ครั้นมาถึงโถงหลัก ถ้วยชาพลันลอยวูบเข้าหาในพริบตา โจวอวี่เบี่ยงใบหน้าหลบในเสี้ยวเวลา เขายกมือสกัดเอาไว้ได้ทัน กุมไว้ในมือมั่น พลางเดินเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย กวาดตามองนิ่งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่สะเทือนต่อความพิโรธใดๆ
เบื้องหน้าของเขาคือโจวเจ๋อผู่ผู้เป็นบิดา ด้านข้างฝั่งซ้ายมือคือฮูหยินเอกคนปัจจุบันที่ขึ้นมาแทนที่มารดาผู้ล่วงลับของเขา นางมีนามว่า จูเข่อเหริน ส่วนฝั่งด้านขวาคือพี่ชายที่เพิ่งเข้าสกุลมาด้วยฐานะบุตรชายคนโตในฮูหยินเอก โจวจือหยวน
ภาพสามคนพ่อแม่ลูกที่ยืนอยู่ด้วยกันช่างเข้าทีแลดูรักใคร่สมัครสมานเหลือเกิน ทำเอาคนที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่เกือบยี่สิบปีแต่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างเขาคล้ายเป็นเพียงแขกแปลกหน้าผู้มาเยือนอย่างไรอย่างนั้น
โจวอวี่เดินมาหยุดยืนกลางห้องโถง มือคลึงถ้วยชาเล่น ท่าทางไม่แยแสต่อโทสะบิดา
โจวเจ๋อผู่ยิ่งโกรธเกรี้ยวจนดวงตาแดงก่ำ เขาชี้หน้าบุตรชายคนรองอย่างคาดโทษ “เจ้าลูกเนรคุณ! รู้ตัวหรือไม่สิ่งที่เจ้าทำลงไปส่งผลให้ข้าถึงขั้นต้องรับหน้ากับโทสะของฝ่าบาทอย่างไร พระองค์สั่งพักงานข้า เจ้ารู้หรือไม่?”
โจวอวี่เลิกคิ้ว “ก็แค่พักงาน ท่านพ่อจะได้พักผ่อนปะไร นี่มิใช่สมรสพระราชทานเสียหน่อย ท่านไม่ถูกสั่งตัดหัวหรอกน่า”
“เจ้าลูกชั่ว!”
คราวนี้เป็นป้านชาทีเดียวที่ลอยหวือใส่หน้า
โจวอวี่เบี่ยงหลบ ไม่มีหรอกที่จะทำตัวดีๆ ยืนรับโทษนิ่งๆ อย่างที่ควรเป็น
โจวเจ๋อผู่ยิ่งเดือดดาล ชี้หน้าบุตรชายด้วยนิ้วสั่นเทา
“สกุลซุนแม้เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือแต่เขาเป็นถึงสหายร่วมเรียนของฝ่าบาท ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาก็ล้วนแต่เป็นองค์ชาย เจ้ากล้าดีอย่างไรไปหักหาญน้ำใจแม่นางน้อยเว่ยลี่ หา! ถึงขนาดเข้าไปขอถอนหมั้นเขาในสกุลซุนด้วยเหตุผลมีหญิงอื่น เจ้าเสียสติจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร?”
โจวอวี่ยังคงเฉยเมยต่อคำพร่ำบ่นยาวเหยียดนั้น
ทำเอาบิดาถึงขั้นตัวสั่น เขาไอโคลกออกมา สีหน้าท่าทางคล้ายจะกระอักเลือดตลอดเวลาแล้ว
“ท่านพี่” จูเข่อเหรินที่เรียบร้อยอ่อนหวานและดูไร้พิษสงรีบขึงตามองโจวอวี่คล้ายปรามให้เขาหยุด พลางเข้าประคองสามีอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ท่านพี่ ท่านนั่งลงก่อนเจ้าค่ะ”
โจวจือหยวนส่ายหน้าเอือมระอาและรีบยกเก้าอี้มาให้บิดา “ท่านพ่อใจเย็นขอรับ”
โจวอวี่มองภาพสามคนพ่อแม่ลูกที่ห่วงใยกันหนักหนาอย่างเย็นชา
“มีอันใดจะต่อว่าข้าอีกหรือไม่?”
ความหมายคือมีอันใดจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ ข้าไม่ได้มีเวลาฟังท่านพล่ามมากนัก
โจวเจ๋อผู่ยิ่งหายใจหอบด้วยโทสะที่อัดแน่นโพรงอก
“เจ้าลูกทรพี ไสหัวไปซะ!”
คนถูกไล่ด้วยคำรุนแรงเพียงหรี่ตา “ท่านพูดเองนะ”
จบคำก็หมุนตัวเดินจากมาอย่างไม่ยี่หระ แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บปวดจนด้านชา
อย่างไรเสีย คนนอกสายตาก็ย่อมเป็นคนนอก ไร้คนใส่ใจ จะอยู่หรือไปล้วนมีความหมายเดียวกัน
โจวอวี่รู้ตัวดีว่าตนเองมิใช่บุตรชายคนสำคัญของบิดา
ปล่อยให้สามคนพ่อแม่ลูกเขาอยู่กันเองย่อมผาสุกกว่า
ธรรมชาติของคนเรามักรักลูกที่เกิดจากสตรีอันเป็นที่รักมากกว่าลูกที่เกิดจากสตรีที่ไม่ได้รัก
ตัวเขาเองก็คงเป็นเช่นนั้น หากให้แต่งงานกับสตรีที่เขาชัง อย่างไรเสียก็รักลูกที่เกิดจากนางไม่ลง
ดังนั้นโจวอวี่ผู้นี้ย่อมต้องเลือกแต่งกับสตรีที่รักเท่านั้น
ลูกที่เกิดจากภรรยาจะมีกี่คนล้วนเป็นดั่งแก้วตาดวงใจเท่าเทียม ไม่ลำเอียงแบ่งแยกเช่นที่เขากำลังเผชิญ
แต่หากไม่รักต่อให้ต้องตายก็ไม่ขอแตะต้องเป็นอันขาด
สัมพันธ์สวาทมิใช่สตรีใดจะได้รับจากเขาง่ายๆ
เขาอยากมีลูกหลายคน มิได้อยากมีภรรยาหลายคน
เมื่อเดินออกมานอกโถงหลัก ชายหนุ่มเพียงโบกมือให้ลู่ซี “เจ้าเก็บสัมภาระเรียบร้อยดีหรือไม่?”
ลู่ซีเบิกตามองอย่างกังวล “คุณชายรอง บาดแผลท่าน”
“ไม่มีใครถามสักคำ เจ้าจะใส่ใจไย รีบไปเถอะ”
เมื่อผู้เป็นนายว่าอย่างนั้น บ่าวไหนเลยจะกล่าวคำใดได้อีก ลู่ซีจึงค้อมกายเดินตามหลังโจวอวี่ไปอย่างเชื่อฟัง
บาดแผลของโจวอวี่แท้จริงมิได้หนักหนาอันใด เพียงเป็นรอยหมัดรอยเล็บขีดข่วนบนใบหน้าเท่านั้น แต่ปกติแล้วชายหนุ่มมีผิวพรรณที่ดีมากเหมือนมารดา ทั้งเนียนและขาวกระจ่างสะอาดตา การมีริ้วรอยเช่นนี้แม้เพียงเล็กน้อยทว่าย่อมโดดเด่นสะดุดตา กระนั้นบิดากลับไม่ถาม ทำเอาคนเป็นลูกให้รู้สึกยากจะบรรยาย
“น้องรอง ช้าก่อน”
เสียงทุ้มต่ำนั้นทำโจวอวี่หยุดเดินก่อนเอียงหน้าปรายตามองเงียบๆ
ผู้เรียกคือโจวจือหยวน เขาเดินตามโจวอวี่ออกมาจากโถง “เจ้ากลับไปขอโทษท่านพ่อเถิด เรื่องราวจะได้ไม่บานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้ ส่วนเรื่องแม่นางน้อยซุนเว่ยลี่ค่อยๆ พูดจากันดีๆ ย่อมแก้ไขได้ เจ้ากับท่านพ่ออย่าได้มีเรื่องหมางใจกันเลย”
สีหน้าและแววตาของโจวจือหยวนสุภาพอ่อนโยน น้ำเสียงยังสัตย์ซื่อจริงใจปานนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมใดล้วนสมควรได้รับความไว้วางใจ ใครที่คิดคลางแคลงย่อมมีจิตใจที่ดำมืดไม่บริสุทธิ์
โจวอวี่มองพี่ชายนิ่งนาน ไร้ซึ่งวาจา แววตาเย็นชาลึกล้ำประหนึ่งก้นบึงน้ำแข็งที่ลึกลับยากหยั่งถึง
“น้องรอง...” โจวจือหยวนครางชื่อน้องชายอย่างอ่อนใจ เขามองแววตาเย็นเยียบเยี่ยงนี้ไม่ไหวจึงเบี่ยงหน้าออกไม่มองอีก
โจวอวี่ถอนหายใจ หันหลังเดินต่อพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“พี่ใหญ่กลับไปดูแลท่านพ่อเถิด ไม่ต้องมาสนใจคนเช่นข้า สกุลโจวที่ยิ่งใหญ่นี้ข้าฝากท่านใส่ใจให้มากหน่อยแล้วกัน วันทั้งวันอย่าเอาแต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวจึงจะดี”
วาจาสบประมาทรุนแรงยิ่งกว่าคำว่าขลาดเขลาเสียอีก
ทว่าคนกลับไม่โกรธ โจวจือหยวนเพียงเบิกตาถามยามเดินตาม “เจ้าจะไปไหนหรือ?”
โจวอวี่ตอบโดยไม่หันมา “ข้าจะไปไหนก็เรื่องของข้า พี่กับฮูหยินอยู่กับท่านพ่ออย่างที่ควรเป็นเถอะ”
“น้องรอง” น้ำเสียงของพี่ชายแฝงความเว้าวอนปานนั้น ทว่าคนฟังกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง เพียงเดินห่างออกไปเรื่อยๆ