เรือนใหญ่...
“ไอ้บ้าเอ๊ย ” เสกสรรเผลอสบถออกมาเสียงดังอย่างหัวเสีย กับเหตุการณ์ที่สุดแสนจะงามไส้ของคนสนิท ทำเอาเพียงดาวกับนวลจันทร์ที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“มะ...เมื่อกี้ พ่อต้อมว่าอะไรนะ” นวลจันทร์เอ่ยถามหลานชายของเพื่อนด้วยเสียงสั่นๆ กับประโยคสุดคลาสสิกที่ได้ยินเมื่อครู่
“เอ่อ...คือต้อมพูดว่า อากาศดีเป็นบ้าเลยน่ะครับ” เสกสรรตีหน้ายิ้มๆ กลบเกลื่อนทันใด
ด้านเพียงดาวได้ยินคำแก้ตัวของหลานชายถึงกับส่ายหัวน้อยๆ อย่างเอือมระอา ‘ยังแถไปได้อีกนะนั่น ’
“ใช่จ้ะ วันนี้อากาศดีจริงๆ” นวลจันทร์รีบสำทับ
“เอ่อ...ผมขอตัวก่อนนะครับ ดูเหมือนคนสนิทของผมจะไปสวนส้มไม่ถูกจริงๆ”
“จ้ะ” นวลจันทร์ยิ้มบางๆ ขณะมองตามหลังชายหนุ่มที่เดินเร็วๆ ออกจากห้องไป คล้ายว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น
“แหม พ่อต้อมนี่มารยาทดีจังนะเพียง” นวลจันทร์เอ่ยชม
“จ้ะ” เพียงดาวจุกหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะหลานชายนั้นดูจะห่างไกลจากคำว่ามารยาทดีไปสามกิโลเมตรเห็นจะได้
เสกสรรเดินแกมวิ่งลงมายังชั้นล่าง ตรงไปยังมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่คนสนิทหาเกียร์ไม่เจอ ร่างสูงตวัดขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว ก่อนจะกดสตาร์ตเครื่องแล้วบีบคลัตช์เข้ามา สับเกียร์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ พร้อมกับบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ก็ทะยานออกตัวไปด้วยความเร็ว
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม ทำให้เหล่าคนงานหันมามองหลานชายคนโตของคุณเพียงดาวกันอย่างสนใจ ชายหนุ่มรีบเดินลงไปดูคนสนิท ที่ตอนนี้ถูกรายล้อมไว้ด้วยคนงานของไร่ราวสิบกว่าคน
“สภาพศพอยู่ครบนะ” เสกสรรประชดหลังจากที่เห็นคนสนิทนั่งสะบัดหัวไปมา
“โธ่ ผมยังไม่ตายสักหน่อยบอส” ไทเลอร์หันไปส่งค้อนให้ผู้เป็นนายอย่างขุ่นเคือง
“จะไปรู้เหรอ เห็นมึงซิ่งสั่งตายซะขนาดนั้น ”
“ก็จักรยานมันไม่มีเบรก ใครไม่รู้เอามาจอดไว้ บอกก็ไม่บอก ”
“เอาน่า...ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวให้คนงานขับรถกระบะตรงนั้นไปส่งแกที่เรือนใหญ่”
“ครับ อ้อ เมื่อกี้ผมเห็นคุณแพรที่...”
“ฉันรู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน” เสกสรรบอกก่อนจะเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์อย่างขำๆ
“บอส...รู้แล้ว” ไทเลอร์ทวนคำ ขณะมองผู้เป็นนายขับบิ๊กไบค์มุ่งตรงขึ้นเนินไปยังไร่องุ่น
“เฮ้อ...น่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้” ชายหนุ่มบ่นตามอย่างเซ็งๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ แล้วให้คนงานขับไปส่งที่เรือนใหญ่
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้แพรลานนาที่กำลังตัดองุ่นหันไปมองอย่างสนใจ ก็เห็นเสกสรรจอดบิ๊กไบค์ แล้วเดินตรงมาหาเธอ
“ผมขอตัวน้องแพรไปทำธุระสำคัญในเมืองครับ” เสกสรรบอก
“เอ่อ...ครับ” น่านนาวามองสีหน้าตึงๆ ของอีกฝ่ายอย่างมึนงง
“ไปค่ะน้องแพร ” เสกสรรเข้าไปยืนใกล้ๆ กับสาวเจ้า พร้อมกับก้มลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูให้ได้ยินกันสองคน ‘ขอเคลียร์ ’
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะพี่นาวา น้องแพรขอตัวก่อนค่ะ” แพรลานนาเอ่ยด้วยใบหน้าเจื่อนๆ
“แล้วเจอกันครับน้องแพร” น่านนาวาเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นโบกน้อยๆ ให้หญิงสาวอย่างเข้าใจ
“เดี๋ยวผมจะให้คนงานขับรถมารับครับ” เสกสรรบอกยิ้มๆ
“ครับ” น่านนาวาตอบ พลางมองตามหลังมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ที่ขับเคลื่อนออกไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เรือนใหญ่...
เสกสรรขับรถเข้ามาจอดด้านหน้าของเรือน พอดีกับที่ไทเลอร์มาถึง
“เจมส์” เสกสรรตะโกนเรียกคนสนิท พร้อมกับชี้ที่หัว
“ครับ” ไทเลอร์พยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบหมวกกันน็อกให้ผู้เป็นนายและคนที่ซ้อนท้ายอย่างรู้งาน
“เดี๋ยวแกให้คนไปรับน่านนาวาที่ไร่องุ่น แล้วก็บอกคุณยายว่าฉันพาน้องแพรไปทำธุระในเมือง” เสกสรรบอกพร้อมกับรับหมวกกันน็อกมาใส่ให้สาวเจ้า
“ได้ครับบอส” ไทเลอร์ตอบก่อนจะส่งยิ้มให้แพรลานนา
“ไปทำอะไรมาคะ เปียกหมดเลย” แพรลานนาถามคนสนิทของอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“อากาศมันร้อนน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ” ไทเลอร์หัวเราะอย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“อ๋อค่ะ” คนที่ไม่รู้สถานการณ์พยักหน้ารับอย่างมึนๆ
“น้องแพรกอดเอวพี่ด้วยค่ะ” เสกสรรรีบตัดบทการสนทนา ก่อนจะสตาร์ตเครื่อง
“ค่ะ” แพรลานนารีบขยับกอดเอวหนา เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำเธอหล่นกลางทาง
Rofwell Grand Hotel…
สามสิบนาทีต่อมา...เสกสรรขับรถเข้าไปจอดด้านหน้าโรงแรมของครอบครัว ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงของเชียงใหม่
แพรลานนาขยับลงจากรถอย่างรู้สึกอายๆ กับสายตาของเหล่าพนักงานที่มองมา หลังจากที่เห็นเสกสรรถอดหมวกกันน็อกออก
ชายหนุ่มหันมาปลดล็อกหมวกกันน็อกออกให้สาวเจ้า แล้วส่งต่อให้พนักงานที่พากันวิ่งเข้ามาต้อนรับอย่างจ้าละหวั่น เมื่อเห็นลูกชายเจ้าของโรงแรมโผล่มาแบบไม่บอกไม่กล่าว
“สวัสดีครับคุณแดเนียล สวัสดีครับคุณแพร” ผู้จัดการโรงแรมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ลุงปีแอร์มาถึงหรือยัง ?” เสกสรรถามถึงคนที่นัดไว้ ขณะที่แพรลานนายกมือรับไหว้พนักงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะมาที่นี่กับเพียงดาวบ่อยๆ
“คุณปีแอร์รออยู่ที่ชั้นบนครับ”
“ไปค่ะน้องแพร” เสกสรรพยักหน้าให้อีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหันไปประคองสาวข้างกายให้ออกเดินไปยังลิฟต์ ร่างบางตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันใดกับการกระทำของคนหน้ามึน
ทันทีที่ลิฟต์ไปถึงชั้นบนสุด ซึ่งออกแบบเอาไว้สำหรับพักอย่างเป็นส่วนตัว เฉพาะคนสนิทและครอบครัว เสกสรรกดรหัสที่หน้าห้อง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน ก็เจอปีแอร์ บาร์ตั้น ชายวัยหกสิบปีที่เป็นคนสนิทของบิดา นั่งจิบกาแฟรออยู่ตรงโต๊ะรับแขกด้วยท่าทีสบายๆ
“สวัสดีครับลุงปีแอร์ ขอบคุณที่มาครับ” เสกสรรยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายทันที
“ของสำคัญต้องส่งมอบด้วยตัวเองครับ อ๊ะ แล้วนี่ใช่คุณแพรลานนาหรือเปล่าครับ” ปีแอร์ตอบก่อนจะหันไปมองสาวน้อยที่มาด้วยอย่างดีใจ
“สวัสดีค่ะลุงปีแอร์ แพรเองค่ะ” แพรลานนายกมือไหว้พร้อมกับยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้เจอมาหลายปี
“คุณแพรสวยขึ้นจนผมจำแทบไม่ได้แน่ะครับ” ปีแอร์เอ่ยชม
“เอ่อ...แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ท่านทราบไหมครับ เรื่องที่...” เสกสรรเอ่ยถามเรื่องสำคัญก่อนจะค้างไว้...ราวกับไม่อยากให้สาวเจ้ารู้
“ท่านทั้งสองทราบแล้วครับ แต่ที่ท่านอยากรู้ก็คือเธอคนนั้นเป็นใคร”
ปีแอร์ถามอย่างข้องใจ เพราะชายหนุ่มโทร. ไปขอแหวนเพชรที่ผู้เป็นนายสั่งทำไว้ให้กับบุตรชายทั้งสอง เพื่อขอผู้หญิงที่ตนรักแต่งงาน
สี่ปีก่อน...ที่คฤหาสน์ ร็อฟเวลล์ ประเทศอังกฤษ
‘ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้ครับ เพราะทุกวันนี้โอเคกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นแล้ว ผมไม่ต้องการให้ใครมาผูกมัดชีวิตที่แสนจะอิสระของผมครับ’
เสกสรรให้เหตุผลเสร็จก็ขอตัวออกไปโทรศัพท์ จากนั้นก็ขับรถออกไปโดยไม่ได้อยู่ร่วมทานอาหารมื้อค่ำกับครอบครัว
‘ผู้หญิงก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ผมต้องการพวกเธอแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่ได้ต้องการให้อยู่กับผมไปตลอดชีวิต ขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมนัดกับอลันเอาไว้’ คารอสพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องอาหารไปอย่างเร่งรีบ
แต่เมื่อสองคืนก่อนปีแอร์เพิ่งได้รับสายจากไทเลอร์ผู้เป็นลูกชายว่าเสกสรรต้องการแหวน และชุดเครื่องเพชรจำนวนหนึ่งที่อยู่ในเซฟภายในคฤหาสน์ร็อฟเวลล์ ตนจึงต้องนั่งเครื่องบินด่วนมาส่งมอบของสำคัญด้วยตัวเอง
“ก็...” เสกสรรเอ่ยค้าง แล้วหันมามองสาวที่ยืนข้างๆ แทนคำตอบ “เดี๋ยวค่ำๆ ผมจะโทร. ไปคุยรายละเอียดกับคุณพ่อครับ”
แพรลานนาไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน
“ครับ” ปีแอร์ยิ้มก่อนจะส่งกระเป๋าให้กับบุตรชายของเจ้านาย
“ขอบคุณครับ อ้อ เจมส์อยู่ที่ไร่นะครับตอนนี้” เสกสรรรับกระเป๋าเอามาถือไว้ก่อนจะบอกกล่าวอีกฝ่าย
“อ้าว ผมนึกว่าเจมส์ดูงานที่ดูไบซะอีก” ปีแอร์ตกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าลูกชายก็อยู่ที่นี่
“พอดีผมให้มาทำงานสำคัญน่ะครับ”
“งั้นผมถือโอกาสเที่ยวเชียงใหม่กับลูกชายเลยนะครับ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมให้คนพาเที่ยว” เสกสรรเสนอพลางหันมาถามแพรลานนาที่ยืนฟังเงียบๆ มานาน
“น้องแพรจ๊ะ พอจะมีใครที่เป็นไกด์พาเที่ยวมั่งคะ”
“ให้น้ำมนต์ พาเที่ยวดีไหมคะ” แพรลานนาเสนอคนสนิทไป
“ว้าว ขอบคุณมากๆ ครับ” ปีแอร์รีบเอ่ยขอบคุณ
“แล้วลุงปีแอร์จะพักที่โรงแรมหรือที่ไร่ครับ ผมจะได้ให้เขาเตรียมห้องให้” เสกสรรเอ่ยถาม
“ผมพักที่โรงแรมดีกว่าครับ พรุ่งนี้ตอนสายๆ ต้องนั่งเครื่องกลับแล้ว”
“โอเคครับ ขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะครับ”
“ได้ครับ ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับคุณต้อม ผมไปก่อนนะครับคุณแพร”
ปีแอร์เอ่ยลาทั้งสอง
“แล้วเจอกันครับ” เสกสรรเอ่ยพร้อมกับจับมือกับปีแอร์
“แล้วเจอกันค่ะ” แพรลานนายกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างอ่อนน้อม ปีแอร์รับไหว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากที่เสกสรรหิ้วกระเป๋าเดินเข้าไปยังห้องนอน แพรลานนาก็ขยับเข้าไปดูวิวด้านนอกตรงกระจก เธอไม่เคยขึ้นมาชั้นนี้เลยสักครั้ง เพราะปกติที่มาก็แค่แวะทานมื้อกลางวันกับเพื่อนๆ ที่ห้องอาหารด้านล่างเท่านั้น
เสกสรรเดินออกจากห้องก็เห็นสาวเจ้ายืนหันหลังมองดูวิวอยู่ด้านนอก จึงแอบมองสำรวจส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างเพลิดเพลิน
‘พระเจ้า เธอไม่รู้หรือว่ายืนชิดกระจกขนาดนั้น มันทำให้เขาจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว’
คนหน้าด้านเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะสอดมือเข้าไปรวบเอวบางเข้ามากอดแนบชิดตัว
“อุ๊ยพี่ต้อม ปล่อยแพรนะ ” แพรลานนาตกใจ รีบดึงมือหนาออกจากเอว
“ปล่อย ? ทำไมต้องปล่อยด้วยล่ะ หืม...” เสกสรรกดจูบลงตรงต้นคอระหงอย่างอดใจไม่ไหว
“อี๋ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไหนบอกว่ามีเรื่องจะเคลียร์ไง” แพรลานนาโวยวายก่อนจะผลักคนหน้ามึนออก แต่อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ
“รังเกียจผัวเหรอคะ” เสกสรรหยอกอย่างนึกสนุก
“พูดจาน่าเกลียด ตกลงจะเคลียร์อะไรคะ จะยกเลิกงานแต่งใช่ไหม ?”
“งั้นเข้าไปตอกย้ำเจตนารมณ์กันในห้องสักรอบสองรอบดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องถามพี่แบบนี้อีก ” เสกสรรเอ่ยจบก็ช้อนอุ้มสาวเจ้าเดินตรงเข้าห้องนอนทันที
“ไม่นะ ห้ามทำแบบนั้นอีกนะ ปล่อย ”
“ไม่ปล่อยค่ะ”
“ปล่อยนะ ปล่อย ฮือๆๆ” คนที่ทนรับอะไรหลายๆ อย่างมาทั้งวัน ปล่อยโฮออกมาอย่างเก็บไม่อยู่
ชายหนุ่มวางร่างบางลงบนเตียง พร้อมกับตามขึ้นทาบทับไม่ให้สาวเจ้าดิ้นหนี จากนั้นก็เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลให้อย่างเบามือ
“ชู่ว์ๆ ไม่ร้องนะคะ พี่แค่แกล้งเล่นเฉยๆ ค่ะ” เสกสรรปลอบอย่างรู้สึกผิด หลังจากที่เห็นท่าทางหวาดกลัว และสายตาที่มองมาราวกับว่าเขาเป็นฆาตกรโรคจิต
“คนบ้า จะเอายังไงก็ว่ามาเลย จะทนไม่ไหวแล้วนะ ฮือๆๆ” แพรลานนาระเบิดอารมณ์อย่างอัดอั้นตันใจ
“พี่ขอโทษ พี่แค่ไม่อยากให้เราหมางเมินกันแบบนี้ ทั้งๆ ที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว” คนหน้ามึนเอ่ยต่อด้วยถ้อยคำที่ฟังดูคล้ายคนรักง้องอน
“มันเป็นงานแต่งที่แพรไม่เต็มใจสักนิดเดียว ฮือๆ”
“แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราไม่แต่งทั้งๆ ที่เราได้กันไปหลายครั้ง คุณยายท่านจะคิดยังไงคะ” เสกสรรรีบชักแม่น้ำทุกๆ สายมารวมกัน
“...” คำพูดเมื่อครู่ทำให้คนที่กำลังร้องไห้อยู่ถึงกับหยุดชะงักไปทันใด
“ตอนนี้พี่ว่าเราต้องทำให้ท่านสบายใจ ถ้าท่านเห็นว่าเราฝืนใจแต่งงานกัน ท่านอาจจะตรอมใจ น้องแพรไม่สงสารไม่รักท่านเลยเหรอคะ” เสกสรรแอบยิ้มที่เห็นท่าทางคล้อยตามของสาวเจ้า จึงใช้วิชามารกล่อมต่อทันที
“พี่รู้ว่าที่ผ่านมาพี่ออกจะเจ้าชู้ไปสักหน่อย แต่ตอนนี้พี่...พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองแล้ว”
“สำส่อน ” คนที่เงียบมานานเอ่ยขัดขึ้น เหมือนรอจังหวะนี้อยู่แล้ว
“อะ...อะไรนะคะ” เสกสรรหน้าชาขึ้นมาทันใดกับคำพูดแว่วๆ ผ่านหู
“แบบพี่ต้อม ต้องเรียกว่าสำส่อนค่ะ” แพรลานาเอ่ยย้ำชัดๆ อีกครั้ง
“ให้ตายสิ ก็ได้ๆ สำส่อนก็สำส่อน แต่ตอนนี้พี่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว โอเค้ ?” เสกสรรกลอกตาอย่างเซ็งๆ จำใจยอมรับสิ่งที่สาวเจ้าหยิบยื่นให้
“พี่ต้อมไม่มีทางเปลี่ยนตัวเองได้หรอก ”
“ทำไมจะไม่ได้คะ ? น้องแพรยังไม่ได้ให้พี่พิสูจน์ตัวเองเลย ”
“ถ้างั้นพี่ต้อมต้องทำงานในไร่เหมือนกับคนงานคนอื่นๆ ถ้าพี่ต้อมทำได้ อีกสองเดือนเราค่อยมาตกลงกันเรื่องแต่งงานอีกทีค่ะ”
“พี่เป็นถึงหลานเจ้าของไร่นะแพร จะให้พี่ไปทำงานแบบคนอื่นๆ ได้ยังไง” เสกสรรรีบท้วงทันใด
“แพรฝันว่าอยากจะมีสามีที่ทำงานได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะงานหนักงานเบาก็สามารถทำได้ ไม่เคยคิดอยากได้สามีที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อมาร่วมชีวิตค่ะ ไอ้แบบที่ดีแต่ใช้เงินแต่งหล่อไปวันๆ มั่วผู้หญิงไปทั่วไม่ซ้ำหน้าอะไรแบบนั้นค่ะ”
“น้องแพรคะ พี่ก็มีด้านที่ดีค่ะ ไม่ได้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเหมือนที่น้องแพรพูดประชดสักนิด แล้วเรื่องเงินมันมีมาตั้งแต่พี่เกิด พี่ไม่ได้ดีแต่ใช้เงินไปวันๆ ค่ะ พี่ดูแลบริหารธุรกิจตั้งเยอะแยะ ปีหนึ่งฟันกำไรไปไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พันล้าน ส่วนเรื่องผู้หญิงมีเข้ามาก็มีผ่านไป พี่ไม่ได้คบใครจริงจังแพรก็รู้ แล้วเรื่องสุดท้าย...ต้องไปโทษพ่อกับแม่ของพี่ค่ะ ว่าทำกันยังไงพี่ถึงได้ออกมาหล่อบาดใจสาวๆ ไปทั่วแบบนี้”
“ไม่เห็นจะหล่อเลย”
“ติด 1 ใน 10 ของโลก นี่ยังไม่หล่ออีกเหรอคะ”
“เอาที่พี่ต้อมสบายใจเถอะค่ะ”
“แน่ใจนะว่าจะเอาที่พี่สบายใจน่ะ”
“บ้า ตกลงจะพิสูจน์ตัวเองหรือเปล่า ?”
“เดือนหนึ่งค่ะ สองเดือนมันนานไป ถ้าเดือนหนึ่งพี่ทำได้น้องแพรต้องแต่งงานกับพี่ทันที”
“งั้นเดือนครึ่งค่ะ พี่ต้อมจะต้องมารับตารางการทำงานที่แพรกำหนดให้ ถ้าพี่ต้อมทำได้ เราค่อยมาคุยเรื่องแต่งงานกันค่ะ”
“ก็ได้ค่ะ”
“อ้อ แล้วหลังจากนี้ไปจนครบกำหนดเดือนครึ่ง พี่ต้อมห้ามมาถูกเนื้อต้องตัวแพรเด็ดขาด ห้ามกอด ห้ามหอม ห้ามลวนลามเหมือนที่ทำแบบเมื่อกี้ แล้วก็ห้ามแสดงตัวหรือบอกใครๆ ว่า...ว่าเราเป็นอะไรกัน จนกว่าพี่ต้อมจะพิสูจน์ตัวเองได้”
“นี่ล้อพี่เล่นใช่ไหมเนี่ย ” เสกสรรหน้าตึงขึ้นมาทันใด
“พูดจริงๆ ค่ะ ถ้าพี่ต้อมทำไม่ได้ จะยกเลิกทุกอย่างตอนนี้ก็ได้นะคะ” เธอเอ่ยราวกับคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“ไม่มีทาง พี่จะทำตามทุกอย่าง แต่พี่ขออะไรแพรข้อหนึ่งได้ไหมคะ ?”
“ได้ค่ะ เว้นเรื่องบนเตียงและเรื่องที่แพรบอกห้ามไป”
“สัญญานะคะ ?” เสกสรรรีบขอคำมั่น
“สัญญาค่ะ” แพรลานนาตอบรับด้วยสีหน้านิ่ง
“สิ่งที่พี่จะขอไม่ผิดกับข้อที่น้องแพรห้ามไว้หรอกค่ะ”
“แล้วอะไรล่ะคะ” แพรลานนาเริ่มสงสัยขึ้นมานิดๆ
“ทุกคืนก่อนนอน แพรจะต้องมาให้พี่ต้อมจูบกู๊ดไนต์คิสค่ะ ง่ายๆ ข้อเดียวแค่นี้เอง” เสกสรรจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มด้วยสายตาสื่อความหมาย ทำเอาคนที่ได้ฟังถึงกับตัวแข็งไปสามวินาที
‘จูบกู๊ดไนต์คิสทุกคืนก่อนนอนยังงั้นเหรอ ?’
เขายิ้มกว้างอย่างถูกใจ กับท่าทางของสาวที่อยู่ใต้ร่าง ก่อนจะเอ่ยทวนให้ฟังชัดๆ ทีละประโยคอีกครั้ง
“ห้ามถูกเนื้อต้องตัว ห้ามกอด ห้ามหอม ห้ามลวนลาม แล้วก็ห้ามแสดงตัวหรือบอกใครๆ ว่าเราเป็นอะไรกัน จนกว่าพี่จะพิสูจน์ตัวเองได้ แต่น้องแพรไม่ได้ห้ามพี่จูบนะคะ อ้อ แล้วที่บอกว่าให้งดเรื่องบนเตียง ข้อนี้เอาเป็นว่าพี่จะไม่เข้าหาน้องแพรก่อนค่ะ”
‘พระเจ้า มีผู้ชายหน้ามึนกว่านี้อีกไหมเนี่ย ’ แพรลานนาถามตัวเองในใจอย่างมึนงง ไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เธอพลาดอะไรไป
“ไงคะ พูดไม่ออกเลยเหรอ ?”
“ก็...”
“ทีน้องแพรขอนั่นขอนี่พี่ตั้งหลายข้อ พี่ยังไม่ค้านเลย นี่พี่ขอแค่ข้อเดียว ให้ไม่ได้เหรอคะ”
“แต่ว่ามัน...” ก็อยู่ในข้อลวนลามไม่ใช่เหรอ แพรลานพยายามเอ่ยท้วง
“ไม่มีแต่ค่ะ สัญญามันก็ต้องมีทั้งได้และเสีย” เสกสรรยิ้มกริ่มในใจพลางคิดว่าจูบคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นการถอดเสื้อผ้า...
“ก็ได้ค่ะ แต่วันนี้ไม่นับนะคะ เริ่มทุกอย่างพรุ่งนี้” แพรลานนาบอก ก่อนจะต่อว่าคนหื่นในใจ ‘เจ้าเล่ห์นักนะอีตาหื่นนี่ เดี๋ยวเถอะ เธอจะใช้ทำงานให้หนัก จะเอาให้ไม่มีแรงมาจูบกู๊ดไนต์คิสเลยคอยดู ’
“ได้ทุกอย่างที่ขอค่ะสาวน้อย” เสกสรรแทบจะจุดพลุกับคำตอบของสาวเจ้า ‘วันนี้ไม่นับ แบบนี้ก็เข้าทางสิ’
“เอ่อ...”
“มีอะไรอีกคะ ?”
“มีค่ะ ช่วยออกไปจากตัวของแพรที” แพรลานนาบอกคนที่นอนคร่อมเธออยู่ด้วยสายตาขุ่นเคือง
“วันนี้เราไปดินเนอร์ฉลองกับการเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะคะ” เสกสรรเอ่ยชวนอย่างอารมณ์ดี ก่อนขยับออกจากตัวของสาวเจ้าอย่างแสนเสียดาย
‘นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าขึ้นสังเวียนแล้ว แต่ไม่ได้ชก ความรู้สึกมันเจ็บปวดไปจนถึงแก่นกลางลำตัวเลยทีเดียว’
“ตอนไหนคะ” แพรลานนาถามอย่างชั่งใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก
“สักทุ่มหนึ่งเป็นไงคะ”
“เอ่อ...” แพรลานนาลังเล กลัวจะกลับเข้าไร่ดึกแล้วเพียงดาวจะเป็นห่วง แถมคนตรงหน้าก็ท่าทางหื่นใช่ย่อย
“นะคะน้องแพร ไหนๆ พรุ่งนี้พี่ก็จะเป็นทาสรับใช้น้องแพรแล้ว” เสกสรรอ้อนต่อ
“ก็ได้ค่ะ แต่ไม่กลับดึกนะคะ แพรกลัวคุณเพียงจะเป็นห่วง” แพรลานนากำชับอีกฝ่าย
“ครับผม” เสกสรรยิ้มกริ่มอย่างชอบใจ ‘ไม่กลับดึก แต่กลับเช้าจ้ะ’