บทที่ 8 สะใภ้รองเป็นหมาป่าตาขาว

4980 คำ
เวลาบ่ายโมง ที่บ้านหลินซูมี่ “น้องเล็ก อยู่ไหม น้องเล็ก” เสียงร้องตะโกนดังอยู่จากทางหน้าบ้าน ทำให้ฉันที่กำลังเอาของใช้ต่างๆ ในมิติมาจัดใส่ห้องครัวอยู่นั้นต้องชะงัก แล้วรีบร้อนเดินออกจากบ้านไปยืนมองตรงหน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝดทั้งสองยืนเกาะรั้วบ้าน ฉันก็รีบบอกให้พี่ชายรีบเปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้านเลย “พี่ใหญ่ พี่รอง เปิดประตูเข้ามาเลยค่ะ” เมื่อน้องสาวบอก เป็นเซียวเหว่ยพี่รองเองที่เปิดประตูรั้ว แล้วให้พี่ใหญ่ดันรถเข็นเข้าไปในบริเวณบ้านของน้องสาว “เป็นไงมั่งน้องเล็ก สบายดีไหม” เซียวเหวินถาม พร้อมพยักหน้าให้น้องชายเดินเข้าไปนั่งบนแคร่หน้าบ้าน “ฉันสบายดีพี่ แล้วพี่ๆ ละ สบายดีไหมคะ” ฉันก็ถามพี่ชายทั้งสอง “พี่ก็สบายดี” เซียวเหวินตอบ พร้อมมองหน้าน้องชายอีกครั้ง เพราะอยากรู้ความรู้สึกของน้องชายว่ารู้สึกเหมือนเขาไหม ที่น้องสาวดูเปลี่ยนไป คือน้องดูน่ารักและมารยาทก็อ่อนน้อมมาก เหมือนไม่ใช่หลินซูมี่คนเดิมเลย “อื้อ ลืมไป พี่ๆ นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปเอาชามาให้ดื่ม” สายตาของพี่ชายทั้งสองที่มองฉันอย่างจับผิด ทำให้ฉันรีบบอกพวกพี่ๆ แล้วรีบเดินเข้าไปในบ้าน และไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ฉันก็ถือกาน้ำชาพร้อมถ้วยชาออกมา แล้วก็รินชาให้พี่ชายทั้งสองคนละถ้วย “อื้อ ชาบ้านน้องนี่ทำไมหอมและหวานติดลิ้นจัง” เซียวเหว่ยจิบชาหลายครั้ง เพราะรสชาติอร่อย “เดี๋ยวฉันรินให้อีกนะ” ฉันได้แต่ยิ้มให้พี่ทั้งสอง พร้อมรินชาให้พี่ชายคนรอง เซียวเหว่ยก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบใจมากนะ” “ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่พี่ทั้งสองมาหาฉันมีอะไรรึ” ฉันรู้ว่าพี่ๆ มาหาเพราะอะไร แต่ก็แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง “ก็แม่บอกว่า น้องเล็กให้พี่มาเอาฟูกนอนไม่ใช่รึ” เซียวเหวินบอก “ใช่ค่ะ อยู่นั้นไง” ฉันบอก พร้อมลุกขึ้นเดินนำหน้าพี่ชายไปยังกองที่นอน “อื้อ เดี๋ยวพี่ขนใส่รถเลยนะ” เซียวเหวินรีบขนที่นอน เมื่อเห็นน้องสาวหยิบผ้าห่มไปวางไว้ในรถเข็น “ฉันช่วยค่ะ” ฉันบอก “ไม่ต้องหรอก พี่ทำเอง” เซียวเหวินบอกน้องสาว ด้านเซียวเหว่ยที่ยืนจับรถเข็นให้พี่ชาย ก็แอบมองบ้านของน้องสาว เมื่อไม่เห็นหลานๆ เขาจึงถามน้องสาง “แล้วนี้หลานๆ ล่ะ ไปไหน” “นอนกลางวันอยู่ในห้องค่ะ” ฉันตอบพี่รอง พร้อมคอยสังเกตมองพวกพี่ๆ ก็รู้สึกจุกและปวดใจ เมื่อเห็นร่างกายของพี่ๆ ผอมมาก และชุดที่ใส่ก็เก่ามาก เพราะรู้ว่าน้องสาวอยู่ห่างสามี และบางที่ต้องมีผู้ชายทำให้ อย่างเช่นขึ้นหลังคาซ่อมบ้านอะไรนี้ เซียวเหว่ยที่รักน้องมากจึงบอกน้องว่า “เป็นไงมั่ง ตั้งแต่แยกบ้านอยู่คนเดียวกับลูกๆ น้องน้อยของพี่ไหวไหม ถ้าไม่ไหวบอกพวกพี่ได้นะ บ้านผุพังตรงไหนก็บอกพี่ได้ พี่จะมาซ่อมให้” “ฉันโตจนมีลูกแล้วนะคะพี่รอง ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ยังไงฉันก็อยู่ได้ เรื่องบ้านผุพังนะไม่ต้องห่วง ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยให้บ้านของฉันพังหรอกนะ” ฉันบอกพี่รอง “แต่สำหรับพวกพี่ น้องก็คือเด็กน้อยของพวกพี่อยู่ดี” เซียวเหวินบอกน้องสาว เมื่อขนของใส่รถเข็นเสร็จแล้ว “ขอบคุณพี่ๆ ทั้งสองค่ะ ที่เป็นห่วงฉัน” ฉันย่นหน้าใส่พี่ๆ ที่พี่ชายทั้งสองชอบมองเธอเหมือนเด็ก เซียวเหวินเงยหน้ามองตะวันเป็นเวลา ใกล้จะบ่ายสองแล้วเขาจึงบอกน้องสาวว่า “อื้อ งั้นพี่กลับก่อนนะ” “เดี๋ยวพี่ เดี๋ยวฉันเอาอะไรให้” ฉันบอกพวกพี่ แล้วรีบเดินเข้าไปในบ้าน ไม่ถึงยี่สิบนาที ฉันก็เดินออกมา พร้อมยื่นหอผ้าให้พี่ใหญ่และพี่รอง “นี่มันอะไรน้องเล็ก” เซียวเหวินและเซียวเหว่ยถามพร้อมกัน เมื่อเห็นของหลายอย่างในหอผ้า “เป็นเสื้อผ้าเก่าของฉันค่ะ ยังใหม่อยู่เลย ฉันแบ่งให้พี่สะใภ้คนล่ะชุด” ฉันบอกพี่ทั้งสอง ตอนเก็บกวาดห้องแล้วจะเอาของในมิติใส่ตู้เสื้อ ฉันเห็นชุดเก่าที่เป็นของหลินซูมี่คนเดิม ฉันจึงเก็บไว้ให้พี่สะใภ้ทั้งสอง “แล้วน้องเล็กเอาไหนใส่ละ” พี่ใหญ่ถาม พร้อมมองสำรวจเสื้อน้องสาวที่ใส่ ดูใหม่และสวยมาก และกลิ่นก็หอมมากด้วย “อย่าห่วงฉันเลย” สายตาสงสัยของพี่ๆ ที่มองฉัน ทำให้ฉันรีบพูดเรื่องอื่น “อื้อ ขอบใจนะ” เซียวเหวินพยักหน้า ทั้งที่สงสัยท่าทีแปลกใหม่ของน้องสาว ที่ดูเปลี่ยนไปอย่างที่แม่บอก “แล้วนี่ฉันให้เย่วเทียนค่ะ เมื่อวานฉันไปตลาดมา เห็นสวยดีเลยนึกถึงหลาน ฝากพี่ใหญ่เอาไปให้หลานด้วยนะคะ” ฉันยื่นชุดใหม่สำหรับเด็กผู้ชายให้พี่ใหญ่ “ไม่เป็นไรน้องเล็ก เก็บไว้ให้หลานเถอะ ลี่หมิงโตอีกหน่อยก็ใส่ได้แล้ว” เซียวเหวินรีบบอกน้องสาว “รับไปเถอะค่ะ ถือซะว่าฉันให้หลาน ตั้งแต่เทียนเกิดมาฉันไม่เคยให้อะไรหลานเลย” ฉันไม่สนใจคำปฏิเสธของพี่ชาย รีบวางชุดไว้บนที่นอนที่กองอยู่ในรถเข็น “งั้นพี่ก็ขอบใจมากนะน้องเล็ก” เซียวเหวินซึ้งน้ำใจของน้องสาวมาก จึงยื่นมือไปลูบหัวน้องสาว “พี่ใหญ่ อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กสิ” ฉันเอามือพี่ใหญ่ออกจากหัว แล้วมองหน้าพี่ชายอย่างละอายใจ แค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เธอทำกับพี่ชายและพี่สะใภ้ พวกเขาต้องอดอยากแค่ไหนตอนที่เธออยู่ที่บ้านหลิน พอแต่งงานออกมาแล้วยังลำบากให้พวกเขาส่งอาหารให้อีก “ไปกันเถอะพี่ใหญ่” เซียวเหว่ยเอ่ยชวน เมื่อดูพระอาทิตย์ใกล้จะบ่ายสามแล้ว “เดี๋ยวสิ พี่รอง” ฉันเรียกพี่ชายคนรองไว้ “อะไรรึ” เซียวเหว่ยก็ถาม “นี่ชุดของซินอี๋ค่ะ พี่รองห้ามปฏิเสธนะคะ ฉันตั้งใจให้หลานจริงๆ” ฉันยื่นห่อผ้าให้พี่ชายคนรอง “ทำ...” เซียวเหว่ยไม่ทันได้บอกว่า ‘ทำไมไม่เก็บไว้ให้ลี่เหมย’ เขาก็ต้องหยุดพูด เมื่อน้องสาวพูดแทรกขึ้นว่า “ไม่ต้องบอกให้ฉันเก็บไว้ให้ลี่เหมย เพราะลี่เหมยฉันก็มี และเปลี่ยนใหม่ให้ลูกฉันแล้ว พวกพี่ไม่ต้องห่วง” ฉันกำชับบอกพี่รอง “เฮ้อ ก็ได้ พี่จะรับน้ำใจจากน้องเล็กไว้” เซียวเหว่ยมองหน้าพี่ชาย แล้วถอนหายใจยาวๆ ยามได้สบตามุ่งมั่นของน้องสาว “ถ้าอย่างนั้นพวกพี่ไปก่อน ยืมรถเข็นจากบ้านจางมา ต้องรีบเอาไปคืน” ด้านเซียวเหวินเป็นคนพูดขึ้น เมื่อเวลาใกล้ค่ำแล้ว “เดินทางปลอดภัยนะพี่” ฉันเดินไปส่งพี่ทั้งสองที่รั้วหน้าบ้าน ยืนโบกมือลาพี่ชายทั้งสองจนพี่ชายสองคนเดินลับตาไป ต่อไปนี้ฉันจะทำให้บ้านหลินมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องลำบากอีกแน่นอน ฉันนึกในใจแล้วเดินเข้าบ้าน… ทางด้านเซียวเหวินและเซียวเหว่ยก็พากันเข็นรถเข็นที่มีฟูกนอนและผ้าห่มและข้าวของมากมายก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนในหมู่บ้าน มีบางคนที่กล้าเข้ามาถาม เซียวเหวินก็ตอบไปตามตรงว่าเป็นฟูกนอนเก่าและเสื้อผ้าเก่าของน้องสาวให้เอาไปใช้ และพอสองพี่น้องบ้านหลินเดินไปไกลแล้ว คนก็พากันซุบซิบนินทากัน จนเรื่องนี้มาถึงหูกลุ่มของสะใภ้สามที่นั่งพูดคุยกับสหายข้างบ้าน ซึ่งสะใภ้สามกำลังนินทาชาวบ้านอยู่อย่างออกรสออกชาติก็ได้ยินข่าวนี้เข้า จึงรีบขอตัวเข้าบ้าน “ไม่ได้การล่ะ เรื่องนี้ฉันต้องเอาไปฟ้องแม่สามีให้ไปเอาเรื่องสะใภ้รองให้ได้” สะใภ้สามบ้านเฉินบ่นคนเดียวยามวิ่งกลับบ้าน… ที่บ้านเฉิน… หลี่จางซินทั้งวิ่งและเดินเข้าบ้าน พร้อมตะโกนเสียงดังเรียกแม่สามี “คุณแม่ คุณแม่คะ” “สะใภ้สาม ร้องโวยวายเสียงดังทำไม” เจียวจิงซิน หรือแม่เฉินรีบเดินออกมาจากห้องครัวนางไม่พอใจอย่างมาก ที่ลูกสะใภ้สามแอบหนีงานครัวไปข้างนอกแล้วมาร้องโวยวายเสียงดังอยู่ตอนนี้ ซึ่งด้านหลังแม่เฉินก็มีสะใภ้ใหญ่เดินตามออกมาด้วย เพราะไม่รู้ว่าน้องสะใภ้สามมีเรื่องอะไรจึงออกมาฟัง “คุณแม่ ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” จางซินพูดขึ้นแล้วทำหน้าไม่พอใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะเล่าให้แม่สามีฟัง “มีอะไรของเธอ” แม่เฉินเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ซึ่งสะใภ้ทั้งสองก็เดินไปนั่งตาม “คืออย่างงี้ค่ะ ฉันนั่งคุยอยู่กับสหายข้างบ้านได้ยินคนเขาพูดกันว่าวันนี้คนจากบ้านหลินมาขนเอาฟูกนอนและเสื้อผ้าจากบ้านพี่สะใภ้รองไปเยอะแยะเลย คนที่ถามพี่ชายพี่สะใภ้รองบอกว่าเป็นฟูกนอนเก่าและเสื้อเก่าของพี่สะใภ้รองค่ะ” พอได้ยินประโยคแรกจากปากสะใภ้สาม เจียงผู่เย่ว สะใภ้ใหญ่ของบ้านก็ส่ายหัวทันที อย่างสะใภ้สามนะหรือจะแค่นั่งคุยแล้วได้ยิน มีแต่จะร่วมวงคอยสอดแนมนินทาคนที่เดินผ่านไปมาไม่ว่า เป็นเพราะประโยคหลังที่สะใภ้สามเอ่ยขึ้น ทำให้แม่เฉินขมวดคิ้ว และถามลูกสะใภ้สามว่า “สะใภ้รองเปลี่ยนฟูกนอนใหม่อย่างนั้นหรือ” ด้านสะใภ้ใหญ่ เมื่อนึกได้ก็พูดขึ้น “น้องสะใภ้รองเพิ่งเปลี่ยนไปตอนคลอดลี่หมิงเองไม่ใช่หรือคะ” “ใช่ค่ะ เปลี่ยนใหม่ แต่ไม่ยอมเอาของเก่ามาให้บ้านเรา ข้ามหน้าข้ามตาเอาไปให้บ้านเดิม ไหนจะเสื้อผ้าอีกตั้งมากมายหลายชุด อย่างนี้เท่ากับว่าพี่สะใภ้รองไม่เห็นแก่หน้าบ้านเราเลยนะคะคุณแม่” สะใภ้สามใส่ไฟหลินซูมี่สะใภ้รอง ‘เอาจริงๆ เธอไม่เห็นหรอกว่าเสื้อผ้าที่ว่านั่นจะเยอะไหม แต่สะใภ้รองข้ามหน้าข้ามตาเธอเกินไป ใครๆ ก็รู้ว่าสะใภ้รองไม่ได้ทำงานอะไร เสื้อผ้าก็มีแต่ชุดดีๆ ถึงจะบอกว่าเสื้อผ้าเก่า สะใภ้รองก็ไม่เคยปล่อยให้ชุดตัวเองเก่าถึงปีสักชุด ทำไมไม่เอามาให้เธอละ ชุดที่เธอใส่ตอนนี้ก็เก่ามากแล้วนะ รอยปะซุนก็เต็มไปหมด’ สะใภ้สามนึกว่าพี่สะใภ้คนรองในใจ “นี่เธอเห็นเหรอ ว่าสะใภ้รองให้ของดีๆ บ้านโน้น” แม่เฉินถามลูกสะใภ้สาม “เห็นกับตาเลยค่ะคุณแม่” สะใภ้สามบอก “ไป! ฉันจะไปถามให้มันรู้เรื่อง” แม่เฉินไม่พอใจที่สะใภ้รองทำแบบนี้ ทำข้ามหน้าข้ามตาเธอเกินไปแล้ว ว่าแล้วแม่เฉินก็รีบเดินออกจากบ้าน ตรงไปบ้านของลูกชายคนรองที่อยู่ถัดไปจากบ้านใหญ่ สะใภ้สามที่เห็นท่าทางโมโหของแม่สามีก็ยกยิ้มสะใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับสะใภ้ใหญ่ที่ยืนมองอยู่ว่า “ฮิฮิ พี่สะใภ้ใหญ่อยู่ทำกับข้าวไปนะคะ ฉันจะไปกับคุณแม่เอง” พอพูดจบสะใภ้สามก็สะบัดหน้าหนี แล้ววิ่งตามแม่สามีไปทันที ทิ้งให้สะใภ้ใหญ่ได้แต่ยืนมองตามหลัง เสียงเอะอะดังอยู่โถงใหญ่ของบ้าน ทำให้เฉินหยางฮั่น ลูกชายคนโตของบ้านเฉินออกมาดู เมื่อเห็นภรรยามองตามหลังน้องสะใภ้สาม เขาจึงถามภรรยา “มีอะไรคุณ” “คุณแม่ไปบ้านสะใภ้รองค่ะ ฉันไปทำอาหารเย็นต่อก่อนนะคะ” เจียงผู่เย่วตอบคำถามของสามี แล้วเดินเข้าครัวไปทำอาหารต่อ เธอไม่ได้อยากจะตามไปหรอก เพราะรู้ว่าแม่สามีก็คงทำอะไรสะใภ้รองไม่ได้นอกจากจะต่อว่าเท่านั้น ในเมื่อแยกบ้านกันไปแล้ว แค่สะใภ้รองยอมให้สามีที่ไปเป็นทหารส่งเงินเข้าบ้านใหญ่ก็ดีแค่ไหนแล้ว… ที่บ้านของหลินซูมี่… แม่เฉินเมื่อมาถึงบ้านของลูกชายรองก็เรียกลูกสะใภ้รองเสียงดัง “ลูกสะใภ้รองอยู่ไหม” เสียงเอะอะดังอยู่หน้าประตูบ้าน ทำให้ฉันที่กำลังเก็บของออกจากมิตินั้นต้องหยุดชะงัก ฉันหายใจเหนื่อยๆ พลางบ่นให้ตัวเองว่า “อะไรอีกเนี่ย แล้วนี้ใครมาอีกละ ทำไมวันนี้มีคนมาหาบ่อยจัง” ด้านสะใภ้สามที่วิ่งตามแม่เฉินมานั้น เห็นแม่เฉินยังยืนอยู่หน้าประตู และบ้านก็เงียบไม่มีใครตอบและมาเปิดประตูให้ สะใภ้สามก็เรียกเสียงดัง “พี่สะใภ้รอง อยู่ไหมคะ เปิดประตูให้คุณแม่หน่อย” “นี่เธอตามฉันมาทำไม ทำไมไม่ช่วยลูกสะใภ้ใหญ่ทำกับข้าวฮะ” แม่เฉินตำหนิลูกสะใภ้สามเสียงเขียว “แฮ่” สะใภ้สามได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้แม่สามี เสียงนี้ฉันจำได้ในความฝันว่าเป็นเสียงของน้องสะใภ้สาม ฉันจึงวางมือจากการเก็บของ แล้วเดินออกจากห้องนอนไปเปิดประตู คุณแม่ น้องสะใภ้สาม” “พี่สะใภ้รองทำไมมาเปิดประตูช้าจัง รู้ไหมคุณแม่ยืนรอจนขาแข็งแล้ว” เป็นสะใภ้สามเองที่เอ่ยว่าฉัน “หนูต้องขอโทษคุณแม่ด้วยค่ะ พอดีหนูกำลังเก็บกวาดบ้านอยู่ เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิคะ” ฉันถึงจะแปลกใจที่เห็นแม่สามีกับน้องสะใภ้ เพราะปกติแล้วแม่เฉินไม่ค่อยมาหาหรือวุ่นวายฉันเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าหลินซูมี่คนเดิมมีนิสัยก้าวร้าว คำว่าหนูแทนตัวเอง ทำให้แม่เฉินละเมอเดินตามลูกสะใภ้รองเข้าไปในบ้าน “นี่เธอว่าอะไรนะเมื่อกี้นี้” “เชิญนั่งค่ะ เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำชามาให้ดื่มนะคะ” ฉันยิ้ม เมื่อบอกให้แม่สามีนั่งบั้งกู๋ เมื่อหลินซูมี่เข้าไปทำชาแล้ว สะใภ้สามก็รีบบอกแม่สามีให้นั่ง “คุณแม่นั่งตรงนี้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะนั่งตรงนั้นก็แล้วกัน” ปล...หมาป่าตาขาว หมายถึง คนเนรคุณ “นี่ลูกสะใภ้สามอย่าเจ้ากี้เจ้าการให้มันมากนัก” แม่เฉินหมั่นไส้จึงว่าลูกสะใภ้สามไป เสียงฉอเลาะคุยเอาใจแม่สามีของสะใภ้สามดังพอที่ฉันที่ยืนทำชาอยู่ได้ยิน ฉันยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วเดินถือกาน้ำร้อนและถ้วยชาออกมา “พี่สะใภ้รอง” สะใภ้สามมองตาค้าง เมื่อเห็นฉันมีกิริยาเรียบร้อย ไม่หยาบกระด้างเหมือนทุกครั้งที่เจอหน้ากัน “น้ำชาค่ะคุณแม่ น้องสะใภ้” ฉันนั่งฝั่งตรงข้ามแม่สามี แล้วรินชาให้แม่เฉินและน้องสะใภ้สาม “ขะ ขอบใจ” กิริยาเรียบร้อยของลูกสะใภ้รอง ทำให้แม่เฉินไปไม่เป็น ซึ่งนางเอาแต่มองและนึกในใจว่า ‘นี่หลินซูมี่จริงๆ เหรอ ทำไมดูเรียบร้อยพูดเพราะจัง กิริยาก้าวร้าวและหยิ่งจองหองหายไปไหนแล้ว’ สะใภ้สามเมื่อได้จิบชาก็อุทานเสียงดังขึ้นมาว่า “คุณแม่! ชาหอมมากค่ะ” “นี่เธอเก็บอาการหน่อย” แม่เฉินดุลูกสะใภ้สามต่อหน้าสะใภ้รอง นั้นทำให้ฉันยิ้ม แล้วถามแม่สามีว่า “คุณแม่มีอะไรรึ ถึงมาหาหนู” เพราะกลัวลูกสะใภ้รองจะตำหนิที่เข้ามายุ่งวุ่นวาย แม่เฉินจึงได้แต่ทำเสียงอ้ำอึ้ง “คือ...” ท่าทีไม่กล้าถามของแม่เฉินทำให้สะใภ้สามพูดแทรกขึ้นว่า “ก็ตอนนี้ชาวบ้านลือกันไปทั่วว่าพี่สะใภ้รองเป็นหมาป่าตาขาว คุณแม่กับฉันก็เลยต้องมาถามให้รู้ความไง” “หมายความว่ายังไงรึน้องสะใภ้สาม” ฉันถึงจะโกรธ แต่ก็เก็บอาการไว้ เพราะรู้ว่าหลินซูมี่คนเดิมมีนิสัยเสียและชอบอกตัญญู “วันนี้พี่สะใภ้รองให้บ้านหลินมาขนเอาฟูกนอนกับเสื้อผ้าไปเยอะแยะ แต่ไม่คิดถึงบ้านสามีเลยเหรอ ทำแบบนี้ข้ามหน้าคุณแม่นี่คะ” สะใภ้สามเข้าเรื่องถามสะใภ้รองตรงๆ “อ้อ ค่ะ ฉันให้พี่ชายใหญ่มาขนเอาฟูกนอนที่ฉันเปลี่ยนไปใช้นะคะ แล้วก็เอาเสื้อผ้าเก่าของฉันฝากพี่ใหญ่เอาไปให้พี่สะใภ้อีกคนละชุดค่ะ” ฉันพยักหน้ารับรู้สาเหตุว่าทำไมแม่เฉินมาหา เพราะฉันให้ข้าวของกับบ้านหลินนี่เอง ‘นี่ถ้ารู้ว่าเราให้เงิน 40 หยวนแม่หลินไปบ้านใหญ่คงโยนระเบิดใส่เธอแน่’ ฉันพูดคนเดียวในใจ “นั่นไงคะคุณแม่ ฉันบอกคุณแม่แล้ว คุณแม่เชื่อฉันแล้วใช่ไหม” สะใภ้สามพอเห็นพี่สะใภ้รองพูดอย่างไม่รู้สึกผิดก็หันไปหาแม่สามี เพื่อหวังให้แม่สามีตำหนิพี่สะใภ้รอง แววตาของแม่สามีที่มองฉันอย่างตำหนินั้น ทำให้ฉันต้องพยายามสะกดกลั้นความโกรธไว้ แล้วถามแม่สามีว่า “ทำไมหรือคะ ครอบครัวของหนูเอาข้าวเอาอาหารมาส่งให้หนูทุกวัน หนูจะตอบแทนพวกท่านบ้างไม่ได้เลยหรือคะคุณแม่ บ้านเดิมของหนูเดิมทีก็ยากจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว แต่กลับแบ่งปันอาหารดีๆ มาให้หนูทุกวัน ทั้งที่บ้านหลินแทบจะขุดดินกินกันอยู่แล้วนะคะ” “แต่เธอเพิ่งเปลี่ยนที่นอนตอนคลอดลี่หมิงเองไม่ใช่เหรอลูกสะใภ้รอง” แม่เฉินถามลูกสะใภ้รอง “ค่ะ หนูเพิ่งเปลี่ยน หนูไม่เถียง พอดีหนูได้ของใหม่มาในราคาไม่แพงค่ะ อีกอย่างก็กว้างมากด้วย สามารถนอนสามคนแม่ลูกได้สบายค่ะ” ฉันพยายามใจเย็นอธิบายให้แม่สามีฟัง และนั่นทำให้แม่เฉินแปลกใจกับท่าทางของลูกสะใภ้รองที่ไม่ได้หงุดหงิดนางเหมือนเมื่อก่อน “เธอให้ลี่เหมยนอนด้วยงั้นรึ?” เสียงของแม่เฉินเปลี่ยนจากสะบัดเป็นตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้รอง “ค่ะ หนูให้ลูกมานอนด้วยที่ห้อง ถ้าคุณแม่ไม่เชื่อก็เข้าไปดูได้นะคะ เด็กสองนอนกลางวันอยู่ในห้องค่ะ” ฉันผายมือเชิญแม่สามีเข้าไปดูลูกๆ ที่นอนหลับอุตุอยู่ในห้องนอนใหญ่ “ไม่ล่ะ ดีแล้วที่เธอคิดถึงลูกและดูแลลี่เหมย” แม่เฉินส่ายหน้าไม่เข้าไปดูหลานสาว เพราะในเมื่อลูกสะใภ้รองพูดแล้วว่าให้ลูกสาวไปนอนด้วย ก็ไม่มีเหตุผลที่นางจะไม่เชื่อ ดีเสียอีก ถ้าสะใภ้รองคิดได้ แล้วหันมาสนใจลูกสาวบ้าง นั้นก็เป็นเรื่องดีแล้ว “ค่ะ ต่อไปหนูจะดูแลลูกของหนูให้ดีที่สุดค่ะ” ฉันยิ้มหวานให้แม่สามี ฉันจำได้ในความฝัน แม่สามีจะรักลูกชายคนรองอย่างหยางตงมาก และยังเผื่อแผ่มาถึงหลานๆ อีก แม้ ลี่เหมยจะเป็นผู้หญิงแต่นางก็รัก ตอนที่บ้านใหญ่นำคนมาจับหลินซูมี่ แม่เฉินร้องไห้แทบขาดใจแล้วถามหาลี่เหมย เธอยังจำภาพนั้นได้ดี “แต่พี่สะใภ้รองข้ามหน้าข้ามตาบ้านเฉินเกินไปแล้วนะ มีอย่างที่ไหนขนของที่บ้านเฉินซื้อให้เอาไปให้บ้านหลินตั้งเยอะแยะ อีกอย่างเรื่องอาหารการกิน ถ้าพี่ทำงานหรือทำกินเอง ไม่ไปรบกวนบ้านหลิน พี่สะใภ้รองก็ไม่ต้องไปตอบแทนพวกเขาใช่รึเปล่า” พอเห็นท่าทางอ่อนโอนของแม่สามี สะใภ้สามก็ไม่พอใจ รีบใส่ไฟเพิ่มทันที เดิมทีหล่อนก็ไม่พอใจแม่สามีอยู่แล้ว เพราะหล่อนเองก็คลอดหลานสาวเหมือนกัน แต่แม่สามีก็ไม่ได้รักหรือสนใจลูกนางเท่ากับลูกของสะใภ้รองอย่างลี่เหมยเลยสักนิด ด้านฉันเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายจากปากสะใภ้สาม ทำให้ฉันมองตาขวางเหมือนแววตาของหลินซูมี่คนก่อนกลับมา แต่สักพักก็นึกขึ้นจึงปรับสีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อไปฉันจะทำอาหารกินเอง ไม่ไปรบกวนบ้านหลินอีก” ฉันได้โอกาสก็รีบพูดขึ้น ตอนแรกก็คิดหนักอยู่เหมือนกันว่าจะขอไปใช้ครัวที่บ้านใหญ่อย่างไรไม่ให้คนสงสัย เพราะถ้าจู่ๆ ฉันก็จะปรับตัวให้ ขยัน ดูแลลูก ทำอาหารกินเองและอะไรหลายอย่างที่หลินซูมี่คนเดิมไม่เคยทำ มันคงจะแปลกน่าดู ถ้าถามว่าทำไมไม่เอาของในมิติออกมาใช้ ฉันมีหม้อ กระทะ เครื่องครัวอื่นๆ ครบทุกอย่าง แต่ไม่มีเตา ใครจะคิดถึงละว่าต้องใช้เตาถ่านหรือเตาฟืน ในยุคของฉันคือใช้เตาแก๊สเตาไฟฟ้า แล้วที่ฉันเอามาก็เป็นเตาแก๊สกระป๋อง ฉันไม่อยากตอบคำถามคนอื่นว่าไปเอาของดีแปลกใหม่แบบนี้มาจากไหน และไม่แน่ใจด้วยว่าในยุค 50 นี้ จะมีของแบบนี้ใช้หรือยัง แต่ไม่เป็นไร ไว้วันหน้าฉันจะเข้าเมืองค่อยหาซื้อเตามาใช้ก็แล้วกัน ส่วนเตาแก๊สกระป๋อง ฉันจะเอาไว้อุ่นอาหารและชงนมให้ลูกๆ ในตอนเช้าก็ได้ แล้วก็จะเก็บใส่มิติหลังจากใช้เสร็จแล้ว “แล้วก็ไปเอาของที่เอาไปให้บ้านเดิมคืนมาด้วย” สะใภ้สามรีบพูดถึงประเด็นที่เธอต้องการ นั่นทำให้ฉันทำหน้าไม่พอใจอย่างมาก “เหอะ เรื่องฟูกนอนกับเสื้อผ้าฉันคงไปเอาคืนไม่ได้หรอกนะ หรือถ้าฉันไปเอาคืนมาจริงๆ ชาวบ้านจะไม่นินทาว่าร้ายบ้านเฉินเหรอ ว่าเป็นคนกลับกลอก ให้ของแล้วยังไปเอาคืน และฉันก็เพิ่งรู้ว่าสะใภ้สามนี่ใจดำและเป็นหมาป่าตาขาวมาก นี่อย่าให้รู้นะว่าสะใภ้สามก็ไม่เคยเอาของจากบ้านใหญ่ให้บ้านเดิมตัวเองเหมือนกัน” ฉันมองหน้าสะใภ้สามอย่างไม่ชอบใจ แล้วหันไปมองหน้าแม่สามี “พะ พี่สะใภ้รอง อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ฉะ...” สะใภ้สามไม่ทันได้พูดอะไร แม่เฉินก็พูดเสียงดังแทรกขึ้นว่า “เงียบ! สรุปนี่เธอหรือฉันเป็นแม่สามี ใครเป็นลูกสะใภ้กันแน่ ชอบเจ้ากี้เจ้าการก็เธอนี่แหละ” “คุณแม่ ฉันไม่เคย...” สะใภ้สามกำลังจะเอ่ยปฏิเสธว่าไม่เคยเอาของให้บ้านเดิม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงเล็กอู้อี้ดังขึ้น ลี่เหมยสีหูสีตาเดินออกจากห้องนอน เมื่อเห็นย่า เด็กน้อยก็ดีใจจึงยิ้มกว้างและเรียกย่า “ย่าจ้า” “ลี่เหมย” แม่เฉินที่รักหลานสาวมาก นางยิ้มแล้วลุกขึ้นจากบั้งกู๋ เดินไปอุ้มหลานสาวไว้ในอ้อมกอดทันที “เสื้อผ้าใหม่?” พอแม่เฉินเดินมานั่งที่เดิม สะใภ้สามเห็นเสื้อผ้าใหม่ก็มองตาไม่กะพริบ ‘นี่เด็กที่แม่ไม่รักนี่มีเสื้อผ้าใหม่สวยๆ ใส่เกินหน้าเกินตาลูกสาวเธอได้ยังไงกัน’ หล่อนพูดในใจอย่างอิจฉา “ค่ะ อาสะใภ้สาม แม่ซื้อให้หนู” ลี่เหมยผละออกจากอกแม่เฉิน แล้วพูดเจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดีเมื่อก้มมองชุดใหม่ของตัวเอง “เธอซื้อชุดให้ลี่เหมยรึลูกสะใภ้รอง?” แม่เฉินมองสำรวจเสื้อผ้าของหลานสาว แล้วมองหน้าลูกสะใภ้รอง “หนูซื้อมาชุดเดียวค่ะ ส่วนอีก 2 ชุดหนูตัดเย็บเอง” ฉันต้องโกหกว่าอีกสองชุดเธอตัดเอง ถ้าขืนบอกว่าซื้อทั้งสามชุดมีหวังถูกแม่เฉินด่าแน่ ถึงแม้ว่าในยุคนี้จะมีนโยบายให้ตัดชุดใส่เองแล้วการซื้อผ้าต้องใช้คูปอง แต่ในตลาดมืดในความทรงจำของเธอ ก็ยังเห็นคนตัดเย็บชุดสำเร็จมาขายไม่น้อย ฉันเลยอ้างแบบนี้ไป “อีก 2 ชุด! พี่สะใภ้ตัดเอง พี่สะใภ้รองตัดชุดเป็นเหรอ” สะใภ้สามทำท่าตกใจในคำว่าตัดชุดเอง ไหนจะนี่เด็กนี่ได้ชุดใหม่ถึง 3 ชุดอีก “ทำไมรึสะใภ้สาม เธอมีปัญหาอะไรถึงถามฉันแบบนี้ ฉันจะเย็บผ้าเป็นหรือไม่เป็นมันเกี่ยวกับเธอตรงไหน” ฉันเริ่มไม่ทนกับสะใภ้สามละ เจ้ากี้เจ้าการจริงๆ เธอนึกในใจ “นี่เธอใช้เงินเยอะขนาดนี้เลยรึลูกสะใภ้รอง ไหนจะฟูกนอน ชุดใหม่ลี่เหมย ไหนจะผ้าพับที่ตัดชุดอีก” แม่เฉินเริ่มไม่พอใจลูกสะใภ้รองที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แม้ว่านางจะรู้สึกดีที่เห็นหลานสาวได้เสื้อผ้าใหม่ แต่นี่มันก็เป็นการสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว เงินนั่นเป็นเงินที่ลูกชายคนรองของนางหามาอย่างยากลำบากเชียวนะ แต่ลูกสะใภ้รองใช้มันเหมือนเงินมันหาง่ายเสียเหลือเกิน “มันไม่ได้เยอะอะไรหรอกค่ะคุณแม่ หนูได้มาจากคนรู้จักกันที่ในเมือง คุณแม่สบายใจได้ค่ะ เงินจากพี่หยางตงหนูจะใช้อย่างประหยัดที่สุดค่ะ แล้วที่หนูให้ชุดลูกเยอะๆ เพราะชุดลี่เหมยมันเก่ามากแล้ว หนูเลยเปลี่ยนให้ใหม่หมด” ฉันรู้ทันแม่สามีว่าคิดอะไรอยู่ เธอก็รีบบอกให้หมด เอาจริงๆ เธอไม่ได้ใช้เงินสามีสักเฟินเดียวเลยนะ แค่ให้บ้านหลินไป 40 หยวน ส่วนของพวกนี้เธอมีอยู่แล้วทั้งนั้น “นี่เธอเรียกหยางตงว่าพี่เหรอ” แม่เฉินถาม เพราะนี่ครั้งแรกที่ได้ยินลูกสะใภ้รองเรียกลูกชายรองว่าพี่ ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่เคยเคารพสามีเลย “ค่ะ ทำไมคะ พี่หยางตงอายุมากกว่าหนู หนูก็ต้องเรียกพี่สิ หรือคุณแม่ไม่ชอบให้หนูเรียกพี่หยางตงแบบนั้น” ฉันถามแม่สามี และรู้ว่าหลินซูมี่คนเดิมมีนิสัยไม่ดีไม่นับถือสามีตัวเอง ชอบโขกสับสามีตัวเอง แต่ฉันคนนี้จะพยายามแก้ไขและจะทำดีกับสามีให้มากที่สุด “ไม่ๆ เรียกพี่นะดีแล้ว เรียกต่อไปนะหลินซูมี่” แม่เฉินรีบยกมือห้าม บอกลูกสะใภ้รองให้เรียกลูกชายรองว่าพี่ต่อ “ค่ะ” ฉันขานรับเสียงหวาน “แล้วนี่เธอบอกว่าจะทำอาหารกินเอง เธอมีเตามีหม้อแล้วหรือยังละ” แม่เฉินเริ่มใจอ่อนเมื่อเห็นกิริยาอ่อนน้อมของสะใภ้รอง “ยังค่ะ หนูว่าจะไปทำที่บ้านใหญ่ก่อน แล้วค่อยหาซื้อใหม่ ช่วงนี้คงต้องรบกวนคุณแม่แล้วค่ะ” ฉันพูดเสียงเบา เพราะตอนแรกว่าจะเอาซาลาเปาออกมากินกับลูกสาวเป็นมื้อเย็น ส่วนลูกชาย เธอจะชงนมกับเอาโจ๊กให้ลูกกิน แต่ในเมื่อแม่สามีถาม วันนี้ฉันจะไปทำอาหารที่บ้านใหญ่ก็แล้วกัน ถือโอกาสเอาอาหารดีๆ ไปให้บ้านใหญ่ได้กินด้วยเลย “งั้นก็อย่าเพิ่งซื้อ เธอใช้เงินเยอะเกินไปแล้ว พ้นหน้าหนาวก่อนค่อยไปหาซื้อก็แล้วกัน ช่วงนี้เธอต้องกักตุนอาหารรู้หรือเปล่า” แม่เฉินรีบบอก “ค่ะ หนูรู้แล้วค่ะ” ฉันรับคำอย่างว่าง่าย ‘เอาเถอะ บ้านใหญ่ก็ห่างออกไปแค่นิดเดียว แม้ว่าหน้าหนาวจะไปยากนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร อาหารเช้าเธอก็เอาเตาแก๊สออกมาทำแล้วสายๆ ฉันค่อยทำท่าทีไปทำอาหารหรือต้มโจ๊กมาเก็บไว้ในมิติก็ได้ หรือไม่ก็ไปหาซื้อเตาแล้วบอกว่าได้มาในราคาที่ถูกมาก ก็ไม่มีใครมาว่าเธอหรอก’ “งั้นก็รีบๆ ไปทำอาหารสิ พี่สะใภ้ใหญ่เธอกำลังทำกับข้าวอยู่ จะได้ให้หล่อนแนะนำเธอด้วย” แม่เฉินแปลกใจมาก ที่สะใภ้รองรับคำอย่างว่าง่าย แต่ในใจก็รู้สึกยินดี ถ้าสะใภ้รองคิดได้จริงๆ มันก็ดีมากๆ เลยนะ “เดี๋ยวหนูเตรียมของ และอีกอย่างลี่หมิงยังไม่ตื่นเลยค่ะ” ฉันบอก พร้อมมองเข้าไปในห้องนอน “ให้ไวล่ะ หลานๆ ฉันจะได้กินข้าว ฉันจะเอาลี่เหมยไปด้วยนะ ถ้าเธอจะไปทำอาหารที่บ้านใหญ่ก็อุ้มเอาลี่หมิงไปหาฉันก็แล้วกัน” แม่เฉินบอก และไม่รอคำตอบของลูกสะใภ้รอง แม่เฉินก็อุ้มลี่เหมยขึ้นคาบเอวทันทีเมื่อนางลุกขึ้นยืน ท่าทางรักและเป็นห่วงหลาน ทำให้ฉันยิ้มให้แม่เฉิน แล้วฉันก็เอ่ยบอกลูกสาวเสียงไพเราะและยื่นมือไปลูบผมนุ่มและหอมของลูกสาว “อย่าดื้อกับย่านะลูก” “ค่ะ” ลี่เหมยพยักหน้าให้แม่ ซึ่งหนูน้อยดูมีความสุขมากที่ตื่นมาก็เจอหน้าแม่ที่มอบความรักความอบอุ่นให้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม