ตอนที่ 19 ตัดขาด

1765 คำ
“หากเจ้าไม่ยินยอมทำตามที่อาอวิ้นกล่าว จากนี้ไปสกุลหลัวของเราก็จะถือเสียว่าไม่มีบุตรสาวเช่นเจ้า!!” ผู้เฒ่าหลัวยื่นคำขาด จนหลัวซิ่นต้องรีบตอบรับคำ เดินมาหลบอยู่ด้านหลังหลัวลู่จิ่วบุตรสาวที่ยังไม่ยอมไปไหน “ท่านตา ท่านลุงทั้งสอง ข้าขอบคุณพวกท่านที่ให้ความยุติธรรมกับจื่อรั่วขอรับ ข้าฝากเรื่องนี้ไว้ให้ท่านช่วยดูแลสอดส่องด้วยก็แล้วกัน เพราะหลังจากนี้ข้าต้องเดินทางไปที่เมืองเจี้ยนเพื่อเข้าร่วมสถานศึกษาของทางการ และข้าอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว” “ไม่กลับมา หมายความว่าอย่างไรกัน การสอบจู่เหรินยังอีกต้องรออีกสามปี ถึงเจ้าจะต้องเข้าร่วมสถานศึกษาแต่สอบเสร็จเมื่อใดก็ต้องกลับมาที่นี่สิ” หลัวซิ่นไม่เข้าใจคำพูดของชายหนุ่ม เรือนสกุลเกาที่นาสกุลเกา ที่นี่ล้วนเป็นทรัพย์สมบัติของเกาเหว่ยหลงที่เหลืออยู่ แล้วเกาซ่งอวิ้นจะไม่กลับมาอีกได้อย่างไร เกาซ่งอวิ้นไม่ได้มองหน้ามารดาเลี้ยง เขายังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังตอบกลับอย่างอดทน “พรุ่งนี้ข้าจะขอให้ท่านลุงเจี้ยนคังพาข้าไปยังจุดที่จื่อรั่วและน้อง ๆ ได้อยู่เป็นที่สุดท้าย ลองดูว่าเผื่อจะพบเบาะแสอะไรหรือไม่ จากนั้นก็จะขอให้ท่านลุงขนสัมภาระของข้าไปส่งที่เมืองซุ่นโจว ส่วนเรือนสกุลเกาและที่ดินทั้งหมดของข้า ข้ามอบให้ท่านน้าและน้องสาวลู่จิ่วถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านชุบเลี้ยงดูแลข้ามาตลอดหลายปี ข้ากับท่านตัดขาดความสัมพันธ์กันแต่เพียงเท่านี้เถิด" นางหลัวซิ่นเบิกตาโพลงอย่างแตกตื่น ใจหนึ่งก็ยินดียิ่งนัก สมบัติของสามีเดิมทีก็ต้องเป็นของเกาซ่งอวิ้นอยู่แล้ว คราวนี้เขากลับยกให้นางทั้งหมด แต่อีกใจก็รู้สึกว่าอนาคตของเกาซ่งอวิ้นจะต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน “เรือนและที่ดินอย่างไรข้าย่อมต้องอยู่ดูแลให้เจ้าอยู่แล้ว เวลานี้คิดห่วงเพียงเจ้ากับลู่เอ๋อร์ หากเจ้าอยากจะช่วยข้าจริงๆ ไม่สู้รับลู่เอ๋อร์เดินทางไปพร้อมกับเจ้าเสีย เจ้าสองคนพึ่งพาดูแลกันและกันไป เช่นนี้ข้าก็หมดห่วงแล้ว” ยิ่งฟังเกาซ่งอวิ้นก็ยิ่งผิดหวังในตัวมารดาเลี้ยงขึ้นทุกที แต่เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาก่อนที่เขาจะอดทนต่อไปไม่ไหว “ท่านแม่ ท่านไม่ละอายใจแต่ข้าละอาย ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับการยัดเยียดข้าให้กับพี่ชายอวิ้น ข้ากับพี่ชายเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กเคารพท่านลุงเกาดังบิดา แล้วจะให้ข้ามองหน้าผู้ใดได้หากเสนอตัวไปเป็นภรรยาของเขา" หลัวลู่จิ่วโกรธจนปากคอสั่น พ่อกับแม่แต่งงานกัน แล้วมารดาจะคิดให้รุ่นลูกตกล่องปล่องชิ้นกันอีก ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!! "ท่านตา ท่านลุงใหญ่ลุงรอง ข้าขอร้องท่านพวกท่านพาข้ากลับไปที่สกุลหลัวด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่อาจทนให้ท่านแม่วางแผนการแต่งงานของข้าเพื่อผลประโยชน์ได้อีกแล้ว” “เอาล่ะๆ ไม่ไปก็ไม่ไป ข้าก็แค่พลั้งปากพูดไม่ทันคิดออกมาเท่านั้น อภัยให้ข้าด้วยอาอวิ้นข้าก็แค่ห่วงมากเกินไป” หลัวซิ่นเห็นสายตาดุดันที่ส่งมาจากผู้เป็นบิดาและพี่ชายสองคนก็รู้แล้วว่าตนไม่อาจร้องขอสิ่งใดได้อีก แต่ได้ทรัพย์สมบัติของเกาเหว่ยหลงมาทั้งหมดนี่ก็ดีแล้วมิใช่หรือ “จริงสิ ยังมีที่ดินของสกุลถังสามหมู่นั่นอีก เด็กนั่นเอาสินสอดสกุลเกาไปขายจนหมดสิ้น ก็ต้องชดเชยที่ดินผืนนั้นกลับคืนมาให้สกุลเกาของเรา” หากได้ที่ดินสามหมู่กลับคืนมาแทนสินสอด ที่ดินสามหมู่นั้นก็ย่อมเป็นของนางด้วย หลัวซิ่นเห็นว่าเกาซ่งอวิ้นเอาจริงขึ้นมาแล้ว นางต้องรีบกอบโกย “ข้าคิดว่าเท่าที่ท่านได้ไปนั้นก็พอสมควรแล้ว ที่ดินสามหมู่ของพี่น้องสกุลถังพรุ่งนี้ข้าจะไปบอกกล่าวกับหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเปียวเอง หากถังจื่อรั่วหรือน้องของนางคนใดกลับมาก็ให้คืนให้เป็นสมบัติของสกุลถังดังเดิม ห้ามใครไปแตะต้องเด็ดขาด” สุดท้ายแล้วคนสกุลหลัวทั้งหมดก็เดินทางกลับไปหมู่บ้านของตนภายในวันนั้น เหลือไว้แต่เพียงหลัวเจี้ยนคังที่นัดแนะกับเกาซ่งอวิ้นไว้ว่าเขาจะใช้เกวียนบรรทุกสัมภาระของเกาซ่งอวิ้นไปส่งให้ที่เมืองซุ่นโจว และจะพาชายหนุ่มไปที่วัดร้างดูสักครั้ง แต่หลัวลู่จิ่วก็รบเร้าท่านตาท่านยายของนางไม่หยุด ไม่ยอมอยู่ในเรือนสกุลเกาในขณะที่เกาซ่งอวิ้นยังพักอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน นางไม่ไว้วางใจในตัวมารดา หลัวซิ่นถึงกับกล้าทอดทิ้งสามพี่น้องสกุลถัง ถังเยียนและถังฮุ่ยหลินยังเด็กนักพวกเขาอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นไปได้ว่ามารดาอาจใช้แผนสกปรกอันใดกับตนและเกาซ่งอวิ้นเข้าอีก ………. วันรุ่งขึ้นหลัวเจี้ยนคังก็พาเกาซ่งอวิ้นเดินทางไปยังวัดร้างกลางป่าที่ตนและน้องสาวไปพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ครั้งนี้อากาศยังไม่ได้หนาวเย็น ไม่มีหิมะตกเหมือนครั้งที่พาสามพี่น้องสกุลถังมาทิ้งไว้ พวกเขาจึงเดินทางได้สะดวกรวดเร็วกว่านัก เกาซ่งอวิ้นสังเกตเส้นทางโดยรอบมาตลอดทาง เขาพบว่ายิ่งห่างจากหมู่บ้านหนิงป่อมากเท่าใดก็ยิ่งพบเห็นบ้านเรือนผู้คนได้ยากยิ่งนัก พืชที่ออกผลกินได้ก็แทบจะไม่มี ไม่ต้องคิดเลยว่าในช่วงที่หิมะเริ่มตกแล้วสามพี่น้องคงไม่อาจหาอาหารกินกันได้ง่าย บุรุษสองคนหยุดเกวียนลงที่หน้าวัดร้าง หันมาสบตากันหนักแน่นอย่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย พวกเขาเห็นว่าโอกาสน้อยยิ่งนักที่ถังจื่อรั่วและน้อง ๆ จะรอดชีวิตต่อไปได้ เพราะหากนางยังปลอดภัยดีอยู่ระยะเวลานานเกือบปีย่อมต้องหาทางกลับไปที่หมู่บ้านหนิงป่อได้แล้ว เกาซ่งอวิ้นเป็นผู้ก้าวเข้าไปในวัดร้างเป็นคนแรก เขามองไปที่หลังคาผุพังด้านบน หน้าต่างและผนังล้วนมีจุดที่แตกใช้การไม่ได้ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่แหล่งพักพิงที่มั่นคงไม่สามารถป้องกันลมฝนได้แม้แต่น้อย หลัวเจี้ยนคังถึงกับเข่าทรุดปิดหน้าร่ำไห้เมื่อมองไปยังตำแหน่งที่เด็กสามคนนอนกอดก่ายกันในคืนวันที่เขาจากไป อย่างน้อยก็ไม่ได้พบซากโครงกระดูกมนุษย์ นั่นหมายความว่าเด็กทั้งสามคนยังไม่ตาย!! “น้องสาวข้าทิ้งตะกร้าแผ่นแป้งย่างและน้ำดื่มไว้ให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง หากกินกันอย่างประหยัดพวกเขาก็จะกินได้ราว 3 วัน” หลัวเจี้ยนคังนึกขึ้นมาได้ รีบลุกมาเดินหาตะกร้าสานใบเล็กตามความทรงจำ หลังจากสำรวจดูภายในวัดร้างจนทั่วพวกเขาก็แยกกันไปสำรวจดูพื้นที่รอบๆ แต่ก็ยังไม่พบเห็นร่องรอยของเด็กทั้งสามคน “พวกเขาออกจากที่นี่ไปได้แน่นอน” เกาซ่งอวิ้นใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย เขาเห็นว่ารอบๆ วัดร้างมีกิ่งไม้แห้งระเกะระกะไปทั่ว แต่ภายในวัดมีกระถางแตกครึ่งใบภายในมีขี้เถ้ากองเล็กกับเศษไม้กองหนึ่ง คล้ายว่ามีการจุดไฟในเตาทิ้งไว้เพียงแค่ครั้งเดียว ด้านนอกก็ไม่มีร่องรอยของการก่อฟืนไฟแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าถังจื่อรั่วและน้อง ๆ ไม่ได้อยู่ในวัดร้างแห่งนี้นาน และเป็นไปได้ว่าจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นหลังจากถูกทิ้งไว้ในวัดร้างเพียงคืนเดียว “เราขยายพื้นที่ค้นหาออกไปอีกสักหน่อยดีกว่า วัดร้างแห่งนี้ยังมาอยู่กลางป่าเขาโดยที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้มาก่อน ไม่แน่ว่าหากเราเดินทางต่ออีกสักนิดก็อาจพบบ้านเรือนผู้คนสักแห่ง เด็กๆ อาจจะได้รับความช่วยเหลือไว้ก็เป็นได้” หลัวเจี้ยนคังมีกำลังใจขึ้นมาอีกหลายขุม ทั้งสองคนออกเดินทางต่อโดยใช้เกวียนวัวเป็นพาหนะ แต่ก็พบว่าเส้นทางรอบนอกพื้นที่วัดส่วนใหญ่จะมีโขดหินน้อยใหญ่กระจายไปทั่ว การเดินทางโดยใช้เกวียนวัวเป็นเรื่องลำบากมากกว่าการเดินด้วยเท้าเปล่ามากนัก “หากที่นี่เคยมีวัด หลวงจีนหรือคนที่เคยอยู่อาศัยที่นี่มาก่อนย่อมใช้พาหนะอื่นในการขนส่งเสบียงอาหารที่สะดวกว่านี้ ทางด้านหลังมีแม่น้ำก็เป็นได้ว่าพวกเขาใช้เรือในการบรรทุกสินค้าเข้ามา เราลองไปดูทางแม่น้ำกันสักหน่อยดีกว่าท่านลุง เผื่อจะมีเบาะแสอื่น” ตลอดเส้นทางที่เชื่อมไปยังแม่น้ำ ล้วนปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าจนมองไม่เห็นร่องรอยเท้าของผู้คนที่เคยใช้เส้นทางนี้มาก่อน เวลาล่วงผ่านมาเกือบปีน้ำในแม่น้ำมีขึ้นมีลงจนกลบรอยเท้าทั้งหมดไปจนสิ้น “ตรงนี้มีเสาผูกเรือ แต่ที่นี่กลับไม่มีเรือ จะเป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่าพวกเขาจะใช้เรือในการเดินทางต่อไป” เกาซ่งอวิ้นชี้ไปที่เสาต้นหนึ่งริมแม่น้ำ พื้นที่บริเวณนั้นยังมีการสร้างท่าน้ำเล็กๆ ไว้เหยียบขึ้นเรืออีกด้วย “มีสองทางคือนักบวชใช้เรือในการเดินทางจากที่นี่ไป หรือไม่ก็เป็นสามพี่น้องเป็นผู้นำเรือออกไปเอง แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านพื้นที่เมืองอีกสองเมืองจึงจะสิ้นสุด หากเป็นว่าเด็กสกุลถังเป็นผู้พบเรือแล้วใช้มันเดินทางต่อก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปไกลถึงที่ไหน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม