เงื่อนไขที่ระบุไว้ว่า... เขาจะต้องขายชีวิตให้กับรัญญ์
“เงื่อนไขข้อสุดท้าย ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ”
ในที่สุดก็ทำลายความเงียบขึ้นมา รัญญ์ที่กำลังเขี่ยบุหรี่ลงบนฝ่ามือของบอดี้การ์ดคนหนึ่งชำเลืองมามองด้วยสายตานิ่งเรียบ
“แปลกยังไง”
“มันระบุว่าผมจะต้องขายชีวิตให้คุณ”
“แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ ก็ตามที่สัญญาระบุนั่นแหละ”
นี่แหละที่แปลก เขาจะไปขายชีวิตได้อย่างไร รัญญ์คิดว่าตัวเองเป็นซาตานหรือไงนะ
“ผม...ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”
ชนิณเกิดลังเลใจขึ้นมากะทันหัน รัญญ์เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่ยี่หระ
“แล้วแต่นาย ถ้าตกลงจะเซ็นก็รีบเซ็นแล้วกัน ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ ไม่เจรจาธุรกิจกับนายต่อ”
ไม่เจรจาก็ไม่เจรจาสิ ใครมันจะไปเซ็นกัน สัญญาบ้าๆ!
ชนิณรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไบโพลาร์ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ฉับพลัน เดี๋ยวก็คิดว่ารัญญ์มาร้าย เดี๋ยวก็เปลี่ยนว่าอาจจะมาดี ไปๆ มาๆ กลายเป็นอีกฝ่ายมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่างอีกแล้ว
“ยังไงก็ขอบคุณที่พี่รัญญ์อุตส่าห์มาหาผมถึงที่นะครับ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา ผมคงจะตัดสินใจเลยไม่ได้ ขอเวลากลับไปคิดก่อน”
เสมือนเป็นคำไล่กลายๆ รัญญ์อ่านท่าทางและน้ำเสียงอึดอัดของชนิณออก หยักยิ้ม ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางว่า
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะตัดสินใจอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับนาย แค่รีบๆ ตัดสินใจซะก่อนที่ฉันจะไม่เจรจาต่อ”
ไม่เจรจาต่อก็เอาเถอะ เขาหาทางออกอื่นเองก็ได้
ทำใจแล้วล่ะว่าคงจะหวังพึ่งรัญญ์ไม่ได้ ลุกขึ้นบ้าง เตรียมจะกดเรียกเลขาฯ ให้ส่งแขก ทว่ามาโมรุที่ยืนมองอยู่นานก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“คุณรันมารุครับ ทางนั้นติดต่อมาแล้วครับ”
รัญญ์พยักหน้า ก่อนยิ้มพราย
“ฉันบอกนายแล้วนะว่าให้ตัดสินใจเร็วๆ ส่วนที่บอกให้รีบตัดสินใจก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก แค่จะบอกว่าชีวิตแม่นายในตอนนี้น่ะ อยู่ในมือฉัน”
“อะไรนะครับ”
ชนิณว่าตัวเองฟังไม่ผิดที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดจาแปลกๆ รัญญ์ส่งสัญญาณให้มาโมรุส่งโทรศัพท์ที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้เขา ชายหนุ่มรับมาด้วยอารามไม่มั่นใจนัก ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นภายใบหน้าของหญิงวัยกลางคนนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงปรากฏสู่สายตา ข้างขมับของหญิงคนนั้นมีปืนสีดำมะเมื่อมจ่ออยู่ เสียงหายใจครืดคราดผ่านเครื่องช่วยหายใจดังออกมาให้ได้ยินจากโทรศัพท์เครื่องนั้นพร้อมกับเสียงห้าวของใครบางคน
[เรียบร้อยแล้วครับนายน้อย]
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านายน้อยที่ถูกถามคือรัญญ์ แต่มันไม่ใช่เวลาที่ชนิณจะต้องมาสนใจ เขาหันไปมองรัญญ์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พี่รัญญ์คิดจะทำอะไร!”
“เจรจาธุรกิจไง”
รัญญ์ว่าพลางยิ้มคล้ายกับว่ากำลังได้เล่นสนุก มีแต่ชนิณที่ไม่สนุกด้วย ตอนนี้ใจเขาเป็นห่วงมารดามากกว่าสิ่งอื่นใด ธุรกิจอะไรจะล้มไปตอนนี้ก็ช่างหัวมันเถอะ แต่เขาจะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เอามารดามาขู่บังคับอย่างนี้ไม่ได้!
“เจรจาบ้าอะไร เอาปืนมาจ่อหัวแม่ผมอย่างนี้ไม่เรียกว่าเจรจาแล้ว ผมถามพี่ตรงๆ เลยแล้วกันว่าพี่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผมทำไม ต้องการอะไรกันแน่!”
ชนิณหมดความอดทน ลุกพรวดพลันถามเสียงดัง บอดี้การ์ดที่อยู่ทางด้านหลังของรัญญ์รู้งาน รีบเข้ามาบังหน้าผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณให้ชนิณรู้ว่าถ้าหากคิดจะทำอะไรรัญญ์ล่ะก็ เขาไม่รอดแน่
รัญญ์ไม่สะทกสะท้าน เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างเหนือกว่า
“สัญญาระบุไว้ชัดเจนว่าฉันต้องการให้นายมอบชีวิตให้ฉัน”
“พี่รัญญ์บ้าหรือเปล่า ทำไมผมต้องมอบชีวิตตัวเองให้พี่ด้วย!”
ชนิณเบาเสียงลงแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในระดับตะคอก
เขาไม่เข้าใจการกระทำของรัญญ์เลย มาหาเขาในคราบเทวทูต ไม่ทันจะถึงชั่วโมงดี เทวทูตอะไรนั่นก็ถูกลอกคราบออกไปให้เห็นเนื้อแท้ด้านในว่าเป็นอสุรกายตัวเป้ง
“ก็ฉันอยากได้”
รัญญ์ตอบชนิดกำปั้นทุบดิน ชนิณอยากจะเถียงนักว่าเงื่อนไขข้อสุดท้ายที่ระบุในสัญญานั้นมันงี่เง่า แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะแค่จะพูด รัญญ์ก็ทำให้เขาต้องใจหาย
“รีบตัดสินใจซะก่อนที่ฉันจะยุติการเจรจา นายมีเวลาสิบวินาที สิบ...”
แล้วก็นับถอยหลัง ชนิณเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ก็ใจหายวาบเมื่อเห็นมือของชายฉกรรจ์ง้างไกปืนเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้าไม่ตกลง มารดาเขาจะไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคร้ายอย่างแน่นอน
“พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ นั่นแม่ผม พี่จะมาฆ่าใครตามใจชอบไม่ได้”
พยายามใจเย็น บอกเหตุผลเตือนสติไป ทว่ารัญญ์ไม่ฟังแม้แต่น้อย หยักยิ้มแล้วนับถอยหลังอย่างสนุกสนาน
“เก้า...”
“พี่รัญญ์!”
“แปด...”
คราวนี้นับแล้วตรงไปทรุดตัวนั่งบนโซฟาหนังทางด้านหลัง ขายกขึ้นไขว่ห้าง แขนทั้งสองพาดไปกับพนักโซฟา วางท่าเสมือนเจ้าพ่อหนังจีนเก่าๆ
ชนิณเห็นท่าทางนั้นแล้วก็โมโหจนตัวสั่น รัญญ์จะมาปฏิเสธ ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่รับฟัง ไม่ได้ยินเสียงเขาอย่างนี้ไม่ได้ ณ เวลานี้รู้ได้ทันทีว่ารัญญ์ไม่ใช่บุคคลธรรมดา ที่เขาสงสัยว่าพวกกรรมการบริษัทจะยอมขายหุ้นทั้งหมดให้รัญญ์อย่างไร ตอนนี้พอจะเข้าใจได้แล้ว
รัญญ์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลที่ไหนสักที่เป็นแน่ แค่เข้าไปในโรงพยาบาล
แต่เขาไม่สนใจจะหาคำตอบ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากว่าเสียงเครียด
“พี่รัญญ์ ผมว่าเราควรมาคุยกันดีๆ“
“เจ็ด...”
ยังคงไม่ฟัง ใบหน้ามีรอยยิ้มผุดพรายเจ้าเล่ห์ ดวงตาแพรวพราวดุจราชสีห์ไล่ตะครุบเหยื่อเล่น ชนิณเห็นท่าทางนั้นแล้วก็เผลอกำโทรศัพท์แน่น ในหัวครุ่นคิดเป็นพัลวันว่าควรทำอย่างไรต่อไปถึงจะหยุดการกระทำบ้าๆ ของรัญญ์ได้ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อใครบางคนพูดขึ้น
“ผมว่าทางที่ดี คุณยอมเซ็นไปเถอะครับ ผมบอกได้เลยว่าคุณรันมารุเอาจริง”
ไม่ต้องให้คนสนิทของรัญญ์มาบอก เขาก็รู้ แต่ใครมันจะยอมเซ็นได้กันล่ะ
ยอมหรือไม่ยอม มาโมรุก็เดินมายังเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ผายมือไปข้างหน้าเป็นการเชื้อเชิญ
“ถ้าต้องการให้แม่ของคุณมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เชิญนั่งครับ”
“แต่ว่าผม...”
“เชิญครับ”
จะขัดก็ไม่ทันได้พูด ถูกแทรกอีกแล้ว อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแท้ๆ ไม่รู้ทำไมชนิณถึงได้รู้สึกหวาดหวั่นนัก ยอมทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย
เมื่อนั่งเรียบร้อยดี มาโมรุก็หยิบปากกาฝังคริสตัลออกจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้ ชนิณรับมาถือ หมุนหัวปากกาออกมา สายตาเหลือบชำเลืองไปยังคนบนโซฟา