ชนิณจึงไม่รอช้าที่จะตอบรับการช่วยเหลือโดยไม่มีเงื่อนไข และรอการมาถึงของพี่ชายตัวเองในวันนี้หลังจากที่ทางนั้นบอกว่าจะเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทยเพื่อทำข้อตกลง
ชนิณไม่รู้ว่าข้อตกลงที่ว่านั่นคืออะไร แต่เขาพยายามไม่คิดมาก ขอแค่ให้มีใครสักคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเหลือเขาก็พอ ต่อให้ไม่รู้จักรัญญ์มาก่อน แต่ขึ้นชื่อว่าร่วมสายเลือดกัน อย่างไรเสียก็น่าจะไว้ใจได้มากกว่าพวกฝูงหมาป่ารอบกายเขาอยู่แล้ว
อย่างไรเสียก็พี่น้องกัน... เขาเชื่อแบบนั้น
ดวงตาคมของชายหนุ่มเหลือบมองที่นาฬิกาบนผนังอย่างเริ่มร้อนใจ ใกล้ถึงเวลานัดหมายตามที่อีกฝ่ายแจ้งไว้แล้ว แต่กลับยังไม่มีการติดต่อใดๆ มา ในคราแรก เขาอาสาจะไปรับรัญญ์กับคนติดตามที่สนามบินด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อถูกปฏิเสธ เขาจึงทำได้แค่นั่งรออยู่ในห้องทำงานเท่านั้น
ไม่นาน การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อเลขาฯ แจ้งมาว่าแขกที่เขาเฝ้ารอเดินทางมาถึงบริษัทแล้ว ชนิณรีบตอบรับให้เชิญแขกเข้ามา พลันผุดลุกขึ้น ดึงปมเนกไทให้เข้าที่ สำรวจตัวเองเล็กน้อยว่าเรียบร้อยพอที่จะรับแขกหรือยัง ก่อนจะยืดอกผายทันทีที่เห็นชายราวสี่ชีวิตเดินเข้ามาในห้อง
สายตาปราดมองพลางพินิจ ชายทั้งหมดแต่งกายโทนสีดำเหมือนกันทั้งสิ้น ต่างกันเพียงรายละเอียด ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่สองคนหลังน่าจะเป็นบอดี้การ์ด ส่วนคนที่ใส่สูท สวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยมบางๆ เหมือนกับเขา ในมือถือแฟ้มเล่มเขื่อง ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนติดตาม ส่วนผู้ชายอีกคนที่สูงในระดับสายตาเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่งตัวค่อนข้างทันสมัย ทรงผมยาวระต้นคอ มองผ่านๆ คล้ายพวกบาร์โฮสต์หนุ่ม ไม่ก็พวกดารานักร้องวัยรุ่นของญี่ปุ่น ดูไม่เข้าพวกกับคนอื่นแม้แต่น้อย ท่าทางจะเป็น...
...อาจจะเป็นคนติดตามหรืออะไรอย่างอื่น แล้วคนที่ใส่แว่นที่คิดว่าเป็นคนติดตามในตอนแรกคงจะเป็นพี่ชายเขาล่ะมั้ง
แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ชนิณรู้สึกได้อย่างเดียวว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะดวงหน้าที่ดูอ่อนโยนทว่าในขณะเดียวกันก็แลน่าเกรงขามอย่างชวนประหลาดใจ คล้ายกับว่าชายคนนี้มีมนตร์สะกดตรึงสายตาเขาไว้ให้อยู่กับที่ อีกทั้งยังรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
เผลอจ้องไปเสียนาน กว่าจะรู้สึกตัวว่าทำเสียมารยาทก็เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของชายใส่แว่นดังขึ้นเป็นภาษาญี่ปุ่น
“คุณชนิณสินะครับ”
“อะ...เอ่อ ครับ” ชนิณสะดุ้งเล็กน้อย ชำเลืองสายตาไปยังผู้พูด ตอบกลับไปในภาษาเดียวกัน “คุณก็คงจะเป็น...พี่รัญญ์ใช่มั้ยครับ”
สีหน้าสงสัยฉาบพรายทั่วใบหน้าชายหนุ่ม เพ่งมองหน้าของชายใส่แว่นแล้ว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนหรือละม้ายคล้ายคลึงเขาเลยสักนิด
หรือว่าอาจจะเหมือนมารดาเลี้ยงของเขากัน?
ฝ่ายที่ถูกทักเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลันส่ายหน้า
“ไม่ใช่ครับ ผม ยาชิดะ มาโมรุ เลขาฯ ของคุณรันมารุครับ”
“รันมารุ?”
สีหน้าของชนิณดูแปลกใจมากขึ้นไปอีก ขณะที่ชายที่สะกดสายตาเขาในตอนแรกเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา ยกขาเรียวขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ
“ชื่อภาษาญี่ปุ่นของฉันเอง”
สิ้นเสียง ชนิณก็หันขวับไปมองยังผู้พูดอีกทีขณะที่อีกฝ่ายคีบบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อสูท ครู่เดียว บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ทางด้านหลังก็ตรงปรี่เข้ามาจุดไฟให้
ชนิณมองคนที่พ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วห้องอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก ปากอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาไม่อนุญาตให้ใครสูบบุหรี่ในห้องนี้ แต่ก็จำต้องเก็บอาการไว้เพื่อรักษามารยาทเมื่อริมฝีปากสีสวยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สุขสบายดีไหมล่ะชนิณ”
รัญญ์ก็ไม่ได้พูดภาษาไทยกับเขา ทุกคำที่หลุดออกจากปากล้วนเป็นภาษาญี่ปุ่นชัดถ้อยชัดคำทั้งสิ้น ชนิณจึงเลือกที่จะสื่อสารภาษาเดียวกันกลับไป
“สบายดีครับ คุณ...เอ่อ พี่รัญญ์ล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง”
รู้สึกตะขิดตะขวงในใจเล็กน้อย ลังเลพอสมควรว่าควรจะเรียกคนตรงหน้าว่า ‘คุณ’ หรือ ‘พี่’ ดี เอะใจด้วยว่าทำไมรัญญ์ถึงทักเขาอย่างนั้น
ไม่ได้เจอกันตั้งนานอย่างนั้นเหรอ จำไม่เห็นได้เลยว่าทั้งชีวิตนี้เขาเคยเจอรัญญ์ด้วย
อาจจะเคยเจอตอนเขายังเด็กมากก็ได้ รัญญ์คงจะจำได้ แต่เขาไม่
กระนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะถามออกไป ได้แต่นั่งปิดปากเงียบเมื่อรัญญ์ไม่ตอบคำถามเขา เอาแต่พ่นควันบุหรี่สีขาวจนเหม็นฉุนตลบอบอวลไปทั่วห้อง ชนิณใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญกลิ่นบุหรี่ออกไป กระทั่งรัญญ์สูบบุหรี่จนเกือบหมดมวนถึงได้ฤกษ์เริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“นายรู้ใช่ไหมว่าฉันมาหานายทำไม”
ชนิณพยักหน้ารับโดยเร็ว รัญญ์เผยอยิ้มทันทีที่เห็นท่าทางกระตือรือร้นนั้น
“ดี งั้นเราจะได้เริ่มเจรจาธุรกิจกันเลย”