถามฉัน “หนึ่งอาทิตย์ฉันจะมาแค่ครั้งเดียวค่ะ” ฉันบอก “ถ้าไงก็อาทิตย์หน้าแม่ค้าก็มาขายของใช่ไหมคะ” หล่อนถาม “ใช่ค่ะ” ฉันพยักกหน้า “อื้อ งั้นฉันไปก่อนนะ” เมื่อรู้วันแล้วหล่อนก็เอ่ยลา แล้วเดินออกไป ส่วนฉันก็เก็บเงินใส่ในถุงผ้าเหน็บไว้กับเอว แล้วออกเดินหาลูกค้าคนใหม่ “สวัสดีค่ะคุณนาย มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” ฉันเดินยิ้มเข้าไปทักทายคุณป้าท่านหนึ่ง ที่แต่งตัวดูดีเหมือนเป็นคนมีเงินหรือมียศ เพราะมีคนเดินตามคอยช่วยถือของให้ด้วย “สวัสดีค่ะ ฉันต้องการผ้าห่มนวมน่ะ แต่ที่สหกรณ์ร้านค้าไม่มีผืนที่หนาแบบที่ต้องการเลย แม่ค้ามีขายไหม” หล่อนที่เดินหาผ้าห่มในตลาดมืดเกือบทุกร้านแล้วกำลังจะกลับ เมื่อมีหญิงสาวเข้ามาทักก็รีบอธิบายทันที “ฉันมีค่ะ แต่ว่าไม่ได้ถือมาด้วย ถ้าคุณนายสนใจ ฉันว่าเราไปหาที่เหมาะๆ ดูไหมคะ” ฉันบอกพร้อมก็มองไปรอบๆ ฉันคิดว่าถ้าจะเอาผ้าห่มออกมาขายให้หญิงวัยอายุประมาณหกสิบตรงนี้คงไม่ดีแน่ เพราะมันชิ้นใหญ่เกินไป เกิดคุณป้าคนนี้เดินออกไปแล้วเจอทหารแดงขึ้นมาล่ะก็ซวยแน่ “บ้านฉันอยู่ซอยถัดไปนี่เอง แม่ค้าสะดวกไหมคะ” หล่อนเข้าใจในสิ่งที่หญิงตรงหน้าจะสื่อจึงบอกไป เพราะบ้านเธออยู่ใกล้จากตรงนี้มาก ให้คนขายไปส่งที่บ้านเลยจะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาจนเกินไป เพราะสามีของนางเองก็เป็นคนใหญ่คนโต ถ้าภรรยามาถูกจับในตลาดมืดหรือเพราะมาซื้อของในตลาดคงไม่ดีแน่ อีกอย่างหญิงสาวตรงหน้าก็ดูน่าไว้ใจ นางจึงไม่มีปัญหาที่จะเปิดเผยตัวตน “ได้ค่ะ คุณนายบอกที่อยู่ฉันมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวอีก 30 นาที ฉันขอไปเอาของแล้วจะเอาไปให้คุณนายดูค่ะ” ฉันหยิบกระดาษและดินสอขึ้นมาเตรียมจดที่อยู่ทันที “…” นางไม่ตอบ แต่มองดูท่าทางแล้วคนตรงหน้าไม่ธรรมดา เพราะรู้หนังสือด้วย คงจะเป็นเด็กสาวจากตระกูลร่ำรวยสักตระกูล เพราะในยุคนี้ไม่ค่อยมีคนส่งลูกสาวเรียนหนังสือกันหรอก ขนาดลูกสาวของนางกว่าจะได้เรียนก็ถูกครอบครัวสามีกีดกันแทบตาย ดีที่สามีเป็นคนที่ดื้อรั้นไม่ฟังใคร ชีวิตลูกสาวจึงดี และได้แต่งงานกับตระกูลที่สมเกียรติ “ฉันจะไปตามที่อยู่นี้นะคะ” เมื่อจดที่อยู่แล้ว ฉันก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านข้าง “ฉันจะรอค่ะ” นางเมื่อบอกที่อยู่แล้วก็เอ่ยลา ด้านฉันก็โค้งตัวให้หญิงวัยประมาณหกสิบปีเล็กน้อย และเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายไปแล้ว ฉันก็หันมาขายของต่ออีกหน่อย ฉันขายสบู่ เนื้อและผัก ประมาณ 20 นาที ฉันก็เดินออกจากตลาดมืด หาที่ลับเอาจักรยานออกมาใช้ โดยจักรยานคันนี้เป็นจักรยานพ่วงหลังเอาไว้ไปจ่ายตลาดในยุคนี้ แต่ดูๆ แล้วไม่ค่อยมีใครใช้ ถ้าไม่ใช่คนมีเงินจริง ฉันเอาผ้าห่มนวมหนานุ่มออกมาใส่ตะกร้าจักรยาน ซึ่งด้วยความที่มันผืนหนา จึงเอาออกมาได้แค่ 4 ผืน ฉันหยิบเอาผ้าห่มนาโนมาอีก 4 ผืน เผื่อลูกค้าจะสนใจ เพราะผ้าห่มนาโนที่ฉันมีคล้ายๆ กับผ้าห่มที่ร้านค้าสหกรณ์ แต่ของฉันคุณภาพดีกว่า… ฉันปั่นจักรยานไปยังที่อยู่ของลูกค้า โดยแวะถามทางเล็กน้อย ด้วยความกลัวว่าจะหลง ตอนนี้ฉันได้เอาผ้าและหมวกที่ปิดหน้าออกแล้ว เพราะมันจะเป็นที่สงสัยเกินไป อีกอย่างคุณป้าคนนั้นก็ไว้ใจฉันถึงขั้นให้ที่อยู่ ฉันก็ควรจะจริงใจกลับบ้าง ฉันปั่นจักรยานมาตามคำบอกของคนที่ถามทาง จนมาถึงบ้านของลูกค้า และก็เจอคุณป้าคนนั้นยืนรออยู่ “แม่ค้าทางนี้ เชิญๆ เอาจักรยายเข้ามาจอดข้างในเลย” หล่อนยืนรอแม่ค้า โดยไม่มีอะไรปิดหน้าตาเหมือนกัน ซึ่งนางได้เชิญแม่ค้าให้เข้าไปในบริเวณกลางบ้าน ซึ่งฉันได้แอบดูบ้านแล้วมีลักษณะท่าทาง การแต่งตัวของนางแล้ว คงจะเป็นบ้านคนใหญ่คนโตในเมืองนี้แน่ บ้านในซอยนี้ก็มีแต่บ้านหลังใหญ่ นี่มันหมู่บ้านคนรวยชัดๆ เลย ฉันคิดในใจ “สวัสดีอีกครั้งค่ะ คุณนาย นี่ค่ะ ฉันมีมาทั้งหมด 4 ผืน คุณเปิดดูได้นะคะ” ฉันลงจากรถแล้วจูงจักรยานเข้าไปในเขตรั้วบ้านเพื่อหลบสายตาคน ฉันเอาขาตั้งลงแล้วหยิบเอาผ้าห่มนวมยื่นให้ลูกค้าดู “หนาและนุ่มมากเลยค่ะ คุณขายยังไงคะ” “ฉันขาย ผืนละ 120 หยวนค่ะ ไม่ต้องใช้คูปอง อ้อ ฉันมีแบบนี้ด้วยนะคะ ราคา 100 หยวน ค่ะ” ฉันหยิบเอาผ้าห่มนาโนยื่นให้ลูกค้าดู ปกติแล้วผ้าห่มที่ร้านค้าสหกรณ์จะราคาที่ 90 หยวน ฉันคิดว่าขายราคานี้ไม่น่าจะแพงมากนัก “แบบนี้เหมือนที่ร้านค้าสหกรณ์เลยค่ะ แต่ที่นั่นไม่ได้นุ่มแบบนี้ คุณเอามาทั้งหมดกี่ผืนคะ” หล่อนชื่นชมผ้าห่มพร้อมถามจำนวน “อย่างละ 4 ผืนค่ะ” ฉันยิ้ม “ฉันเอาหมดนี่เลย” พอได้ยินราคาที่ไม่แพงเกินสหกรณ์ไปมากนัก นางก็ไม่ลังเลเลยที่จะซื้อทั้งหมด “ทั้งหมด 880 หยวนค่ะ สินค้ามีมาอีกอาทิตย์หน้า ถ้าคุณนายอยากได้ก็ไปหาฉันที่เดิม หรือว่าสั่งไว้ได้นะคะ” ฉันยิ้มรับ เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าจะขายได้หมด เสียดายที่จักรยานเธอใส่ผ้าห่มมาได้เท่านี้ ไม่อย่างงั้นน่าจะขายได้เยอะกว่านี้อีกแน่ “ถ้าฉันต้องการฉันจะไปหานะ” หล่อนตอบแล้วหยิบถุงเงินขึ้นมานับจากนั้นก็ยื่นให้ฉันทันที “ขอบคุณคุณนาย นี่เป็นสบู่ที่ฉันขายค่ะ ฉันให้คุณนายลองใช้ค่ะ นี่เป็นกลิ่นน้ำนมข้าวและมะขามค่ะ ถ้าใช้แล้วติดใจ สามารถไปหาฉันได้ที่ตลาดมืดนะคะ ฉันจะมาอาทิตย์ละครั้งค่ะ” ก็เหมือนเคย ฉันยื่นสบู่ให้ลูกค้าที่ซื้อเยอะเป็นของแถม แต่รอบนี้ด้วยความที่คุณป้าท่านนี้จ่ายเงินเกือบ 900 หยวนให้เธอ จึงหยิบสบู่ให้ไป 2 ก้อน “ขอบคุณนะคะ ฉันถังเม่ยจิน เรียกคุณป้าถังก็ได้ ดูท่าหนูจะอายุเท่ากันหรือน้อยกว่าลูกสาวป้า” หล่อนพูด แล้วก็คิดถึงลูกสาวที่แต่งงานออกไป นางรู้สึกเอ็นดูฉันอย่างมาก จึงแนะนำตัวไปด้วยท่าทีเป็นมิตร “ค่ะป้าถัง หนูหลินซูมี่ค่ะ เรียกซูซูก็ได้ค่ะ” พอแนะนำตัวเสร็จแล้วฉันก็ขอตัวกลับ เพราะใกล้เวลาเกวียนของฝ่ายผลิตจะกลับแล้ว และอีกอย่างฉันต้องไปซื้อของอีกเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยของบ้านเฉิน…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม