บทที่2.2 รักษามารดา2

3199 คำ
ฉีหรานลงจากเขาอย่างพึงพอใจ คราวนี้พืชล้ำค่าที่พบมีเพียง 4% แต่เป็นพืชที่โตแล้ว มันถูกเรียกว่า ‘จิน’ เป็นพืชที่มีสีเหลืองเหมือนทอง เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใบ ลำต้น และเหง้า ใช้เป็นยาได้ เป็นพืชตระกูลขิง แต่จินนี้ล้ำค่า ชาวบ้านรู้ดีว่ามันสามารถขายได้ในเมือง หนึ่งจินมีมากกว่าหนึ่งเงินสำหรับเหง้า แต่ใบและลำต้นนั้นถูกกว่าและต้องการตากแห้ง [จินสามารถใช้ลำต้นแทนตะไคร้ได้ และใช้ใบแทนต้นหอม จากที่ที่ระบบจากมา ตะไคร้คือเครื่องเทศ และต้นหอมเป็นผัก] ‘แปลว่าใบมันกินแทนผักได้ ส่วนลำต้นก็ใช้เป็นเครื่องเทศต้มกับเนื้อ’ [ใช่ ตะไคร้ช่วยดับกลิ่นคาวของปลาและเนื้อสัตว์ ต้นหอมในที่นั้นใช้สำหรับโรยหน้า ไม่ใส่ในอาหารเยอะเกินไป] ฉีหรานพอจะเข้าใจ ดูเหมือนมันจะคล้ายกับใบมิ้นต์หลังบ้าน สามารถใส่บนอาหารได้ แต่ไม่ใส่มากเกินไป นางยังได้ลองบิดใบจินมาดมกลิ่นและพบว่ามีกลิ่นแรงเหมือนมิ้นต์จริงๆ แต่เป็นกลิ่นที่เหม็นเขียวยิ่งกว่า อย่างไรก็ตามเหง้าเป็นที่ต้องการมากในเมือง ลำต้นก็สามารถตากแห้งเพื่อขายให้ร้านขายยาได้ [เนื่องจากมันคล้ายตะไคร้จึงมีฤทธิ์เหมือนกัน สามารถจุดไฟเพื่อไล่ยุงและแมลงได้] ความจริงระบบต้องการแนะนำมากกว่านี้ แต่ฉีหรานโง่มากและเทคโนโลยีไม่สามารถรวมกับยุคดึกดำบรรพ์ได้ มันยอมแพ้ตั้งแต่ชีวิตก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้ยินระบบพูดเช่นนั้นฉีหรานก็มีความคิดขึ้นมา ผู้คนไม่เคยรู้ข้อดีนี้ของลำต้นจิน พวกเขาใช้มันเป็นเครื่องเทศและยาเล็กน้อยเท่านั้น หากนางแปรรูปในแบบอื่นและขายเป็นอุปกรณ์จุดเพื่อไล่ยุง จะต้องขายได้แน่นอน คิดได้อย่างนั้นฉีหรานก็ดีใจที่นางขุดจินมาได้หลายเหง้า ระบบยังช่วยแนะนำวิธีปลูกและดูแลพืชได้หลายชนิด แต่นั่นเป็นเทคโนโลยีจากยุคอนาคต ดังนั้นบางอย่างก็ทำไม่ได้ที่นี่ และฉีหรานต้องหาวิธีแก้ปัญหานั้นเอง ฉีหรานกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี นางส่งจินเข้าไปในระบบเพียงต้นเดียวพร้อมกับพืชอื่นๆ ก่อนจะเข้าครัวเพื่อทำอาหารให้มารดา โดยใส่จินลงไปในข้าวต้มตามสูตรที่ระบบให้มา [คราวหน้าทำโจ๊กก็ดีเหมือนกัน] ระบบกล่าวพร้อมทั้งเรียกรูปภาพโจ๊กให้นางดู ฉีหรานมองพร้อมทั้งน้ำลายไหลลงมาอย่างอดไม่อยู่ ข้าวสีขาวที่ถูกบดจนเนียนนั้นสวยมากจริงๆ ‘นี่ใช้ข้าวมากแค่ไหน’ [โจ๊กย่อยง่ายและเหมาะกับแม่ของเจ้านายมากกว่า ทำให้กินได้เยอะ และช่วยบำรุงร่างกายได้มากกว่า] ‘..’ฉีหรานตระหนักได้ถึงข้อดี จึงบอกให้ระบบช่วยหาวิธีทำ และได้รับสูตรคร่าวๆมาเท่านั้น หญิงสาวตั้งใจจะลองทำโจ๊กดูในช่วงบ่าย ดังนั้นตอนบ่ายพี่และน้องชายฉี จึงขึ้นเขาโดยไม่มีฉีหรานติดตาม ระหว่างที่คนหม้อข้าว ฉีหรานก็ได้ยินเสียงระบบพูดขึ้นในตอนบ่ายแก่ [วิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสิ้น โปรดตรวจสอบ] นางเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองวิเคราะห์อะไรไว้ เมื่อเปิดระบบดูจึงจำได้ว่าเป็นข้อมูลของร่างกายมารดา ‘อย่างนี้แปลว่าอะไร’ ฉีหรานมองศัพท์เฉพาะที่นางไม่รู้จัก ความจริงข้อมูลที่ระบบส่งให้ส่วนมากมักจะล้ำหน้าไปมาก แต่อย่างน้อยยังถูกแปลให้เป็นภาษาที่นางคุ้นเคย แต่ศัพท์ทางการแพทย์ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถคุ้นเคยได้ แม้จะถูกปรับเปลี่ยนมาใช้ศัพท์ของยุคนี้แล้วก็ยังไม่เข้าใจ ระบบรู้เรื่องนั้นและเริ่มอธิบาย ฉีหรานจึงฟังไปด้วยคนโจ๊กในหม้อไปด้วยตามคำแนะนำของระบบ เพื่อไม่ให้ข้าวติดก้นหม้อและไหม้ [จากการวิเคราะห์ผลออกมาว่าแม่ของเจ้านายมีอาการป่วยเรื้อรัง ส่งผลให้ร่างกายทำงานยาก ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากพูดตามภาษาของที่นี่กล่าวได้ว่าหยินและหยางปั่นป่วน ทำให้ร่างกายไม่สมดุล] ฉีหรานฟังบทวิเคราะห์และเคร่งเครียดขึ้นมา หากเป็นเพียงร่างกายบาดเจ็บ เจ็บป่วยหรือเป็นหวัด นางยังสามารถใช้ยาสองชิ้นในระบบได้ ฉีหรานรู้ดีว่าการแลกเปลี่ยนจะมีราคาสูงขึ้น หากมองหาสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ระบบเปิดให้เลือกซื้อ อย่างไรก็ตามสุขภาพของมารดาอ่อนแอ อาการป่วยก็หนักหนาเกินไป คะแนนพันสองพันแต้มไม่น่าแลกยาออกมาได้ ‘ต้องใช้แต้มเท่าไหร่เพื่อซื้อยารักษาอาการของท่านแม่’ [เรียนเจ้านาย ดูจากอาการป่วยของท่านแม่แล้ว เลือกซื้อยาครอบจักรวาลเวอร์ชั่นหนึ่งได้เท่านั้น แต่ในระดับนี้ยังไม่เปิดให้ซื้อได้ และมีราคามากกว่า9แสนแต้ม] ฉีหรานขมวดคิ้วทันที เป็นอย่างที่คิดอาการป่วยของมารดาหนักหนาเกินไปจริงๆ ‘มีวิธีอื่นมั้ย’ อาการป่วยของท่านแม่รอไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าหนึ่งส่วนนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ฉีหรานยังจำได้ว่าเป็นภายในปีนี้ หากวัดจากอายุของพี่น้องในครอบครัว [แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากเสริมภูมิคุ้มกันได้อาการป่วยจะไม่เป็นอะไรสักพักหนึ่ง มียาสองตัวได้รับการแนะนำ กระปุกหนึ่งอยู่ที่ห้าพันเป็นวิตามินเสริม อีกกระปุกหนึ่งหนึ่งหมื่นใช้สำหรับช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน] กล่าวได้ว่าอาการป่วยของนางฉีนั้นไม่สามารถรักษาให้หายได้ในยุคนี้ อย่างมากก็ทำได้เพียงประคองอาการไปเรื่อยๆเท่านั้น ฉีหรานเข้าใจดี ตอนนี้ขอเพียงประคองอาการได้ก็เพียงพอแล้ว หญิงสาวเชื่อว่าตนเองจะหาแต้มได้มากพอภายในปีนี้หรือต้นปีหน้าแน่นอน คิดเช่นนั้นนางก็ต้องหนักใจอีกครั้ง ‘ขอยืมคะแนนก่อนได้มั้ย’ ยิ่งรักษามารดาได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แม้ทำเพียงยื้ออาการเท่านั้นก็ตาม [แน่นอน คิดดอกเบี้ย ปีนี้เจ้านายยังไม่ได้ใช้โควต้า] ฉีหรานไม่ค่อยเข้าใจ แต่รู้ว่าตัวเองสามารถยืมแต้มได้ทุกปีและต้องจ่ายคืนก่อนสิ้นปี หากจ่ายคืนไม่ได้ปีหน้าจะไม่มีให้ยืมอีก ‘ยืม!’ ฉีหรานตัดสินใจเด็ดขาด [หนึ่งกระปุกกินได้สามเดือน นี่คุ้มค่า] ระบบกล่าวปลอบใจ ก่อนฉีหรานจะเห็นยาสองกระปุกในช่องเก็บของระบบ แถมยังเป็นกระปุกไม้ไผ่อีกด้วยเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย [แนะนำให้เก็บไว้ในช่องเก็บของระบบ เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ไม่เหมาะสมและอาจทำให้เกิดความชื้นได้] ‘ตกลง แค่มียาให้ท่านแม่ก็พอแล้ว’ ฉีหรานตื่นเต้น เรียกยาออกมาอย่างละเม็ด [ไม่ๆ เจ้านายอ่านฉลากยาด้วย ยานี้กินเพียงวันละเม็ดสองชนิดสองเม็ดเช้าและเย็นหลังอาหารเท่านั้น] ‘ไม่รีบบอก’ ฉีหรานทำหน้ามุ่ย นางรู้ว่าเรื่องพวกนี้สำคัญ หมอเฒ่ายังบอกเวลากินยาของมารดาทุกครั้ง บางครั้งก็เปลี่ยนจากหลังอาหารเย็นเป็นก่อนนอน ดังนั้นนางจึงให้ความสำคัญมาก หลังจากเคี่ยวโจ๊กจนได้ที่ ฉีหรานก็นำหม้อขึ้นตั้งใหม่และปรุงอาหารเย็นสำหรับครอบครัว กว่าจะเสร็จพี่ใหญ่และพี่สามที่ไปในเมืองก็กลับมาแล้ว ใบหน้าของพวกเขาอ่อนล้าเล็กน้อย หมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากเมืองมาก แต่มีภูเขาและป่ากั้น จึงต้องรอรถเกวียนเทียมที่รับจ้างส่งผู้คนวนเวียนไปตามหมู่บ้านต่างๆรอบเมือง เพื่อเดินทางเข้าเมืองพร้อมกัน ซึ่งเกวียนเทียมนี้จะมีวนเวียนอยู่สองสามคัน หากพลาดก็ต้องเสี่ยงเดินทางเข้าเมืองเองและอาจพบกับคนไม่ดีหรืออันธพาลระหว่างทาง ถึงอย่างไรก็ตามยังมีเกวียนเทียมที่มาจากหมู่บ้านอื่นๆและคนเดินเท้าจะเดินตามพวกเขาไปด้วย เพื่อช่วยเหลือปกป้องซึ่งกันและกัน วันนี้พี่น้องฉีโชคดีพวกเขาบังเอิญพบชาวบ้านจากหมู่บ้านที่ห่างไกลกำลังจะเข้าเมืองเป็นกลุ่ม จึงตกลงเดินทางไปด้วยกัน อาหารเย็นของมารดาจะถูกจัดการก่อน พี่น้องที่กลับมาแล้วจึงไปดูแลสวนจนถึงก่อนมืด ขณะที่พ่อพาลูกชายอีกสามคนลงจากเขาตะวันตกในที่สุด ฉีปิงไม่ได้ยื่นเห็ดให้น้องสาวจัดการเหมือนทุกวัน คราวนี้พวกเขามีตะกร้าเห็ดและผักป่าสามตะกร้าเต็มๆ เนื่องจากเข้าใบไม้ผลิมาได้หนึ่งเดือนแล้ว ผักป่าและเห็ดออกดีเนื่องจากความชื้นและอากาศที่อบอุ่นขึ้น ฉีปิงและฉีปั๋วยังช่วยกันตากเห็ดไว้ในตะแกรง เมื่อตกดึกน้ำค้างลงจึงออกไปเก็บ วางตะแกรงไว้บนชั้นวางในครัว พอตอนเช้าพี่ชายและน้องชายเข้าเมืองจึงนำไปขายได้ราคาดีกว่า ฉีหรง และฉีเมิ่งทำงานในสวน ฉีหยงตรวจงานสานตะกร้าที่พวกเขานำกลับมาและผึ่งไม้ไผ่สำหรับสานไว้นอกลาน ฉีเล่อและฉีมู่หาบน้ำจากลำธารหลังบ้านมาใส่ไว้ในถังให้เต็ม ในบ้านมีถังไม้สำหรับเก็บน้ำจำนวนหนึ่ง ถังหนึ่งอยู่ในห้องอาบน้ำ ถังหนึ่งอยู่บริเวณลานซักล้าง อีกสองถังอยู่ในห้องครัว เนื่องจากต้องต้มน้ำก่อนดื่ม ทุกคนเคยชินกับการตักน้ำอุ่นในหม้อเตาใหญ่เพื่อดื่มไปแล้ว ฉีหรานมองมารดากินข้าวจนอิ่มจึงเก็บสำรับ แน่นอนนางยังได้กินโจ๊กกับท่านแม่ ฉีหนิงกินอิ่มและได้รับเม็ดยาสีน้ำตาลสองเม็ด นางไม่ได้ถามลูกสาวแต่กินลงไปทันที แล้วจึงพูด “อาหรานโจ๊กนี้เปลืองข้าวขาวมากหรือไม่ หากมีเงินก็เก็บไว้ให้พี่ชายเจ้าแต่งสะใภ้เถอะ” ฉีหนิงผู้เป็นแม่ได้ข่าวว่าลูกสาวจะต้องจัดการบ้านตั้งแต่ยังเด็ก นางยังกังวลอยู่บ้างเกรงว่าบุตรสาวจะทำอะไรตามใจตนเองเกินไป โดยไม่มองผลที่อาจจะตามมา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าวนี้ไม่ได้ใช้เงินซื้อสักอีแปะ แต่แลกกับงานสานไม้ไผ่ของข้าและพี่ชายเท่านั้น ท่านพ่อและพี่ชายกินอาหารเยอะกว่า ใช้ธัญพืชหยาบยังประหยัดได้ หนึ่งจินได้เพิ่มหนึ่งเหลียง หนึ่งกงจินได้เพิ่มสองเหลียง ห้าจินก็ได้เพิ่มหนึ่งจินแล้ว” แม้ฉีหนิงไม่ได้ออกไปไหนมาห้าหกปีแล้ว แต่ยังรู้เรื่องพื้นฐานพวกนี้ แต่เดิมที่บ้านกินแต่ธัญพืชหยาบ กระทั่งนางล้มป่วยและย่อยอาหารไม่ได้ จึงต้องกัดฟันซื้อข้าวขาวมาทำกิน แต่ก่อนมีเพียงน้ำข้าวเท่านั้น ตอนนี้มีโจ๊กจะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร “เอาล่ะ แม่เข้าใจแล้ว ไปเตรียมสำรับให้พ่อและพี่ชายเจ้าเถอะ” นางฉีหนิงหยุดลูกสาวไว้ “ว่าแต่อาหราน หมอเฒ่าเปลี่ยนยาของแม่หรือ วันนี้ไม่ต้องดื่มชามยาหรือไร” “ท่านแม่ ท่านหมอเหมาให้ลองยาตัวนี้ดูก่อนสักเจ็ดวันหากไม่เห็นผลค่อยกลับไปดูชามยาเดิม” ฉีหรานมองบิดา เขาคล้ายเข้าใจจึงหันไปเกลี้ยกล่อมภรรยา เมื่อฉีหรานออกไปที่ครัวก็เรียกพี่ชายมาเตรียมสำรับอาหาร ครั้งนี้เป็นฉีหรงและฉีเมิ่งช่วยกันเตรียม ฉีหรานจึงนั่งสานไผ่อยู่หน้าเตาไฟเพราะไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว . หลังจากเสร็จสิ้นมื้ออาหารเย็น ฉีปิงก็เดินไปตามน้องสาว “อาหรานมาเถอะ พี่ใหญ่ให้เรียกเจ้า” ฉีหรานเดินตามไปแต่โดยดีรู้ว่ามีอะไร คราวนี้ไม่ได้คุยกันด้านนอกแต่ปิดประตูห้องหลักเพื่อพูดคุย ในห้องหลักยังมีโต๊ะยาวตัวหนึ่งสำหรับพูดคุยในครอบครัว ท่านพ่อนั่งหัวโต๊ะ ลูกชายนั่งเรียงกัน ฉีหรานถูกสั่งให้นั่งหัวโต๊ะอีกด้าน เมื่อมากันครบแล้วฉีหยงจุดเทียนเพราะแสงอาทิตย์หมดไปแล้ว ในห้องก็มืด ก่อนจะเริ่มหัวข้อ “เมื่อวานพ่อคุยกับแม่เจ้า ตกลงกันว่าจะสร้างเพิงไม้เล็กๆที่ตีนเขาตะวันตก คนหนึ่งนอนเฝ้ากับดักหนึ่งคืน พ่อและพี่ชายรองของเจ้าไปดูวันนี้ อาหรานพบพื้นที่รกร้างดีดีแห่งหนึ่ง จึงตัดสินใจกันว่าจะเปิดพื้นที่ตรงนั้น ต่อไปบ้านเราก็จะมีงานในทุ่งให้ทำกัน” “ท่านพ่อ เช่นนั้นเราจะหาเงินเพียงพอสำหรับค่ายาของมารดาหรือไม่” เมื่อฉีหรงถาม ฉีหยงก็หันไปมองลูกสาว แต่เห็นนางเงียบเขาจึงยังไม่พูดอะไร แต่รู้ว่าลูกสาวเปลี่ยนยาของมารดาและน่าจะได้มาจากการแลกเปลี่ยนของนาง ก็เหมือนกับข้าว แลกจากคนที่ไม่มีตัวตนแต่ได้รับของจริงๆ “เราจะผลัดกันทำงานในทุ่ง คนที่เหลือจะทำงานในสวนผัก ไปเมือง หรือเก็บผักป่าแล้วแต่วันที่สะดวก เช่นหลังฝนตกเราจะเน้นเก็บผักป่า แต่หากฝนไม่ตกจะต้องสานตะกร้าอยู่ที่บ้าน” “เช่นนั้นจะผลัดเปลี่ยนกันหาบน้ำยังไง” แต่เดิมตั้งแต่ฉีหรานอายุห้าขวบก็เริ่มหาบน้ำด้วยตัวเอง นางรู้ว่าพ่อและพี่ชายลำบากจึงมีความกตัญญูมาก แม้จะได้น้ำทีละน้อย แต่ขยันเดินก็ได้เช่นกัน นั่นทำให้เด็กหญิงตัวน้อยแม้จะเจ็ดขวบแต่ก็สูงยาวและผอมมากเพราะทำงานหนัก แต่ตอนนี้ฉีหรานแทบจะโยนงานหนักทิ้ง หรือแม้นางต้องการทำคนในบ้านก็ไม่เห็นด้วย พวกเขาผิดต่อนางมากแล้ว ตอนนี้คือการชดเชยชีวิตที่ผ่านมา แม้ฉีหรานจะนอนและกินทั้งวันในชีวิตนี้ก็ไม่มีใครกล้าว่านาง “เอาเป็นเรียงตามวันแล้วกัน มีเพียงคนที่หกซึ่งเล็กกว่าเพื่อน คนที่ห้าจะแบกน้ำกับพ่อ คนที่หนึ่งแบกน้ำกับคนที่สี่ คนที่สองและสามแบกน้ำด้วยกัน วันพรุ่งนี้เริ่มจากพ่อและอาปิง” ฉีหรานพยักหน้าเห็นด้วย ความจริงด้วยอำนาจควบคุมบ้านที่พวกเขายื่นให้นางสามารถเอ่ยปากได้หากไม่เห็นด้วย แต่พ่อและพี่ชายมีเหตุมีผลเสมอ พวกเขาตัดสินใจได้อย่างดีนางก็ไม่จำเป็นต้องยุ่ง เมื่อเห็นว่าเรื่องทำงานจบลง ฉีหรงหยิบเงินที่ทำได้ในวันนี้ออกมาท่าทางเอียงอายเล็กน้อยเมื่อส่งถุงเงินให้น้องสาว ฉีหรานเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยปาก “ข้าจะพูดกับมารดาก่อน” พูดจบก็เดินไปอีกด้านซึ่งเป็นส่วนของน้องนอนเพื่อพูดคุยกับมารดา ไม่นานฉีหรานก็เดินกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มและให้พี่น้องรอก่อน เมื่อนางแบ่งเงินออกเป็นสองกองก็เริ่มพูดว่า “นี่เป็นเงินส่วนกลางของครอบครัว และนี่เป็นเงินส่วนตัวของพี่น้อง ต่อไปหากพี่น้องมีรายได้ต้องใส่ในส่วนกลางเจ็ดส่วน เป็นเงินส่วนตัวสามส่วน” ฉีหรานกล่าวสิ่งที่ตกลงกับมารดาจนจบ “แต่ตอนนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนต้องรีบหาภรรยาให้พี่ใหญ่ ตามด้วยพี่รอง หากไม่มีค่าสินสอดทองหมั้นคงไม่มีพี่สะใภ้ดีดีแต่งด้วย” ฉีหรานเข้าใจเรื่องนี้ดี นางยังจำพี่สะใภ้คนโตได้เมื่อชีวิตก่อน พี่สะใภ้ผู้นั้นเข้ากับแม่ลูกเซี่ยได้ดี แต่กลับเกียจคร้านและตระหนี่ นั่นไม่ดีเลย สงสารพี่ใหญ่ที่ขยันขันแข็งแต่กลับได้รับเมียขี้เกียจและไม่สวยงามพอ “ในช่วงสองปีนี้ส่วนกลางของบ้านจะเป็นแปดส่วน และเงินส่วนตัวสองส่วน มีใครจะค้านมั้ยเจ้าคะ” ทุกคนมองหน้ากันโดยเฉพาะพวกเขามองหน้าฉีหยง เมื่อเห็นว่าพ่อไม่พูดอะไร พวกเขาจึงไม่กล้าพูด แต่เดิมเงินครอบครัวใช้ร่วมกันไม่เคยมีเงินส่วนตัว แต่พี่น้องยังเก็บเงินที่ได้รับเล็กๆน้อยๆเอาไว้ เช่นเงินปีใหม่ หากมีเงินส่วนตัวแยกต่างหาก การทำงานมาทั้งปีก็ไม่สูญเปล่า ฉีหยงไม่ได้ปล่อยผ่านไป เขาถามลูกสาวทันที “นี่รวมถึงรายได้จากทุ่งด้วยหรือไม่” “แต่เดิมหากบ้านต้องกินข้าวจากทุ่งก็ไม่ควรรวม อย่างไรก็เวียนกันทำงานอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนแบ่งที่แตกต่างกันเกินไป”ฉีหรานค่อยๆอธิบาย “แต่บ้านเราไม่จำเป็นต้องกินข้าวจากทุ่ง ซ้ำยังสามารถขายได้ เงินในทุ่งจึงจะแบ่งเช่นกัน” เมื่อได้ผลสรุปเช่นนี้ทุกคนก็ยิ้ม “แต่แบ่งให้ทั้งครอบครัว รวมถึงท่านพ่อและท่านแม่ด้วย แม้ว่าท่านแม่ไม่ได้ไปที่ทุ่งแต่ก็อยู่บ้านและช่วยเราทำหลายๆอย่าง อย่างน้อยก็เย็บเสื้อผ้า ซ่อมแซมเสื้อผ้าให้เรา” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยทันที ฉีหรานจึงเก็บเงินที่ได้มาวันนี้ใส่กล่องเงินไม้ไผ่สานที่มารดาให้มา นี่เป็นกล่องเก็บเงินของครอบครัวและตอนนี้นางดูแลแล้ว “เงินนี้จะถูกแบ่งออกเป็นแปดส่วน แต่ต่อไปให้พี่ใหญ่แยกเงินที่ขายงานไม้ไผ่และอื่นๆออกจากกัน เช่นขายผักป่าและเห็ดป่าแยกออก ขายข้าวแยกออก ต่อไปจะได้แบ่งกันถูกต้อง” “ตกลงน้องสาว ข้าจะขอให้ท่านแม่ตัดถุงเงินและทำสัญลักษณ์เล็กๆแยกกันไว้” โดยปกติแล้วคนที่เข้าเมืองจะเป็นพี่ใหญ่ที่มีเหตุมีผล และพี่สามที่ขี้ระแวงเป็นหลัก พี่สองใจร้อนไม่เหมาะเข้าเมือง พี่สี่หัวอ่อนเกิน ห้าและหกก็เด็กเกินไป “คนละสองอีแปะ” ฉีหรานแบ่งเงินแล้วรู้สึกเจ็บหน้าอก บ้านยากจนมากจริงๆ นางหันไปหาพี่ชายเมื่อพบว่าเงินส่วนใหญ่จ่ายไปกับค่ายาของมารดาแล้ว “พี่ใหญ่ต่อไปอย่าเพิ่งซื้อยาตามเทียบเดิม ข้าได้ยามาจากการแลกเปลี่ยนให้ท่านแม่ลองดูก่อน” “จะได้ผลหรือ อันตรายหรือไม่” ฉีหรงถามอย่างกังวล ทุกคนหันไปมองแม่อย่างกังวลเช่นกัน พวกเขารู้ว่าท่านแม่อยู่ได้อีกไม่นานจึงยิ่งกังวลมาก “ต้องลองดู” ฉีหรานไม่พูดมากกว่านั้นพี่น้องจึงไม่กล้าพูดต่อ พวกเขาแยกย้ายกันเข้านอนในตอนท้าย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม