บทที่12.3 พี่ชายท่านนั้น3

1739 คำ
หลังกลับมาจากในเมือง ฉีหรงพี่ชายคนโตและฉีมู่พี่ชายคนที่สี่ วุ่นวายกับการส่งข้าวเข้าเมือง แน่นอนคนที่วุ่นวายที่สุดเห็นจะเป็นฉีหราน เพราะนางเป็นคนที่ต้องคอยเติมเสบียงไว้ในโกดัง แล้วยังต้องไปติดต่อเรื่องที่ดิน และการสร้างบ้านทาสกับฉีหยงอีกด้วย โชคดีที่ตอนนี้ในบ้านฉีมีพี่สะใภ้คอยดูแลนางฉีหนิง แต่ก็ยังเป็นคนท้องและคนป่วยดูแลกันเอง ด้วยเหตุนี้เพื่อความปลอดภัยจึงต้องให้ ฉีปิงพี่ชายคนที่ห้า และฉีปั๋วน้องชายคนที่หกอยู่บ้านก่อนในช่วงนี้ ส่วนพี่รองฉีเล่อ และพี่สามฉีเมิ่งถูกส่งไปดูแลทาสที่ฉีหรานซื้อมาจากในเมือง โดยช่วยกันก่อเพิงอยู่อาศัยขึ้นมาก่อน3เพิง สำหรับสามครอบครัว ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็เสร็จสิ้น หลังจากนั้นพี่รองและพี่สาม จะคอยควบคุมพาทาสถางทุ่ง บุกเบิกพื้นที่เพิ่มสำหรับสร้างคอกวัวให้ฉีหราน หลังจากนั้นราวห้าวันในที่สุดฉีหยงก็ว่างพาฉีหรานไปติดต่อซื้อวัวเสียที คนที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นระบบ ทำเอาฉีหรานหมั่นไส้จนอยากจะปิดการติดต่อเลยทีเดียว “โจวซู่ มาจากหมู่บ้านใบหลิวทางใต้ของเมืองใช่มั้ย?” ฉีหยงถามย้ำข้อมูลของคนขายวัว วันนี้เขานำทาสชายมาด้วยสี่คนเพื่อให้ช่วยกันต้อนวัว และพาคนสนิทที่ไว้ใจได้มาช่วยขับรถม้าให้ลูกสาวนั่ง “เจ้าค่ะท่านพ่อ” “ทางใต้ของเมืองจริงหรือ พ่อได้ยินว่าทางใต้ของเมืองมีปัญหาอยู่” “มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” “เรื่องผู้อพยพ” ฉีหยงครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “แต่คงไม่มีปัญหาไปถึงสกุลโจวผู้นั้น” “จะว่าไป ผู้อพยพในปีนี้ทำไมจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเลยเจ้าคะ” ฉีหรานเม้มปากแน่นเมื่อมองออกนอกหน้าต่างรถม้า ตอนนี้มีผู้อพยพมุ่งหน้าเข้าเมืองมากขึ้นเรื่อยๆเลย “ได้ยินว่าทางตอนใต้มีอุทกภัย อีกนับเดือนจึงจะสามารถกลับไปอยู่อาศัยได้ปกติ” “รุนแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ” “เรื่องเสบียงของทหารก็กำลังลำบากทีเดียว”ฉีหยงมีสีหน้าไม่ดีนักเมื่อพูดถึงตรงนี้ เพียงแต่ฉีหรานไม่ทันมองเห็นเพราะนางไม่รู้วิธีดูอารมณ์ของบิดาเท่าใดนัก “พูดถึงผู้อพยพ ข้าเหมือนเห็นคนที่รู้จักในกลุ่มผู้อพยพด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อ” “ใคร?” ฉีหยงถามบุตรสาวอย่างไม่สนใจนัก “พี่ชายเจียงเจ้าค่ะ” “เจียง…เจียงจุ้นหรือ?” เด็กบ้านฉีคนอื่นอาจไม่คุ้นเคยกับ ‘พี่ชายเจียง’ ในปากของฉีหราน แต่ฉีหยงนั้นแตกต่างออกไป เพราะเจียงจุ้นคอยดูแลกิจการอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งให้ตระกูลฉีในชีวิตก่อน ตั้งแต่ฉีหรานยังไม่สามารถแลกข้าวได้จนถึงตอนที่บ้านฉีเริ่มค้าข้าว “เจ้าค่ะ ข้าพบพี่ชายที่เป็นผู้อพยพ แต่ข้า…ไม่แน่ใจนัก พี่ชายดูแตกต่างเล็กน้อย ข้าอาจจะเข้าใจผิด” ฉีหรานไม่แน่ใจเท่าไหร่ นางจำพี่ชายท่านนั้นไม่ค่อยได้เช่นกัน อย่างไรก็มีความทรงจำกับเขาเพียงไม่กี่เดือน “ข้าจะลองตามหาดู ตอนนี้อาเจียงน่าจะเสียชีวิตในสนามรบแล้ว” อาเจียงที่ฉีหยงพูดถึงคือสหายของเขาเอง ซ้ำยังเป็นสหายสนิทอย่างยิ่ง “ท่านพ่อ…แล้วหากป้าหลันกับพี่ชายเข้ามา ท่านแม่จะ…เอ่อ” ฉีหรานกังวลเรื่องนี้เล็กน้อย นี่เป็นอีกเหตุผลที่นางชั่งใจและไม่ได้บอกกับบิดาทันทีที่พบพี่ชาย นางกลัวว่าบ้านฉีจะเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง ฉีหรานไม่ต้องการให้ทุกสิ่งที่สั่นคลอนความสุขของครอบครัวเข้ามาในชีวิต แม้จะเป็นผู้มีพระคุณก็ตามที “เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อน ยังไม่เกิดขึ้นในชีวิตนี้” ฉีหยงยกมือขึ้นชะงักเล็กน้อย ก่อนวางบนเรือนผมของบุตรสาว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้จริงๆ ใบหูของชายหนุ่มผู้เย็นชาจึงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องคิดมาก พ่อจะระมัดระวัง” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ฉีหรานก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นของตนเอง แท้จริงแล้วนางเฝ้ารอที่จะได้รับความรักจากท่านพ่อเช่นกัน นี่เป็นสัญญาณที่ดีใช่หรือไม่? รถม้าหยุดลงพร้อมเสียงเคาะประตูเบาๆ ฉีหยงเดินนำลงไปก่อน เขาเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายจากบ้านของโจวซู่ทันทีที่พบ ภายในรั้วบ้านสูงเพียงเอว มีบ้านหลังเล็กๆแต่ดูมั่นคงอยู่หลังหนึ่ง แต่ตอนนี้มีผู้คนแออัดอยู่ในลานบ้าน ยังมีทหารอยู่สองนายอีกด้วย “อย่าเอาลูกของเราไปเลยเจ้าค่ะนายท่าน” หญิงสาววัยกลางคนคุกเข่าอยู่บนพื้น เช่นเดียวกับชายวัยกลางคนที่ฉีหรานจำได้ว่าเขาคือโจวซู่ กำลังดึงรั้งเด็กหนุ่มสองคนเอาไว้ข้างกาย ฉีหรานจำได้ว่าเด็กคนหนึ่งในนั้นคือพี่ชายที่ขายวัวให้นางนั่นเอง “จะเอาวัวพวกเจ้าก็ไม่ยอม จะเอาคนพวกเจ้าก็ไม่ยอม อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย” “นายท่าน วัวนี้มีคนจองแล้วจริงๆ พวกเราให้วัวพวกท่านไปหมดคอกแล้ว ก็เหลือแค่สี่ตัวนี้เท่านั้น จะเอาคนไปแทนถึงสองคนได้อย่างไรเจ้าคะ” นางโจวยังคงพูดออกมาอย่างชัดเจน แม้จะมีสีหน้าซีดเผือดมากก็ตามที ฉีหรานเบิกตากว้าง โชคดีจริงๆที่นางให้พี่ชายไปจ่ายมัดจำจองวัวไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นมาถึงวันนี้วัวก็อาจจะไม่อยู่ เงินก็อาจจะไม่ได้คืน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” คนสนิทของฉีหยงเอ่ยปากถาม “นายท่าน พวกท่านมาแล้ว” โจวซู่ราวกับเห็นแสงสว่าง เขาปล่อยลูกชายและหันไปคารวะให้ฉีหยงทันที “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือสหายทั้งหลาย” คนสนิทหันไปถามนายทหารทั้งสองแทนที่ “น้องชาย บ้านโจวนี้ติดหนี้ทางการจำนวนหนึ่งและไม่มีจ่ายในปีนี้ จึงต้องโดนยึดทรัพย์ แต่เมื่อไม่มีทรัพย์กฎเป็นอย่างไรต่อไปเจ้าก็ย่อมรู้” “พี่ชายทหาร แท้จริงพวกเราเองที่เป็นคนติดต่อซื้อวัวสี่ตัวนั้นกับท่านโจวซู่ ไม่ทราบว่าหนี้สินของท่านโจวนั้นมีเท่าใดหรือ” “เอาหนังสือไปดูเองเถอะน้องชาย” ทหารยื่นหนังสือกู้ยืมให้คนสนิทดู เขาดูจบก็ส่งคืนด้วยท่าทีสุภาพก่อนหันกลับมากระซิบฉีหยง “นายท่าน คนสกุลโจวติดหนี้ทางการอยู่หกสิบตำลึงเงินขอรับ” “อาหรานคิดว่ายังไง” ฉีหยงหันไปถามบุตรสาว วัวสี่ตัวมีราคาสิบหกเงิน แม้จ่ายค่าวัวไปก็คงช่วยเหลือสกุลโจวไม่ได้ “ข้าคิดว่าควรช่วยพวกเขา แล้วจ้างพวกเขาไปดูแลวัวของเราดีมั้ยเจ้าคะท่านพ่อ อย่างไรเขาก็เลี้ยงวัวอยู่แล้ว เราจะได้ไม่ต้องหาคนมาดูแลวัวเหล่านี้ด้วย” “เอาล่ะ พ่อเห็นด้วย” ฉีหยงหันไปพูดกับโจวซู่ “ท่านโจว ข้าจะช่วยเหลือท่านแลกกับการให้ท่านมาเลี้ยงวัวให้ข้า ท่านสนใจหรือไม่?” “แน่นอน แน่นอนเจ้าค่ะนายท่าน ท่านพี่ตอบตกลงเถอะเจ้าค่ะ” นางโจวรีบตกลงทันที เพราะนางไม่เห็นทางรอดอื่นอีกแล้ว “ตก..ตกลงขอรับ ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน” โจวซู่ยังอึ้งอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบรับออกมา พร้อมกับพาลูกชายทั้งสองและภรรยาคำนับขอบคุณทันที “ท่านลุงอย่าทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ฉีหรานรีบเดินเบี่ยงไปอีกด้าน ก่อนคนสนินของฉีหยงจะรีบไปประคองให้โจวซู่ลุกขึ้น ก่อนไปติดต่อทำเรื่องกับทหารทั้งสองนาย “คุณหนูนั่นเอง” เด็กหนุ่มที่ดูโตกว่าเอ่ยทักทาย เขาจำฉีหรานได้เพราะนางมีหน้าตาน่ารักจดจำได้ง่าย นางคือคนที่มาซื้อวัวในร้านของเขาครั้งก่อนนั่นเอง เพราะในภายหลังผู้ที่ส่งเงินมัดจำวัวเป็นฉีหรงเขาจึงไม่รู้ว่านางเป็นคนซื้อ “พี่ชาย” ฉีหรานทักทายเขา ครอบครัวโจวขอบคุณฉีหยงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ต้องตกลงกันให้ดีว่าจะชำระหนี้อย่างไร กลายเป็นสัญญาจ้างงานห้าปี โดยฝ่ายผู้ถูกจ้างจะไม่สามารถยกเลิกก่อนได้ ซึ่งดีกว่าเป็นทาส แต่ก็จะได้รับเงินค่าจ้างเล็กน้อยเท่านั้นหลังหักหนี้ ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ครอบครัวโจวติดหนี้ชีวิต เพราะคนเป็นทาสจะพ้นสถานะได้ไม่ง่ายเลย จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อปลดฐานะทาสกับทางการ ไม่ใช่ว่าเจ้านายต้องการปลดปล่อยทาสก็ทำได้ง่ายๆ วันนี้ฉีหรานจึงเดินทางกลับบ้านพร้อมวัวจำนวนสิบสองตัว เป็นวัวพันธุ์พิเศษสี่ตัว และพันธุ์อื่นๆอีกแปดตัว ซึ่งบ้านโจวยินดีขายวัวทั้งหมดให้บ้านฉี และพวกเขาได้เงินเก็บมาก้อนหนึ่ง . เมื่อถึงต้นใบไม้ผลิบ้านฉีก็ติดต่อเช่าภูเขาเป็นเวลาสิบปีก่อนและขอเป็นสิทธิ์พิเศษที่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกปีละหลายตำลึงเงินเพื่อสามารถเช่าต่อเนื่องได้โดยไม่มีคนมาแย่งสัมปทาน ชาวบ้านลือว่าบ้านฉีโง่เพราะป่ารอบๆชาวบ้านส่วนใหญ่ตัดไม้มีค่าไปขายในเมืองหมดแล้ว ป่านั้นไม่มีอะไรต้นผลไม้ยังไม่มีเลย พวกเขาไม่คิดว่าบ้านฉีจะปลูกผลไม้เองแม้แต่น้อย เพราะกล้าผลไม้เป็นของหายาก ฉีหรานกลับสามารถหากล้าผลไม้มาได้จำนวนมากบ้านฉีจึงไม่มีปัญหานี้ เมื่อเข้าใบไม้ผลิก็เริ่มทำงานได้ทันที ทั้งถางทุ่งใหม่ สร้างคอกวัว และปลูกผลไม้และจินในพื้นที่ภูเขาด้านหลัง ดูเหมือนบ้านฉีกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีจริงๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม