เมียหมอ 3 : หนี!

1862 คำ
“คุยกับชมพู่เข้าใจแล้วจริงๆ หรือแม่” บ่ายวันศุกร์ อากาศร้อนจนอบอ้าว กำนันม่วงนั่งอยู่ที่แคร่ไม้ตัวโปรด โดยที่มีเมียรักนั่งปอกผลไม้อยู่ข้างๆ “ก็ใช่น่ะสิ” อรอนงค์ตอบแบบไม่ลังเล เธอคุยกับลูกแล้ว และลูกก็ยอมเข้าใจดีแล้วด้วย ไม่รู้ผัวเธอจะถามทำไมนักหนา บอกไปรอบที่สิบได้แล้วกระมัง “แต่มันแปลกๆ นา ตอนนี้ชมพู่มันไม่เหมือนชมพู่ที่ฉันรู้จักมาทั้งชีวิตเลย” กำนันม่วงยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าลูกสาวตัวดีจะสงบได้ขนาดนี้ แถมยังออกไปเที่ยวเล่นกับไอ้เปี๊ยกไอ้ลมเหมือนไม่ได้กำลังถูกบังคับให้แต่งงานเลยแม้แต่นิด เด็กหัวรั้นแบบชมพู่มันยอมง่ายเกินไปจนผิดปกติ “เอ้า พ่อนี่!” อรอนงค์ชักยั๊วะ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้มีผัวขี้สงสัยนัก “ลูกมันยอมง่ายๆ ก็ไม่ชอบ หรืออยากให้มันพยศแล้วหนีออกจากบ้านไปล่ะ” “อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นสิแม่” กำนันม่วงรีบร้องเตือน ตนก็กลัวอยู่เหมือนกัน สามวันมาแล้วลูกสาวยังอยู่ดีกินดีและไม่หนีหายไปไหนก็เบาใจได้บ้าง แต่พอเมียมาสะกิดเข้าก็เริ่มระแวงอีกครั้ง “โฮ๊ะ!! ฉันไม่คุยด้วยแล้ว อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ คนแก่ขี้สงสัยแถวนี้ก็มาทำให้หงุดหงิดอีก” อรงอนงค์หยิบข้าวของมาถือไว้ ก่อนจะเดินปึงปังขึ้นเรือนไป ทิ้งให้กำนันม่วงมองตามตาละห้อย สงสัยต้องง้อยาวอีกแล้วแบบนี้ . . “พี่พู่จะแต่งงานกับปลัดจริงๆ หรือ” ลมเอ่ยถามลูกพี่สาว ระหว่างที่นั่งมองอีกฝ่ายจับปลาอยู่ในนา “ถามไมวะ” “เอ้า ก็พี่ไม่ได้รักเขา แล้วพี่จะแต่งงานกับเขาได้ยังไง” เปี๊ยกเอ่ยเสริม พวกเขารู้จักชมพู่มาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้ว่าชมพู่มีนิสัยอย่างไร การที่ชมพู่ไม่โวยวายเรื่องถูกที่พ่อกำนันจับแต่งงานกับปลัดแบบนี้ เขากับไอ้ลมลงความเห็นว่าผิดปกติสุดๆ “ทำไงได้ ไม่แต่งแล้วจะให้ฉันทำยังไง ขู่ว่าจะฆ่าตัวตายดีไหม” “เฮ้ย! ไม่เอาพี่! ทำไมคิดสั้นแบบนั้นเล่า” “ยังไม่ได้คิดเลยโว้ย! แค่ประชด!!” ชมพู่โยนโคลนใส่สองแสบอย่างอารมณ์เสีย วันนี้ไม่ได้ปลาซักตัว ยังต้องมาตอบคำถามในเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงแบบนี้อีก “โธ่พี่พู่ ก็พวกเราเป็นห่วงพี่นี่นา” “ใช่ พวกเราไม่อยากให้พี่พู่ถูกบังคับ ไม่อยากให้พี่เครียดด้วย” “เออๆ ฉันซึ้งใจแล้ว แล้วก็ไม่ได้เครียดอะไรด้วย ขอบใจที่เป็นห่วง” ชมพู่ตัดบท ก่อนจะเดินขึ้นมาบนคันนา “กลับบ้านเหอะ ไม่ได้ปลาซักตัวเลย” “พี่พู่ไม่ได้เครียดจริงๆ นะ” “ถามอีกทีฉันจะเตะแกลงไปในนา ไอ้เปี๊ยก!” หญิงสาวว่า ก่อนจะยกขาขึ้นทำท่าเหมือนจะเตะเด็กหนุ่มลงไปในนาจริงๆ เล่นเอาทั้งสองแสบพากันวิ่งหนีแหกปากลั่นทุ่งจนนกที่บินอยู่ใกล้ๆ ตกใจพากันบินหนีไป “จริงๆ เลย” ชมพู่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินอย่างเชื่องช้าไปตามคันนา ไม่ได้รีบวิ่งตามพวกนั้นไปแต่อย่างใด เธอมองนาที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เกิดอย่างรักใคร่ ภาพความทรงจำตั้งแต่เด็กผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ทุกส่วนของนาเธอวิ่งเล่นและสำรวจมาหมดแล้ว เพราะมีแค่ไม่กี่ไร่ที่พ่อกับแม่และพี่พร้าวปลูกกันเอง ที่เหลือก็แบ่งให้ชาวบ้านเช่าทำนากันในราคาที่ถูกแสนถูก เพราะบ้านของเธอไม่ได้ค้าขายข้าวเป็นเรื่องราว แค่ปลูกข้าวไว้กินกันเองที่บ้านก็เท่านั้น แต่ที่เป็นรายได้หลักของบ้านคือส่วนที่เป็นสวน ทั้งผักและผลไม้หลากหลายชนิดที่ถูกพัฒนาโดยพี่พร้าว พี่ชายคนเก่งที่เรียนจบเกษตรมาโดยตรงจนงอกงาม ขายได้ราคาดี ทำให้ที่บ้านมีรายได้มากขึ้นจนพ่อแม่สบาย ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนสมัยที่ลูกๆ ยังเรียนไม่จบ พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวพี่พร้าวมาก ในขณะเดียวกันก็คงระอากับเธอเต็มทน เพราะเรียนจบมาได้จะปีแล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้ทำงานตามที่ร่ำเรียนมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย เอาแต่ช่วยพี่พร้าวทำสวนไปเรื่อยๆ เหมือนไร้แก่นสาร แถมยังชอบทำให้พ่อแม่ปวดหัวอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกเลยที่พ่อกับแม่จะอยากให้เธอรีบแต่งงานออกไป เธอเข้าใจว่าพ่อกับแม่หวังดี แต่ส่วนลึกๆ ในใจก็อดน้อยอกน้อยใจไม่ได้ เธอไม่อยากแต่งงาน อยากอยู่เป็นโสดและอยู่กับพ่อแม่ไปตลอดชีวิตต่างหาก “พู่ ทำไมมาเดินอยู่คนเดียวลูก สองคนลูกสมุนเราหายไปไหน” เสียงตะโกนจากถนนทำให้ชมพู่รีบหันกลับไปมอง ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นป้าไม หนึ่งในคนที่เช่าที่ของพ่อเธอไปทำนาและสนิทกับครอบครัวเธอมาก ป้าไมรักเธอเหมือนลูก เลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เด็กๆ เธอเลยผูกพันกับป้าไมไม่ต่างจากคนในครอบครัว “กำลังจะกลับบ้านจ้า ส่วนสองแสบวิ่งนำไปแล้ว” ชมพู่ตะโกนกลับไป ระยะห่างราวยี่สิบเมตรไม่ได้ไกลมาก เลยทำให้ได้ยินเสียงอีกฝ่ายชัดเจน “แล้วป้าไมจะไปไหนจ๊ะ” “อ๋อ พอดีหมอเขามาจากโรง'บาล เขาแวะตรวจสุขภาพให้คนแก่ ป้าเลยจะไปตรวจดูน่ะลูก ไปด้วยกันไหม” “ไม่ดีกว่าจ้ะ เดือนที่แล้วฉันเข้าออกโรงพยาบาลทุกวันเลย เบื่อหน้าหมอจะแย่” “แต่หมอศิลาเขาตรวจดีนะ ไม่คิดเงินซักแดงเดียว” ชมพู่ขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้แปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจต่อ “ไม่เป็นไรจ้ะป้า ป้าไปเถอะ เดินระวังรถนะ เดี๋ยวนี้มอ'ไซค์ขับเร็วกันสุดๆ” “จ้า กลับบ้านดีๆ นะพู่” ป้าไมโบกมือบ๊ายบายหย๋อยๆ ก่อนจะเดินต็อกแต๊กจากไป ชมพู่เดินกลับบ้านของตัวเองบ้าง ระหว่างทางเจอกับสองแสบที่นั่งรออยู่กลางทาง ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไป เล่นไป เก็บผลไม้กินไปตลอดทางจนถึงบ้าน . . แดดร้อนจัดเมื่อกลางวัน ทำให้ค่ำนี้ฝนตกลงมาอย่างแรง และยังไม่มีทีท่าว่าหยุดแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตาม ห้องนอนเล็กๆ ที่ตกแต่งเรียบๆ มืดสนิท แต่กลับมีเงาของใครบางคนเดินไปมาภายในนั้นอย่างเงียบเชียบ เพราะบ้านที่เป็นพื้นไม้ทำให้เจ้าของเงานั้นต้องระวังเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่ฝนตก เลยกลบเสียงกุกกักไปได้บ้าง “ลืมอะไรอีกหรือเปล่านะ” หญิงสาวในชุดดำมองซ้ายมองขวาไปทั่วห้อง สายตาคุ้นชินกับความมืดจนพอจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร เธอเช็กของในกระเป๋าที่กันน้ำอีกครั้ง เสื้อผ้า ชุดชั้นใน และของใช้จำเป็นอีกหลายอย่างอัดแน่นอยู่ในนั้น “อ้อ ต้องเอาเจ้านี่ไปด้วย” เธอหยิบห่อผ้าอนามัยขึ้นมา รู้ดีว่ามันใกล้มาเต็มทน เลยต้องพกเผื่อไว้ เพราะถ้าหาซื้อไม่ได้คงจะได้ก้นแดงให้อายชาวบ้านเล่น “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” ร่างบางลุกขึ้นยืน วางจดหมายน้อยที่เขียนเมื่อค่ำไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไป ฝนที่ยังตกรวมถึงลมแรงๆ ทำให้หน้าขาวเปียกอย่างรวดเร็ว แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงค่อยๆ ปีนออกไปนอกหน้าต่างบานนั้น อาศัยทักษะปีนป่ายที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กจนสามารถลงมายืนที่พื้นดินเฉอะแฉะได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว “ฉันไปแค่แปปเดียว แล้วจะกลับมานะพ่อ แม่” เธอบอกอย่างอาลัยครั้งสุดท้าย ก่อนจะวิ่งหายไปในความมืด... . . “หมอศิลา กลับแล้วหรือคะ” เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นเป็นประจำจนพยาบาลและหมอคนอื่นๆ ชินไปเสียแล้ว ดูก็รู้ว่าพยาบาลก้อยสนใจหมอหนุ่มคนนี้แค่ไหน แต่เหมือนว่าศิลาจะไม่ได้สนใจเธอกลับเลยแม้แต่นิด “ครับ” “แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลยค่ะ กลับกับก้อยไหมคะ ก้อยเอารถมา” “ใช่ครับ” หมอศิลาพยักหน้าเห็นด้วย สายฝนยังกระหน่ำลงมาแรงๆ เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เขาเหนื่อยเต็มทน วันนี้ก่อนเข้าเวรก็ออกไปตรวจคนไข้มา พอเข้าเวรก็เจอแต่เคสอุบัติเหตุที่ต้องใช้พลังมากกว่าปกติ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาเลยสบายใจและอยากกลับบ้านอาบน้ำนอนเต็มทน “แต่วันนี้ผมเอารถมา” “อย่างนั้นหรือคะ” พยาบาลก้อยเอ่ยอย่างผิดหวัง ไม่บ่อยครั้งเลยที่หมอศิลาจะเอารถมา เพราะบ้านพักกับโรงพยาบาลห่างกันแค่สองกิโลกว่า หมอศิลาอาศัยระยะทางนี้ไว้ออกกำลังกาย จึงไม่แปลกเท่าไหร่นักถ้าเห็นว่าหมอหนุ่มคนนี้เดินมาทำงาน และเดินกลับบ้านเป็นประจำ ถ้าวันไหนหมอศิลาเอารถมาแปลว่าออกไปตรวจนอกสถานที่ก่อนจะเข้ามาทำงาน “ครับ คุณพยาบาลก้อยกลับดีๆ นะครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้ผม ผมต้องขอตัวกลับก่อน” “ค่ะ...” พยาบาลสาวตอบรับเสียงอ่อย พร้อมมองหมอหนุ่มที่เดินจากไปอย่างรวดเร็วตาละห้อย วันนี้ก็พลาดที่จะได้กลับบ้านด้วยกันอีกแล้ว แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เธอจะได้สมหวังซักทีล่ะ! . . ทางฟากของหมอศิลา หมอหนุ่มเดินฝ่าฝนมาถึงรถได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่วายเปียกอยู่ดี ฝนวันนี้ตกหนักเหมือนพายุ ดีไม่ดีอาจจะเกิดน้ำท่วมขึ้นในบางพื้นที่ด้วยซ้ำ รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่เครื่องติดทันทีที่สตาร์ท ที่ศิลาเลือกรถกระบะแทนรถเก๋ง เพราะจะได้ลำเลียงคนเจ็บได้หากมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้น เขาไม่อายที่เป็นถึงคุณหมอแต่ขับรถราคาแค่ไม่กี่แสน แต่เขาดีใจมากกว่าถ้ารถคันนี้จะช่วยชีวิตคนได้ ขับมาได้ครึ่งทาง ฝนที่ตกหนักก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ดึกขนาดนี้แทบไม่มีรถผ่านก็จริง แต่ศิลาต้องใช้สมาธิมากกว่าเดิม เพราะทางทั้งมืด และสายฝนก็บดบังทัศนวิสัยจนเลือนลางไปหมด โชคดีที่เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตา ไม่งั้นคงจะลำบากกว่านี้ เหลืออีกเพียงสองร้อยเมตรก็ถึงบ้านของเขาแล้ว ศิลาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ถนนไม่ถูกน้ำซัดจนพังแบบที่กังวล อีกนิดเดียวเขาก็จะกลับถึงบ้าน ได้อาบน้ำ ได้ซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆ ได้นอนตื่นสายเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด และได้... “เฮ้ย!!” เอี๊ยดดดดดดด!!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม