ตอนนี้อีธานได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงขอบบานประตูหน้าต่างของห้องนอนหญิงสาว พลางสายตาของเขาก็หันไปสบมองรอบ ๆ ห้องอย่างพยายามหาที่วางสายตา เพราะเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนตัวไปไหน...หรือแม้กระทั่งจะสบมองใบหน้าของเธอเขายังไม่กล้าที่จะทำเลยเพราะคำขู่ของเจ้าหล่อนก่อนหน้านี้
และที่เขายังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ยอมไปไหน มันเป็นเพราะว่าตัวของเขาถูกเธอขู่เอาไว้ว่าถ้าหากเขากระโดดลงไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ยอมอธิบายสิ่งใด เธอจะตะโกนร้องขอให้ทหารเข้ามาช่วยเหลือข้อหาที่เขาบุกรุก และมันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ ๆ เขาจึงจำใจที่จะต้องนั่งอยู่ตรงนี้
“จะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง?”
เขาหันไปสบมองใบหน้าของเจ้าหล่อนที่กำลังยกมือกอดอกและสบมองใบหน้าของกันอย่างไม่ได้มีความเกรงกลัวใด ๆ ที่แสดงออกมาให้ได้เห็น ทั้ง ๆ ที่เธอตัวเล็กกว่าเขามาก แต่กลับวางมาดและท่าทางได้อย่างดีเยี่ยมจนกลายเป็นเขาไปเสียเองที่รู้สึกตัวหดเล็กลงอย่างไรอย่างนั้น
สมกับเป็นองค์หญิงของเมืองใหญ่จริง ๆ
“ข้าชื่ออีธาน...” เขาเบนสายตาหลบหลีกเธอที่จดจ้องมองกันไม่วางตาอย่างนึกเกรงใจอีกครั้ง “อยู่เมืองข้าง ๆ กับเมืองของเจ้า”
“เจ้าเรียกข้าว่า ‘เจ้า’ อย่างนั้นหรือ?”
เป็นเพราะว่าตัวเองไม่เคยเข้ามาที่เมืองใหญ่ และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอกับเจ้าของเมืองอย่างเช่นตอนนี้ที่กำลังเผชิญอยู่ จึงไม่ได้ศึกษาภาษาที่ควรจะใช้ และก็ไม่รู้ว่าสมควรจะเรียกหล่อนว่าอย่างไรไม่ให้เจ้าตัวต้องเกี้ยวกราดและเรียกทหารมาลากคอเขาออกไปเสียก่อน
“คือว่าข้าไม่...”
“ช่างมันปะไร...ข้าก็เบื่อแล้วเต็มทีกับชีวิตเดิม ๆ ที่ตัวเองต้องประสบพบเจออยู่ทุกวี่วัน”
เจ้าหล่อนพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงที่แฝงเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเสียจนอีธานต้องเงยหน้าสบมองด้วยความสงสาร จากบทสนทนาที่เขาได้ยินเมื่อครู่แล้วมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไม่ใช่น้อยเลยที่ไม่สามารถโลดแล่นไปได้ตามแต่ใจของตนที่ต้องการ
แต่นี่ก็เป็นเมืองที่ตระกูลของเจ้าหล่อนปกครองอยู่ ทหารก็มีมากมายหลายนายเต็มทั่วพื้นที่ไปหมด เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่เพียงคนเดียวพวกเขาจะกลัวสิ่งใดกันให้มากความ
หากรู้เรื่องตระกูลของเขาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพวกมนุษย์หมาป่านั้นก็ว่าไปอย่าง...
“แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เจ้าหล่อนหันหน้ามาสบมองกันอีกครั้งหลังจากที่เบนออกไปก่อนหน้า ซึ่งอีธานก็หันหน้าไปทางหน้าต่างให้เจ้าหล่อนได้เข้าใจว่าเป็นเพราะผ้าที่ถูกผูกให้เป็นปมเส้นนี้ไม่ใช่สิ่งใดอื่น
“แล้วมีเหตุอันใดถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เข้ามาเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเป็นขโมย!”
“หาไม่ ข้าไม่ใช่ขโมย...” อีธานรีบยกมือปฏิเสธพัลวันเพราะกลัวว่าเจ้าหล่อนจะเข้าใจผิดและเรื่องมันจะเลวร้ายมากไปกันใหญ่ “ข้าเพียงมาหาความจริงบางอย่างแต่เพียงเท่านั้น…”
เขาเสียงแผ่วตอบออกมาอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจนัก...
ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้รู้ความจริงอยู่ดีว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ และมันกลับยิ่งทำให้เขาสับสนมากไปกันใหญ่จนเกือบจะถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำเกี่ยวกับเรื่องของเกรซที่มันอาจจะเป็นแค่เพียงตำนานที่เล่าให้เด็กเล็ก ๆ ฟังแต่เพียงเท่านั้น
แต่อีกใจหนึ่งของเขาก็ยังคงบอกให้เชื่อมั่นและยังเชื่อจนหมดใจว่าเกรซนั้นเป็นมนุษย์ ซึ่งถ้าหากว่าเขายังไม่สามารถหาความจริงได้ในเร็ววันจริง ๆ มันก็มีอีกทางเดียวคือรอเวลาเท่านั้น
เซฟซิฟเตอร์จะสามารถกลายร่างได้ตั้งแต่อายุสิบหกปีเป็นต้นไปลากยาวไปจนถึงอายุยี่สิบปีบริบูรณ์...
และนั่นก็หมายความว่า...หากเกรซอายุยี่สิบปีเต็มแล้วยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นตัวบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าหล่อนหาใช่พวกเดียวกับเราและเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ในความเป็นจริงเขาจะรอให้ถึงวันนั้นมันก็ย่อมได้...แต่หัวใจของตัวเองที่มันกำลังรู้สึกเพิ่มพูนมากขึ้นอยู่ในทุกวันนี้นี่สิ เป็นปัญหาชั้นดีให้เขาอยากที่จะรู้ความจริงในเร็ววันก่อนที่มันจะสายเกินไปจนยากที่จะตัดใจได้ลง
“ความจริงในเรื่องใด?”
เขาหันหน้าไปสบมองเจ้าหล่อนอีกครั้งพร้อมกับสถบออกมาอย่างหยาบคายเพราะดันเผลอพูดถึงความต้องการของตัวเองออกไปเสียได้ และจะแก้ไขคำพูดของตัวเองในตอนนี้มันก็คงจะไม่ทันการเข้าให้เสียแล้ว...เพราะเธอจ้องกันเขม็งไม่วางตาจนเขาต้องเบนหน้าหลบหนีสายตานั้นอีกครั้งหนึ่งในทันใด
“งั้นก่อนที่ข้าจะเล่าให้เจ้า เอ่อ...ท่านฟัง ข้าขอถามอะไรก่อนได้หรือไม่?”
อีธานลองเสนอดูเผื่อมันจะเป็นประโยชน์กับเขา ซึ่งเจ้าหล่อนก็ดูมีทีท่าไม่ไว้วางใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดีให้เขาโล่งอกเพราะบางทีกุญแจสำคัญอาจจะอยู่ที่เธอคนนี้ก็เป็นได้
“ท่านช่วยแนะนำตัวเองให้ข้ารู้จักที เอ่อ...แบบว่าท่านชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีพี่น้องกี่คน แล้วก็...”
“นี่ข้ากลายเป็นเชลยของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ...หาไม่ มันเพียงแต่ว่า...”
“ข้าเป็นองค์หญิงของเมืองนี้ แน่นอนว่าข้าต้องเป็นลูกของกษัตริย์อยู่แล้ว เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
เจ้าหล่อนกอดอกถามไถ่กันออกมาให้อีธานได้แต่เหงื่อไหลซึมเพราะความเกร็งที่กำลังก่อตัวขึ้นมาจนเกือบจะถึงขีดสุด เจ้าหล่อนคนนี้ช่างประชดประชันและดูเหมือนจะหัวแข็งน่าดู ซึ่งเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงถูกกักขังอยู่แต่ในวังไม่ได้ออกไปไหนอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
“การแนะนำตัวก่อน บางทีมันก็อาจจะทำให้เราพูดคุยกันได้อย่างเป็นกันเองมากขึ้น หรือไม่เช่นนั้นบางทีเราก็อาจจะรุ่นราวคราวเดียวกัน แบบเป็นสหายกันอะไรทำนองนั้น...”
หน้าขายหน้าจริง ๆ ที่ต้องมานั่งเกร็งมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ เช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่ในหมู่บ้านมีแต่เด็ก ๆ หวั่นเกรงเขาทั้งนั้นเพราะเป็นลูกของจ่าฝูง บางทีเขาก็ควรที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้นกว่านี้ เพราะในอนาคตเขาก็จะต้องขึ้นเป็นจ่าฝูงแทนบิดาของเขาเฉกเช่นเดียวกัน
และถ้าหากว่ามีใครรู้เข้าว่าเขามานั่งเกรงอกเกรงใจมนุษย์อยู่เช่นนี้...คงได้อับอายไปสามบ้านแปดบ้านและพาลโดนไอเจ้าเด็กเกเรพวกนั้นล้อเลียนเป็นแน่แท้
“งั้นหรือ...”
แต่เจ้าหล่อนกลับดูอ่อนลงไปอย่างน่าประหลาด ทั้งดวงตาก็แฝงเต็มไปด้วยความเศร้าหมองซึ่งเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ หรือเขาอาจจะพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ข้าไม่มีพี่น้อง ไม่มีสหาย และข้าเป็นบุตรธิดาเพียงคนเดียวของวังที่แสนใหญ่โตเช่นนี้...”
“…”
“การมีสหาย...มันคงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่น้อย แล้วเจ้ามีสหายหรือว่าพี่น้องหรือไม่?”
อีธานพยักหน้ารับ ซึ่งเจ้าหล่อนก็ดวงตาเป็นประกายสุกใสขึ้นมาทันใดจนเขาเข้าใจแล้วว่าเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าหล่อนต้องเศร้าโศก
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าหากต้องอยู่คนเดียวแต่เพียงลำพังในวังที่ใหญ่โต เจ้าหล่อนคงจะโหยหาเพื่อนฝูง โหยหาคนที่เข้ากับหล่อนได้ และมันช่างน่าสงสารจับใจกับความโดดเดี่ยวเช่นนั้น
“หากไม่รังเกียจ ข้าเป็นเพื่อนให้กับท่านได้นะ...”
“จริงหรือ?”
แววตาเป็นประกายสุกใสฉายออกมาอย่างไม่มีปิดบัง และมันทำให้อีธานพึ่งได้สังเกตชัด ๆ ในตอนนี้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าหล่อนนั้นงดงามเพียงใด
และมันยิ่งคลับคล้ายคลับคลากับเกรซมากไปกันใหญ่ ทั้งริมฝีปากและดวงตาที่เหมือนกันราวกับว่าเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ แต่เจ้าหล่อนกลับบอกเขาว่าเธอเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง
สรุปแล้วเรื่องทั้งหมดมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่…
“เป็นสหายกัน ก็ต้องรู้จักชื่อกันเอาไว้ใช่หรือไม่?”
“ในความเป็นจริงแล้วมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น...”
“งั้นข้าอายุสิบหกปีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง และชื่อของข้าที่บิดากับมารดาตั้งให้ตั้งแต่แรกเกิดนั้นก็คือ...”
“…”
“เกรซ...ข้ามีนามว่าเกรซ”
อีธานนั่งอยู่บนรถม้าของบิดาในขณะที่มันค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากเมืองใหญ่จนตอนนี้เราทั้งสองกำลังลัดเลาะเข้าป่าเพื่อกลับไปยังหมู่บ้านที่เรานั้นอาศัยอยู่
โดยกว่าที่เขาจะปลีกตัวออกมาจากเจ้าหล่อนคนนั้นได้...ก็ได้ให้สัญญากับเจ้าตัวเป็นมั่นเป็นเหมาะเอาไว้แล้วว่าสักวันจะกลับไปหาอีก เพราะถือเสียว่าเราทั้งสองคนนั้นได้เป็นเพื่อนกันแล้วโดยสมบูรณ์แบบ
เจ้าหล่อนจึงยอมตกลงและปล่อยให้เขาปีนกลับลงมาที่เก่าแต่โดยดี โดยที่สายตาของเจ้าหล่อนเมื่อยามสบมองเขาที่กำลังจะเดินลับสายตาออกไปนั้น...มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมองจนเขาทนไม่ไหวและไม่คิดที่จะหันกลับไปสบมองอีกเป็นครั้งที่สอง
แต่เรื่องราวระหว่างคนทั้งสองคนนั้นมันยิ่งทำให้เขาสับสนและมึนงงมากไปกันใหญ่จนตอนนี้ตัวเองไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรกับความรู้สึกที่อยู่ในใจของตน
หากเจ้าหล่อนไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าตัวเองมีพี่น้องตามตำนานที่มารดาของเขาเคยเล่าให้ฟังมันก็พอจะเป็นไปได้อยู่บ้าง...แต่คงไม่มีพ่อและแม่คนไหนจะตั้งชื่อลูกให้เหมือนกันทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจเป็นแน่แท้อันนี้เขาค่อนข้างที่จะมั่นใจจนกลายเป็นสับสนมากไปกันใหญ่
สรุปแล้วเกรซไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ อย่างนั้นใช่หรือเปล่า...เรื่องราวทั้งหมดที่เขาเคยได้ฟังจากปากของมารดานั้นมันเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งขึ้นเท่านั้นใช่หรือไม่
“ท่านพ่อ...”
“หืม?”
เป็นเพราะว่าตัวเองกำลังสับสนอย่างหนัก อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดจนเกินจะทนไหวหากเกรซเป็นพี่น้องกับเขาจริง ๆ ไม่ใช่เป็นมนุษย์เหมือนอย่างที่เขานั้นได้คาดคิดเอาไว้…
มันก็หมายความว่าเขานั้นจะต้องตัดใจจากเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้ที่มันยังไม่ได้ถลำลึกลงไปมากกว่านี้...และคนที่จะให้คำตอบกับเขาได้ดีที่สุดคงไม่พ้นบิดาของเขาหรือว่าจ่าฝูงของเซฟซิฟเตอร์คนปัจจุบันนั่นเอง
“ตำนานเรื่องภรรยาของหัวหน้าจ่าฝูงที่ไปขโมยองค์หญิงเพราะคำทำนาย...”
“…”
“มันเป็นเพียงแค่ตำนาน...ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่?”
อีธานสบมองใบหน้าของบิดาด้วยแววตาสั่นไหว และเขากำลังภาวนาให้ท่านพ่อบอกกับเขาทีว่ามันเป็นความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด
ส่วนเกรซ...ก็คือเด็กผู้หญิงคนนั้นที่เขาสงสัยมาตลอด
คือผู้หญิงที่เขาหลงรักตั้งแต่รู้ความและจำความได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...
“ข้าว่าข้าเคยพูดเรื่องนี้ไปหลายครา...” แต่ท่านพ่อกลับทำหน้าตาเบื่อหน่ายออกมาให้เขาเริ่มหมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง “มันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น...และมันไม่เคยเกิดขึ้นจริงกับตระกูลเซฟซิฟเตอร์ของเรา และครั้งนี้ข้าจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
“กลับมากันแล้ว...อีธาน ลูกจะรีบไปไหน!”
อีธานปิดประตูห้องนอนที่เป็นห้องใหม่ของตนและขังตัวเองเอาไว้ข้างในนั้นเพราะเขากำลังรู้สึกเสียใจมากกับคำยืนยันจากปากของบิดาที่บอกกับเขาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้น...มันเป็นเพียงแค่ตำนาน
มันคือคำตอบทั้งหมดว่าเกรซคือพวกเดียวกันกับเขา...และเจ้าหล่อนก็เป็นพี่สาวฝาแฝดแท้ ๆ ที่มีบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนเดียวกัน
และนั่นมันก็หมายความว่า...
เขากำลังตกหลุมรักพี่สาวของตัวเอง
เขากำลังตกหลุมรักผู้หญิงต้องห้าม
เขากำลังตกหลุมรักคนที่ไม่สมควรที่สุด
แค่คิดแต่เพียงเท่านั้นมันก็ตอกย้ำให้หัวใจของเขาเจ็บช้ำจนต้องยกมือขึ้นมาบีบมันเอาไว้เพื่อหวังให้ความเจ็บปวดนั้นมันบรรเทาลงบ้าง...แต่มันก็ไม่เป็นผล
ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว...สิ่งที่อีธานสมควรที่จะต้องทำที่สุดนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
คือตัดใจจากผู้หญิงคนนี้...ผู้หญิงที่เขาไม่สมควรคิดเกินเลยตั้งแต่แรกเริ่ม
“ข้าขอเวลาให้หัวใจของตัวเองอีกสักพัก แล้ววันหนึ่งข้าจะกลับมาเป็นน้องสาวของเจ้าให้ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ...พี่เกรซ”