ตกเย็นของวันถัดมา
“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” หญิงสาวยกมือขึ้นสวัสดีหญิงชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ของคามิลและขุนเขา เพราะครอบครัวสนิทกันมากแต่ก็ไม่ได้นัดกันมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันบ่อยๆ
“หนูฮาน่า!”
“หนูฮาน่าจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียว สวยขึ้นเป็นกองเลย” แม่ของคามิลนั้นเอ่ยชมอย่างไม่ขาดปาก เพราะไม่ได้เจอกับฮาน่ามาเป็นปีเลยก็ว่าได้ กลับมาคราวนี้เธอสวยขึ้นเป็นกองเลย
“ขอบคุณค่ะคุณป้า”
“เข้าบ้านกันก่อนเถอะนะ ตรงนี้อากาศร้อน” พ่อของขุนเขาพูดขึ้น
“แล้วนี่ทั้งสองหนุ่มมาหรือยัง” แม่ของฮาน่าเอ่ยถามขึ้น
“โทรตามแล้ว กำลังมาน่ะ”
ฮาน่าไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย มีแต่พ่อแม่ของเธอกับพ่อแม่ของคามิลและขุนเขาเท่านั้นที่พูดคุยเล่นกัน เธอยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถ้าได้เจอกับสองเพื่อนสนิทอีกครั้ง
ผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงรถสปอร์ตดังมา และไม่นานนักสองหนุ่มสุดหล่อก็เดินเข้ามาพร้อมกัน และกล่าวทักทายลุงป้าน้าอาของตัวเองอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ คุณอาคุณน้า” คามิลพูด
“สวัสดีครับ คุณลุงคุณป้า คุณอาคุณน้า” ขุนเขาพูด
ที่ต้องเรียกต่างกันก็เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้อายุเท่ากัน ต่อให้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ไม่ได้อายุเท่ากัน เพราะมาเจอกันก็ช่วงที่ได้เปิดบริษัทแล้ว
“สวัสดีจ้ะหนุ่มๆ หล่อขึ้นกันเป็นกองเชียว” แม่ของฮาน่าเอ่ยทักทายกลับ
“ขอบคุณครับ”
“ฮาน่ากลับมาแล้วนะ เราสองคนยังไม่รู้ใช่ไหม” แม่ของฮาน่าพูด
“ครับ ยังไม่รู้” ขุนเขาตอบกลับเสียงแผ่วเบา พร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ ให้กับเธอเพื่อเป็นการทักทาย ทว่าเธอกลับไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะรู้กันดีเลยก็คือ ฮาน่าเก็บความรู้สึกเก่งมาก จะเศร้า ดีใจ มีความสุข ทุกอย่างจะมีเพียงใบหน้าที่แสนเรียบนิ่งเท่านั้น
ส่วนคามิลนั้นไม่ได้ทักทายอะไรกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นผู้ใหญ่ก็ยังไม่ได้มีความแคลงใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสามคน แต่ก็คิดแค่ว่าเพราะไม่ได้เจอกันนานทั้งสามจึงยังเขินอายกันอยู่ และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป
“แล้วหนูฮาน่ากลับมาแล้วแบบนี้ จะทำงานอะไรต่อเหรอลูก?” แม่ของคามิลเอ่ยถาม ระหว่างที่กำลังนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่
“ก็คงจะรับช่วงต่อจากคุณพ่อค่ะ แต่ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าอะไรๆ มันลงตัวแล้ว หนูจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองสักร้าน แล้วก็คอยแวะเวียนไปดูแลเอา” ฮาน่าตอบ
“หืม...แบบนั้นก็ดีเลยสิคะ ป้าจะได้ไปอุดหนุนทุกวันเลย”
“ก็แค่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าน่ะค่ะ คงอีกนานเลยกว่าจะได้เปิด”
“งั้นป้าจองโต๊ะสำหรับวีไอพีไว้ล่วงหน้าเลยนะจ๊ะ” แม่ของคามิลยังคงพูดกล่อมเธออยู่แบบนั้น จนทำเอาเธอแอบรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
“แหมเธอก็...กะว่าจะล็อคมงให้หนูฮาน่าเป็นลูกสะใภ้เลยหรือไงจ๊ะ”
“ถ้าได้ก็ดีสิ ครอบครัวเราก็สนิทกันอยู่แล้วอ่ะเนาะ ถ้าได้ดองกันมันคงจะดีไม่น้อยเลย”
“คงต้องแข่งกับฉันหน่อยแล้วล่ะมั้ง” แม่ของขุนเขาหันไปพูดกับแม่ของคามิล
“หนูฮาน่าสวย เก่ง ขนาดนี้ใครบ้างจะไม่อยากได้เป็นลูกสะใภ้ ป้าพูดไว้ตรงนี้เลยนะ ผู้ชายคนไหนที่มันทิ้งหนูมันตาถั่วมากๆ”
“คุณป้าอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูยังไม่เคยมีแฟนสักหน่อย”
ถึงจะไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสนิททั้งสองแต่เพราะถูกจี้ไม่หยุดแถมยังชงให้เธอเป็นลูกสะใภ้อีกต่างหาก เป็นใครมันก็ต้องมีรู้สึกเขินบ้างแหละ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งกินข้าวด้วยกันอิ่ม จากนั้นก็เป็นการนั่งพูดคุยสนทนากันตามประสาเพื่อนสนิทของครอบครัวเธอและอีกฝ่าย ฮาน่านั่งอยู่ได้สักพักก็ขอตัวเดินออกไปเพราะรู้สึกอึดอัดจนทำตัวไม่ถูกเลย
เธอเดินออกมาโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกเพื่อนสนิทอย่างขุนเขาตามออกมาเช่นกัน
“ฮาน่า...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นทางด้านหลังของเธอ แม้จะรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทแต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไปทักทายกลับ และก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าขุนเขาตั้งใจตามมาเพื่ออะไร
“…..”
“จะไม่กลับไปที่บ้านของเราอีกแล้วเหรอ”
“ไม่” เป็นการตอบกลับสั้นๆ แต่มันก็ฉะฉานตรงไปตรงมา แม้เธอจะไม่ได้บอกเหตุผลอะไรกับเขาแต่ขุนเขาก็พอจะรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
“ยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอวะ?”
“…..”
“ไม่เอาดิวะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะเว้ย เรื่องแบบนี้ก็หยวนๆ ให้เพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไงวะ?”
“พูดมาได้นะ ลองให้กูทำแบบที่พวกมึงทำบ้าง มันจะเป็นยังไงวะ”
“เดี๋ยวๆ มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีนะ มึงเป็นผู้หญิงมันเสียหาย”
“อ้อ...จะบอกว่า ผู้หญิงผู้ชายแบ่งชนชั้นกันว่างั้น?”
“แต่มันก็...”
“พอเลิกพูด กูไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
“มีอะไรกัน!?” เสียงของคามิลดังมาแต่ไกล เพราะเห็นว่าทั้งสองนั้นออกมานานพอสมควรเขาจึงตามออกมา บวกกับเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่ตรงนั้นด้วย สถานการณ์มันพาให้อึดอัดจนบอกไม่ถูก ยิ่งแม่ของตัวเองนั่นเชียร์ให้เขากับฮาน่าคบกันมันยิ่งรู้สึกแปลกๆ ไปหมด
ให้คบกับคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานเนี่ยนะ ถ้ามันจะเป็นไปได้ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองกันพอสมควรเลยล่ะ
“ไม่มีอะไร กูแค่มาคุยกับฮาน่าเรื่องบ้าน” ขุนเขาตอบกลับ
“บ้านหลังนั้น กูจะไปถอนชื่อออกเอง”
“มึงพูดอะไร?” คามิลถามพร้อมกับขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าสวยอย่างขุ่นเคือง เรื่องแค่นี้มันไม่น่าจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยนี่นา แค่ทำความสะอาด เก็บกวาด ซ่อมแซม แค่นั้นมันก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง
เขาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องมารับรู้เรื่องราวที่มันเกิดขึ้น
“กูจะไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีก”
“ฮาน่า!!”
“เออ สำหรับพวกมึงอ่ะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก กูมันเรื่องมากเองแหละ แต่กูยังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่กลับไป”
“งั้นก็ดี ไม่อยากกลับก็แล้วแต่มึงเลยละกัน”
“สัส!!”
“ฮะ ฮาน่า...ใจเย็นก่อนดิวะ” ขุนเขารีบเข้ามาคว้าตัวของฮาน่าเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นได้เกิดศึกสงครามกลางบ้านอย่างแน่นอน
เป็นเพื่อนสนิทกันรู้จักกันดีว่าแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง แต่ปกติทั้งสามคนจะไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าไหร่ ทว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์นี้มันก็จะไม่มีทางที่จะดีขึ้นด้วย
"มันจะอะไรนักหนาวะ โตๆ กันแล้วนะ เรื่องแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เลยหรือไง" คามิลเองก็ยังคงพูดหาเรื่องไม่หยุด ซึ่งนั่นก็เป็นการกระทำที่ทำให้ฮาน่าไม่พอใจพอสมควรเลย
"งั้นมึงก็รับได้ไปคนเดียวดิ กูรับไม่ได้มันก็เรื่องของกู มีบ้านดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นพ่อเล้าไงวะ?!"
"มึงนี่มัน...!!"
"เอาจริงนะ กูว่านะเรื่องนี้มันจบลงได้นะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะเว้ย จะให้ความสัมพันธ์ดีๆ มันจบลงกับอีกแค่เรื่องแค่นี้ไงวะ?" ขุนเขาพูดแทรกขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าทั้งฮาน่าและคามิลก็ไม่มีใครยอมใครเลย ถ้าเอาแต่เถียงกันไปมาแบบนี้ มันจะกลายเป็นเหตุทำให้ทะเลาะกันมากกว่า
"อยากจบก็จบไปเองดิ!"
หญิงสาวสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้มือของเพื่อนสนิทที่จับตัวของเธออยู่นั้นหลุดออกไป จากนั้นก็เดินออกไปทันที เพื่อนทั้งสองเองก็อยากจะเดินตามไปเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่เข้าไปอีก และที่สำคัญหากผู้ใหญ่รู้เรื่องนี้เข้ามันก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ด้วย
"เอายังไงต่อดีวะไอ้มิล?"
"ปล่อยแบบนี้ไปสักพักก่อนเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ"
"อือ..."
เวลาต่อมา
บ้านริฮานน่า
"ฮาน่า..." เสียงของผู้เป็นแม่เอ่ยเรียกดังขึ้น ขณะที่เธอนั้นกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทางอยู่ ก่อนที่เธอจะรีบตอบกลับไปในทันที
"คะคุณแม่"
"เก็บเสื้อผ้าไปไหนลูก?" คนเป็นแม่เดินเข้ามาและก็ได้เห็นลูกสาวกำลังเก็บเสื้อผ้าพอดี
"หนูว่าจะไปหาคอนโดที่อยู่ใกล้ๆ กับบริษัทของคุณพ่อค่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลด้วย"
"ทำไมถึงไม่อยู่ที่บ้านล่ะ ให้คนขับรถของบ้านเราขับรถไปส่งก็ได้นี่"
"หนูโตแล้วนะคะคุณแม่"
"แหม่! แม่มีลูกสาวคนเดียวนะก็ให้แม่เป็นห่วงหน่อยสิ"
"ที่หนูจะไปหาคอนโดอยู่ก็เพราะอยากทำอะไรที่มันสะดวกๆ กว่านี้น่ะค่ะ อีกอย่างถ้าอยู่ใกล้กับบริษัทของคุณพ่อแล้ว ก็น่าจะเดินทางสะดวกอยู่"
"แล้วที่บ้านที่หนูซื้อตอนเรียนมหาลัยล่ะใครอยู่?"
"ก็สองคนนั้นนั่นแหละค่ะ"
"ได้คุยกันแล้วเหรอ ตอนนั่งกินข้าวอยู่แม่ไม่เห็นเราคุยอะไรกับเพื่อนเลย"
"ก็ได้คุยกันตอนที่ออกไปเดินเล่นค่ะ"
"แล้วไม่กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกเหรอ?"
"คงไม่ได้กลับไปแล้วค่ะ หนูไม่ได้เรียนแล้วนะคะ ถ้าสองคนนั้นจะอยู่ก็ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่ถ้าพวกเขาไม่อยู่แล้วจะขายต่อหนูก็ไม่มีปัญหา"
"....."
"อีกอย่างบริษัทของคุณพ่อก็อยู่ไกลกว่าบ้านหลังนั้นเยอะ"
ขณะที่เธอกำลังคุยกับผู้เป็นแม่อยู่ มือของเธอนั้นก็เก็บสัมภาระข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางไม่หยุดเช่นกัน หลายอย่างที่เธอต้องใช้หลายอย่างที่เธอต้องเก็บไป โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าเธอกำลังถูกผู้เป็นแม่มองอยู่ และมองด้วยสายตาที่เหมือนเต็มไปด้วยความถามมากมาย
"ฮาน่า..."
"คะ?"
"ลูกจะว่าอะไรไหม ถ้าแม่กับคุณป้าเร็นญาตกลงเรื่องการทาบทามหนู ให้เป็นแฟนกับ...คามิล"
"หนูกับเขาเป็นเพื่อนกันนะคะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว สนิทกันจนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วนะคะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ"
"ถ้าไม่ลองแล้วเราจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ"
"เพราะหนูรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หนูถึงไม่ลองยังไงล่ะคะ"
"หรือว่าหนูจะมีแฟนแล้ว?"
"ยังไม่มีหรอกค่ะ แล้วหนูก็ยังไม่คิดเรื่องนี้ด้วย คุณแม่อย่ามาบังคับกันเลยนะคะ ตอนนั้นที่หนูไม่ได้พูดอะไร หนูเกรงใจคุณป้ากับคุณลุงต่างหาก หนูแค่อยากให้คุณแม่รู้เอาไว้น่ะค่ะ ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก"
"แม่ขอโทษนะ ถ้าแม่ทำให้หนูต้องหนักใจ"
"ไม่เป็นอะไรเลยค่ะคุณแม่"
ฮาน่าเข้าใจความรู้สึกของแม่เธอ เพราะเธอเป็นลูกคนเดียว ก็ไม่แปลกหรอกที่คนเป็นพ่อแม่อยากเห็นลูกสาวคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝามีคนคอยดูแล แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเธอต้องมีครอบครัวขึ้นมา เธอคิดว่ามันคงไม่ใช่เพื่อนสนิทของเธอ เพราะเธอยังมองไม่ออกเลยว่าจะรักกันและลงเอยกันได้ยังไง