ยิ่งคิดโทสะยิ่งพวยพุ่งจนเส้นเลือดสีแดงแตกซ่านขึ้นม่านตา จ้าวเล่อเสียกะพริบตาเพียงหนึ่งครา เปลวเทียนพลันดับวูบทั้งห้อง กระแสปรานอันตรายทะลักทลายปกคลุมทั่วบริเวณ
นางอุตส่าห์ขยันพากเพียรทำตัวอ่อนโยนนุ่มนวลเพื่อเขา แต่เจ้าตัวบัดซบนั่นกลับไม่เห็นค่า
ฮึ! จืดชืดหรือ? ไม่คู่ควรหรือ?
โต๊ะกลมเบื้องหน้าพลันลั่นดังเปรียะๆ ก่อนจะหักโครม แหลกละเอียดคามือแม่นางน้อย
จ้าวเล่อเสียโมโหอย่างยิ่ง
สองประโยคนั้นของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าการที่เขาไปลอยโคมกับหญิงอื่นเสียอีก
นางที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองกลับถูกตราหน้าว่าจืดชืดเนี่ยนะ
ฮึ่ม! คนนะไม่ใช่หัวผักกาด จะได้ไร้รสชาติปานนั้น!
ฮึ! แต่จะว่าไป หัวผักกาดก็หวานกรอบดีอยู่นะ โอ้! นี่นางย่ำแย่ยิ่งกว่าหัวผักกาดอีกหรือ?
จ้าวเล่อเสียเริ่มฟุ้งซ่านไปไกลแล้ว นางไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้ พี่ชายทั้งสองต่างก็รักนาง พี่สะใภ้ก็รักนาง บิดามารดาท่านตาทวดล้วนรักนาง
ไม่เคยมีบุรุษใดสะบั้นรักนาง
ท่าทางร้างเยื่อใยเช่นนั้น...ช่างน่าเจ็บใจเกินไปแล้ว!
ไม่ง่ายเลยกว่าจ้าวเล่อเสียจะสงบสติได้
หลังจากนั่งทำสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อควบคุมลมปรานจนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จ้าวเล่อเสียก็จัดการเก็บสัมภาระทันที
พอทีความรักเหลวไหลไร้แก่นสาร นางจะยืนหยัดในหลักการที่ว่าสองฝ่ายต้องพึงพอใจกันและกัน ให้เกียรติกันและเสมอภาคเท่าเทียม เรื่องหัวใจต้องไม่มีใครบังคับใครทั้งสิ้น
นับจากนี้นางจะกินนอนท่องยุทธภพไม่สนกฎเกณฑ์ เอาดีด้านวรยุทธ์ เดินทางทำการค้า ไม่สนใจบุรุษหน้าไหนทั้งนั้น
ครั้นออกมานอกห้อง ได้พบเจอกับซุนซืออี้กับซุนซูเย่กำลังหน้าเคร่งขรึมอยู่ในโถงเรือนรับรอง จ้าวเล่อเสียคิดว่าพวกเขาคงนั่งถกตำราปราชญ์กัน จึงรักษากิริยามารยาทอันดีงามไว้ นางค่อยๆ เดินเข้ามาแล้วยอบกายคารวะบุรุษทั้งสองอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล
“คารวะท่านพ่อบุญธรรม พี่ชาย...”
การทำตัวอ่อนโยนดุจสายน้ำอันไร้ที่ติไม่มีด่างพร้อยเช่นนี้ ดรุณีผู้หนึ่งมิได้ทำเพื่อเอาอกเอาใจโจวอวี่อย่างเดียว แต่นางทำเพื่อรักษาเกียรติและหน้าตาของสกุลซุนไว้ด้วย
ชื่อเสียงดีเลิศที่สั่งสมก็เพื่อตอบแทนพวกเขาสองคนพ่อลูกที่ดูแลนางอย่างดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
“เว่ยลี่...เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” แม้แววตาจะแตกตื่นตกใจเพียงใด แต่ซุนซืออี้ก็ถามด้วยความสุขุมเคร่งขรึมตามวิสัย
ซุนซูเย่ก็เช่นกัน เขาถามน้องสาวด้วยสุ้มเสียงสำรวมอย่างเป็นห่วงเป็นใย “น้องเว่ยลี่หอบห่อผ้าเช่นนี้ จะไปที่ใดหรือ?”
กระนั้น แม้ทั้งสองจะรักษาท่าทางสุภาพปานใด หากแต่จ้าวเล่อเสียกลับจับสังเกตปฏิกิริยาที่ผิดปกติเล็กน้อยได้
“พวกท่านมีสิ่งใดทำให้ไม่สบายใจหรือไร ไยหัวคิ้วขมวด”
ซุนซืออี้เอามือไพล่หลังส่ายหน้าเบาๆ พลางทอดถอนใจอย่างไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เป็นซุนซูเย่ที่เดินเข้ามาหาจ้าวเล่อเสีย จับบ่าน้อยๆ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แล้วค่อยๆ เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม
“เมื่อครู่โจวอวี่ของเจ้าเข้าพบท่านพ่อด้วยหน้าตาบวมปูด เขา...เอ่อ...” ท่าทางยามเอ่ยลำบากใจอย่างยิ่ง
จ้าวเล่อเสียยืนนิ่งเพื่อตั้งใจฟังอย่างสำรวมกิริยา ไร้ท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ ทว่าฝ่ายซุนซูเย่กลับยังคงมีสีหน้ามิสู้ดีเท่าใดนักด้วยไม่รู้จะถนอมน้ำใจคนฟังอย่างไรยามกล่าวประโยคต่อมาว่า “เขาบอกว่าบาดแผลที่ได้รับ ล้วนเป็นฝีมือเจ้า”
จ้าวเล่อเสียยังคงสงวนท่าทีอันเหมาะสม
“อ้อ...เจ้าค่ะ”
ซุนซืออี้สีหน้าเศร้าหมอง แววตาเผยความห่วงใยมากล้น “ข้ารู้ดีว่าที่แท้เจ้ามีวรยุทธ์ ทว่าปกติเจ้ามักควบคุมตัวเองได้ดี ศาสตร์สตรีที่เรียนรู้จนแตกฉาน เจ้าล้วนรักษาไว้ได้อย่างเหมาะสม ไหนเลยเคยหลุดกิริยาอันใด ไฉนโจวอวี่ถึงไม่เห็นความดีกัน?”
จ้าวเล่อเสียมุ่นคิ้ว “เขาบอกเหตุผลที่ต้องการถอนหมั้นเพราะว่าถูกข้าตีหรือเจ้าคะ? หรือเขาขู่ไปแจ้งทางการให้สกุลซุนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอันดีงาม”
หากเขากล้าใช้เหตุผลนี้ เขากับนางย่อมต้องได้เห็นดีกัน นางจะตามไปจัดการเขาให้พิการเลยคอยดู ฮึ!
ขณะที่จ้าวเล่อเสียเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างอำมหิตโหดร้าย ซุนซูเย่พลันเอ่ย “เปล่าหรอก เขาบอกว่าตนเองมีหญิงอื่นในใจจึงถูกเจ้าตี ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอถอนหมั้นโดยสินสอดให้สกุลเรายึดไว้ ส่วนค่าชดเชยอื่นๆ จะจัดส่งมาภายหลังตามความเหมาะสม เพียงแต่ข้าเห็นสภาพของเขาแล้ว เจ้าลงมือหนักเกินไปหรือไม่? จากที่เขาผิดจะกลายเป็นน่าเห็นใจหรือเปล่า? ผู้อื่นอาจกล่าวโทษเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมเอาได้”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พ่อลูกคู่นี้กำลังห่วงความรู้สึกนางมากกว่าชื่อเสียงสกุลเสียอีก
จ้าวเล่อเสียมองพวกเขาอย่างซาบซึ้ง
หลังจากออกปากอย่างหนักแน่นว่านางไม่เป็นอันใด ไม่เศร้าไม่เสียใจใดๆ ทั้งสิ้น จนพ่อลูกวางใจลง สาวน้อยก็สนทนากับพวกเขาอีกครู่หนึ่งจึงบอกกล่าวถึงเป้าหมายของตัวเอง
“ข้าปรารถนาท่องเที่ยวอีกแล้วเจ้าค่ะ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าอยู่ที่นี่มีความสุขมาก วันนี้จึงถือโอกาสกล่าวอำลาต่อท่านพ่อและพี่ชาย”
แม่นางน้อยลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปวาดแขนแล้วกุมมือคารวะซุนซืออี้อย่างเต็มพิธีการ จากนั้นก็หันมาคำนับซุนซูเย่
“ท่านพี่ซูเย่สมควรแต่งงานมีหลานให้ท่านพ่อได้แล้ว ในสายตาสตรีด้วยกันข้ามองออกว่าคุณหนูกัวหมิงเจี๋ยรักท่านมาก ในบรรดาสตรีที่หมายปองท่านนางไม่มีความทะเยอทะยาน มีเพียงความจริงใจที่สุด ทั้งใสซื่อบริสุทธิ์ไร้การเสแสร้งอย่างแท้จริงเจ้าค่ะ”
วาจายาวเหยียดของจ้าวเล่อเสีย ทำซุนซูเย่หน้าแดงก่ำ
สีชาดระเรื่อนั้นลามไปถึงใบหูและลำคอแล้ว
เขากำมือกระแอมไอกลบเกลื่อนอาการเขินอาย
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ”
ซุนซืออี้เห็นบุตรชายผู้สำรวมถึงขั้นหลุดกิริยาจึงหัวเราะหึๆ
จ้าวเล่อเสียเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดของตนให้กลายเป็นบรรยากาศแสนดีของอีกคนได้อย่างแนบเนียน
ดรุณีน้อยเอียงคอยิ้มระรื่น “หากข้ามาเที่ยวที่นี่อีกครั้งหน้า หวังว่าจะได้เจอท่านกับพี่สะใภ้มีหลานให้อุ้มนะเจ้าคะ”
“จ่ะ เจ้า...”
ซุนซูเย่ถูกเย้าจนขัดเขินเกินไปแล้ว คนยังไม่ทันแต่งงาน อันใดคือเจอเขากับพี่สะใภ้มีหลานให้อุ้ม ข้ามขั้นเหลือเกิน
จากนั้น จ้าวเล่อเสียในชุดบุรุษสีขรึมก็ถึงคราวโบกมืออำลา ท่วงท่ายามเดินออกไปจากประตูช่างห้าวหาญนัก ไหนเลยยังมีดรุณีนางน้อยผู้เรียบร้อยอ่อนหวานแห่งสกุลซุนหลงเหลืออยู่อีก
[1]จากนิยายเรื่อง ‘ยามรักปักใจ’