ตอนที่ 11 หญิงชราแปลกหน้า

1690 คำ
วันที่หกของการเดินทาง ความหนาวเย็นก็ทำให้น้ำแข็งเริ่มจับตัวกันเป็นแผ่นบางๆ บนผิวน้ำในยามเช้า เด็กสองคนถูกสั่งให้ซุกตัวอยู่แต่ในกองใบไม้แห้งที่สามพี่น้องขนขึ้นเรือมาเป็นจำนวนมาก ถังจื่อรั่วใช้ไม้ไผ่ค้ำถ่อเรือลำเล็กลอยไปเรื่อยด้วยความเหนื่อยอ่อน บางครั้งนางยังนึกภาวนาให้ตนเองป่วยไข้ไปเสียอีกครั้ง เพราะยามนั้นระบบจะส่งยาออกมาให้ และในตัวยามักจะมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายให้นางแข็งแรงขึ้นอีกนิด หวังว่าความพยายามของตนจะสามารถช่วยเหลือตนและน้องๆ จะมีชีวิตได้ต่อไป ถึงยามเย็นท้องฟ้าใกล้จะมืด หญิงสาวก็เริ่มสิ้นหวัง เพราะเวลานี้อากาศเย็นจัดจนมองไม่เห็นสีเขียวของพืชพรรณที่พอจะเก็บกินได้อีกต่อไป เรื่องจับปลาไม่ต้องไปกล่าวถึง เพราะนางไม่มีอุปกรณ์ ซ้ำน้ำในแม่น้ำยังเย็นจัดเพียงแค่จะใช้นิ้วจุ่มลงไปยังรู้สึกเย็นจนด้านชา “พวกเจ้ากลับมากันแล้วหรือ?” เสียงแห้งแหบร้อนรนเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหลังพุ่มไม้ใหญ่ ทำให้ถังจื่อรั่วต้องรีบหันมองหาเสียง ด้วยคิดว่าตนหูฝาด บริเวณนี้ไม่มีบ้านเรือนผู้คน แล้วเสียงนั่นดังมาจากผู้ใดกัน ถังเยียนและถังฮุ่ยหลินก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน พวกเขารีบโผล่หน้าออกมาจากกองใบไม้ มองหาเจ้าของเสียงกันอย่างแตกตื่น ร่างเล็กของหญิงชราค่อยๆ ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ ถังจื่อรั่วก็ถ่อเรือเข้าไปทางนาง จึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว หลังพุ่มไม้หญิงชราผู้นี้ได้สร้างกระท่อมขนาดเล็กจิ๋วที่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้หนึ่งคนเอาไว้กำบังกาย แม้ว่าหญิงชราจะมีเพียงกระท่อมเล็กๆ ไม่สามารถให้นางและน้องทั้งสองพักอาศัยด้วยได้ แต่นี่คือมนุษย์คนแรกที่พวกนางได้พบตลอด 6 วันที่ลอยเรือเคว้งอยู่ในแม่น้ำ “กลับมากันครบเลยหรือ ดีจริง!! กลับมาถูกได้อย่างไรกันนี่ สวรรค์คงนำทางพวกเจ้าเป็นแน่ เร็วเข้ารีบกลับไปหาท่านปู่ของพวกเจ้าเร็ว” หญิงชราร่ำไห้ออกมาอย่างหนักจนมือไม้ปากคอสั่น แต่นางก็ยังพยายามประคับประคองสติเข้าไปรับร่างเล็กสามร่างขึ้นจากเรือ “หลานย่า ลำบากพวกเจ้าแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณ” หญิงชราใช้มือสองข้างของนางถูเข้ากับฝ่ามือของถังฮุ่ยหลิน เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงมีริมฝีปากเขียวจนเกือบม่วง เนื่องจากต้องอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นมานาน นางสลับไปโอบกอด บรรจงจูบไปที่ศีรษะของเด็กทั้งสามทีละคน ร้องไห้คร่ำครวญเรียกเด็กทั้งสามว่าหลานรัก ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เด็กสกุลถังสามคนสับสนมึนงงไปหมด แต่ความอบอุ่นอ่อนโยนจากหญิงชราที่พวกเขาไม่ได้พบเจอมานานหลายปี ทำให้ทุกคนพานร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลตามหญิงชราไปด้วย “ไปเร็วกลับไปที่เรือนกันก่อน ฟ้าจะมืดแล้วป่านนี้ท่านปู่เจ้าคงเตรียมอาหารไว้รอแล้วล่ะ ย่าสั่งให้เขาทำอาหารรอพวกเจ้าอยู่ทุกวัน” หญิงชราปาดน้ำตา กุมมือถังเยียนและถังฮุ่ยหลินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ท่านย่า เราต้องเก็บเรือก่อนขอรับ” ถังเยียนเห็นเรือลำนี้เป็นบ้านไปแล้ว หากไม่มีเรือพวกเขาสามพี่น้องจะไม่มีที่อยู่อาศัย ซ้ำยังเรียกหญิงชราว่าท่านย่าตามที่นางกล่าวอ้างกับพวกตนเสียอีก “เด็กดี เป็นเจ้านั่นเองที่เป็นคนพาพี่น้องกลับมาถึงที่นี่ได้” หญิงชราปล่อยมือถังเยียนปล่อยให้เขาไปดึงเชือกผูกเรือเข้าไว้กับต้นไม้ ………. จางจื้อชายชราอายุราว 50-60 ปี นั่งมองภาพภรรยาชราของตน กุลีกุจอคีบอาหารส่งให้เด็กชายหญิงสามคนอย่างเหม่อลอย ตัวเขาและบุตรชายเป็นหมอชาวบ้าน มีทักษะทางการฝังเข็มรักษาผู้ป่วยอยู่เล็กน้อย ต่อมาบุตรชายต้องการจะแสวงหาความรู้ทางการรักษาเพิ่มเติม จึงได้เดินทางจากบิดามารดาไปต่างเมือง บุตรชายจางหย่งมักจะส่งข่าวกลับมาบอกเรื่องราวของเขาเป็นระยะ เขาจากไปลำพัง ต่อมาก็มีภรรยา และมีบุตร ข้อความสุดท้ายก็คือเขากำลังจะกลับมาบ้านเพื่อพาภรรยาและบุตรสาวสามคนมากราบท่านปู่ท่านย่า แต่แล้วเรือที่ครอบครัวบุตรชายว่าจ้างมาก็ล่ม พวกเขาห้าคนเสียชีวิตกันทั้งหมด ข่าวคราวถูกส่งมาโดยเจ้าของเรือจ้างผู้รอดชีวิต เขารู้จุดหมายปลายทางของท่านหมอและครอบครัว จึงเดินทางต่อมาเพื่อแจ้งข่าวและขอขมากับคนชราทั้งคู่ เมื่อแรกที่นางเฉินภรรยาของตนได้รู้เรื่อง นางก็ไม่ยอมรับความจริงว่าบุตรชายและบุตรสะใภ้ได้จากไปแล้ว พวกเขาเพียงแค่ประสบปัญหายุ่งยาก และหลานทั้งสามที่ยังไม่เคยได้พบหน้ากำลังเดินทางกลับมาหานาง ทุกวันหญิงชราจะไปนั่งรอรับหลานที่ไม่มีอยู่จริงของนางอยู่ที่ริมแม่น้ำ แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นเพียงใด นางเฉินซื่อก็ไม่เคยหยุดพัก จนเขาต้องไปสร้างกระท่อมเล็กๆ ไว้ให้นาง เพื่อบังแดดบังลม ฟ้ามืดเมื่อใดภรรยาจึงจะเดินกลับเรือนมาเอง ไม่คิดว่าผ่านไปสองปีเศษ กลับเรือนมาวันนี้ ภรรยาจะสามารถจูง “หลาน” สามคนกลับมาด้วยได้ ตลอดเวลาถังจื่อรั่วก็มองสายตาฉงนสงสัยของ “ท่านปู่” อยู่ตลอด และคิดว่าเรื่องนี้คงมีความจริงบางอย่างที่จางจื้อไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้ต่อหน้า “ท่านย่า” นางจึงส่งสายตาบอกกับเขาว่านางเองก็มีความสงสัยอยู่เช่นกัน “พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้างเล่า” นางเฉินซื่อแย้มยิ้มเปี่ยมสุข ไต่ถามชื่อของหลานๆ “พี่ใหญ่จื่อรั่ว พี่รองนามคำเดียวว่าเยียน ข้าฮุ่ยหลินเจ้าค่ะ” ถังฮุ่ยหลินเป็นผู้ตอบ นางก็ชอบท่านย่าเช่นกัน ท่านย่าใจดีที่สุด จางจื้อนั่งกระอักกระอ่วน ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ภรรยาและหลานๆ เขารู้ดีว่าบุตรชายมีเพียงบุตรสาวสามคน แต่เด็กสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นเด็กชาย อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นหลานแท้ๆ ของตนแน่ ยังดีที่เด็กทั้งสามไม่ได้ต่อต้านหรือคัดค้านว่าตนและนางเฉินไม่ใช่ท่านปู่ท่านย่าของพวกเขา มิเช่นนั้นเขาคงต้องปลอบใจภรรยารักอีกยกใหญ่เป็นแน่ แต่ที่จางจื้อไม่รู้ก็คือ ถังเยียนและถังฮุ่ยหลิน ไม่เคยพบหน้าท่านปู่ท่านย่ามาก่อนเช่นกัน พวกเขาเห็นพี่ใหญ่ไม่ได้ว่ากล่าวอันใดยังคิดว่าพี่สาวของพวกเขาพาพวกตนมาอาศัยกับท่านปู่ท่านย่าแท้ๆ นั่นเอง เด็กทั้งสองจึงได้ทำตัวกลมกลืนกับผู้ชราทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังว่าง่ายน่ารักเกินปกติ ชายชรามองภาพภรรยากับเด็กสามคนที่พูดคุยหยอกล้อกันราวกับเป็นญาติสนิทที่ไม่ได้พบเจอกันมานานด้วยความปลื้มปิติ น้ำตาสองสายไหลอาบสองแก้าเหี่ยวย่นของเขา เรือนสกุลจางไม่ได้มีความสุขและรอยยิ้มเช่นนี้มานาน ทุกวันเขาจะเตรียมกับข้าวหลายอย่างรวมทั้งขนมรอหลานกลับมากินตามคำขอร้องของภรรยา วันนี้ความฝันของภรรยาเป็นจริงขี้นมาแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงตัวเป็นท่านปู่ที่เมตตา โดยเฉพาะกับถังเยียนที่เป็นเด็กชาย เขาสามารถให้เจ้าตัวเล็กมานั่งตักและกอดเอาไว้แน่นแทนความคิดถึงบุตรชายที่จากไปนานสุดหัวใจ นางเฉินเตรียมห้องพักรวมทั้งเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไว้รอหลานทั้งสามของนาง ยังดีที่เสื้อผ้าของเด็กเล็กไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก สีและเนื้อผ้าก็ล้วนเป็นแบบของชาวบ้านปกติทั่วไป ทำให้ถังเยียนสามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้เด็กหญิงได้สบาย นางเฉินซื่อยังเลือกที่จะนอนเป็นเพื่อนถังฮุ่ยหลินตัวน้อย เพราะเกรงว่าเด็กหญิงจะล้มป่วยเอาได้หลังจากที่เดินทางมาอย่างยากลำบาก กลางคืนถังจื่อรั่วจึงได้ออกมาสนทนากับท่านปู่จางจื้อ เพื่อเปิดเผยเรื่องราวของแต่ละฝ่ายให้ได้รับรู้ “เจ้าสามคนไร้ญาติขาดมิตร ส่วนเราสองสามีภรรยาก็ไร้ลูกหลานสืบสกุล เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไปจดจำเรื่องเก่าก่อนให้ขุ่นข้องใจ บุรุษผู้นั้นจะยังคงรักษาสัญญาหมั้นหมายกับเจ้าหรือไม่ ก็คิดเสียว่าถังจื่อรั่วได้ตายจากไปแล้ว จากนี้ข้าจะเพิ่มชื่อเจ้าสามคนพี่น้องให้เป็นคนสกุลจาง แทนที่หลานทั้งสามของข้าเอง เจ้าเห็นด้วยหรือไม่" จางจื้อยิ่งกว่าดีใจเมื่อได้รู้เรื่องราวของเด็กทั้งสาม ตัวเขาแม้นหากหลานทั้งสามยังอยู่พวกนางก็ล้วนเป็นสตรี ครั้งนี้หากถังจื่อรั่วยอมรับ ตนก็จะได้หลานชายเยียนมาสืบสกุลจาง แต่นั่นก็ต้องถามความเห็นของถังจื่อรั่วเสียก่อน การเปลี่ยนแซ่สกุลก็ใช่เรื่องที่ตนจะคิดเห็นแต่เพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวย่อมไม่กังวลกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เดิมทีนางก็ใช้แซ่จางของผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน ฮุ่ยหลินเป็นสตรีเติบโตไปย่อมเป็นคนสกุลอื่นอยู่ดี แต่กับถังเยียนนางยังลังเลใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม