บทที่ 1 - โลกคู่ขนานที่มีอยู่จริง 2

1649 คำ
ดังนั้นตลอดระยะเวลาเก้าเดือน ทั้งฮองเฮาและนางกำนัลผู้นั้นก็ไม่เคยย่างกรายออกจากตำหนักเลยแม้แต่น้อย จวบจนนางกำนัลผู้นั้นคลอด เด็กชายที่เกิดมาจึงถูกเข้าใจว่าเป็นโอรสของฮองเฮาและเป็นพระโอรสพระองค์แรกของฮ่องเต้ และเพื่อความมั่นคงในตำแหน่งที่ครอบครองอยู่ ฮองเฮาจึงได้ลงมือฆ่านางกำนัลผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าขององค์ชายใหญ่ทิ้ง ทันทีที่หยางเว่ยหลงอายุครบหกเดือน และปิดปากคนอื่นๆ ทุกคนที่รู้ความจริงทั้งหมด และเมื่อหยางเว่ยหลงได้รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วมารดาผู้ให้กำเนิดถูกสตรีที่เขาเรียกว่าเสด็จแม่มาตลอดชีวิตฆ่าตาย ชายหนุ่มวัยสิบห้าก็เข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้นกับในทันที และนั่นก็เป็นโอกาสดีให้ฮองเฮาสามารถสังหารเขาได้ ทว่าคนที่วิ่งเข้ามารับคมมีดสั้นของฮองเฮาแทนเขานั้นกลับเป็นหลี่จิ้น สหายสนิทคนเดียวที่หยางเว่ยหลงมี หลี่จิ้นถูกมีดสั้นของฮองเฮาแทงเข้าตรงหัวใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายสังหารฮองเฮาให้ตายตกไปพร้อมๆ กัน ประโยคสุดท้ายที่หลี่จิ้นพูดไว้ก่อนสิ้นใจ นั่นคือให้เขาช่วยดูแลน้องสาวของอีกฝ่ายให้ดี และหลังจากที่จัดการเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย หยางเว่ยหลงก็เรียกตัวหลี่ชิงเยว่เข้าวัง ในตอนนั้นนางมีอายุเพียงสิบหนาว ยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยความวุ่นวายและความไม่สงบของบ้านเมือง จึงทำให้นางต้องสูญเสียคนในครอบครัวที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไป ตระกูลหลี่เดิมทีเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง แต่ด้วยความมุมานะ บิดาของหลี่จิ้นจึงสามารถสอบได้ตำแหน่งจองหงวน และรับราชการเรื่อยมาจนได้ครองตำแหน่งขุนนางขั้นสองเป็นเจ้ากรมยุติธรรม บิดาของหลี่จิ้นมีบุตรเพียงสองคนเท่านั้นคือหลี่จิ้นกับหลี่ชิงเยว่ ด้วยเพราะหลังจากที่ผู้เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวตายภายหลังคลอดบุตรสาวได้เพียงสองปี บิดาของหลี่จิ้นก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ และด้วยหน้าที่การงานของเจ้ากรมยุติธรรม ความซื่อสัตย์และเที่ยงตรงของเขาจึงไปขัดขวางผู้มีอำนาจผู้หนึ่งเข้า ทำให้ถูกฆ่าตายอย่างปริศนาในตอนที่หลี่ชิงเยว่อายุได้เก้าหนาว และพอมีอายุสิบหนาว พี่ชายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ต้องมาตายตกแทนหยางเว่ยหลง บุคคลผู้ที่กำลังยืนทอดถอนหายใจอยู่ริมหน้าต่างในเวลาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ “ทรงบรรทมไม่หลับอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเฉิง ขันทีข้างกายคนสนิทเดินเข้ามาในห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิพร้อมกับเอ่ยถาม “อืม...รู้สึกเบื่อๆ” หยางเว่ยหลงเอ่ยขึ้นคำหนึ่ง “เช่นนั้นเสด็จตำหนักในดีไหมพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จวังหลังมาหลายเดือนแล้ว” ด้วยเพราะเวลานี้จักรพรรดิหยางเว่ยหลงมีพระชนม์มายุยี่สิบห้าชันษาแล้ว ทว่ากลับยังไร้ซึ่งทายาททั้งโอรสธิดา ทั้งๆ ที่มีเหล่าสนมชายาอยู่ในวังหลังไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นองค์ฮองเฮาหรือเฟยทั้งสี่ แต่จนป่านนี้กลับยังไม่มีผู้ใดสามารถตั้งครรภ์มังกรถวายองค์จักรพรรดิได้ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากตัวขององค์จักรพรรดิเอง ที่มิทรงโปรดเสด็จเยือนฝ่ายในสักเท่าใด จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าขุนนางมักจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังอยู่บ่อยๆ โดยใช้เรื่องการสืบเชื้อสายขององค์จักรพรรดิเป็นข้ออ้าง ในขณะที่จุดประสงค์ที่แท้จริงกลับเป็นการอยากส่งบุตรหลานของตนเองเข้าวัง เพื่อสร้างฐานอำนาจของตนเองในราชสำนัก “ไม่ได้ไปแต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีมิใช่รึ? หรือว่ามีปัญหาใดที่ฮองเฮาแก้ไขไม่ได้” “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ทุกตำหนักในวังหลังเรียบร้อยดีทุกประการ” เงียบเชียบเรียบร้อยดีจนถึงขึ้นจะกลายเป็นตำหนักร้างไปแล้วทั้งๆ ที่มีคนอยู่พ่ะย่ะค่ะ ซิ่นเฉิงเอ่ยต่อในใจ “เช่นนั้นแล้วจะไปทำไม” หยางเว่ยหลงเอ่ยแล้วเดินกลับไปนั่งลงบนเตียง สายตาของจักรพรรดิหนุ่มมองไปยังขันทีคนสนิท ที่ทำหน้าเหมือนยังอยากจะพูดอะไรต่อ “มีอะไรก็ว่ามา” หยางเว่ยหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดจะรำคาญ “ทูลถามฝ่าบาท ต้องการให้กระหม่อมนำป้ายมาให้ทรงเลือกไหมพ่ะย่ะค่ะ” “คราวนี้เป็นใครอีกล่ะ” หยางเว่ยหลงเอ่ยถามกลับโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่ซิ่นเฉิงถาม “กราบทูลฝ่าบาท เป็นเสนาบดีกรมขุนนางพ่ะย่ะค่ะ” ได้ยินแล้วหยางเว่ยหลงก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ ชายหนุ่มเอนกายลงบนเตียงพลางคิดหาทางสั่งสอนเสนาบดีผู้นั้นอยู่ในใจ “ซิ่นเฉิง” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “พรุ่งนี้ส่งคนไปที่จวนเสนาบดีกรมขุนนาง บอกเขาว่าภายในเจ็ดวัน หากบุตรสาวของเขาไม่ออกเรือน เราจะมอบราชโองการแต่งงานให้...ให้นางแต่งเข้าจวนเสนาบดีราชเลขาธิการในตำแหน่งอนุ” “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ซิ่นเฉิงรับคำเจ้าเหนือหัวก่อนจะทูลลาแล้วเดินออกจากห้องบรรทมของพระองค์ไป ขันทีวัยชราส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ เสนาบดีราชเลขาธิการนั้นเป็นผู้ใด? ปีนี้บุรุษผู้นั้นมีอายุปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว ยังจะทรงให้แต่งอนุเข้าจวนอีก ฝ่าบาททรงกลั่นแกล้งรังแกคนอีกแล้ว... ทว่านั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อขุนนางผู้นั้นชอบล่วงล้ำเขตหวงห้ามขององค์จักรพรรดิอยู่เสมอ โดนเอาคืนบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควร สิ่งที่หยางเว่ยหลงไม่ชอบมากที่สุด คือการที่บรรดาขุนนางในราชสำนักมักจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหลังบ้านของเขา หลังจากที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้และจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ หยางเว่ยหลงก็จัดการบรรดาขุนนางเรืองอำนาจทั้งหลาย ที่ตั้งตนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับอดีตฮองเฮาจนหมดสิ้น จะเรียกว่าล้มล้างขั้วอำนาจเก่าทั้งหมดทิ้งไปก็เห็นจะไม่เกินจริง หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงคัดสรรหาคนมาดำรงในตำแหน่งต่างๆ ใหม่ ถือเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ทั้งหมด ไม่ให้เหลือพวกขุนนางคนเก่าในอดีตอยู่อีก หลักเกณฑ์ใดๆ ล้วนถูกชายหนุ่มปรับเปลี่ยนใหม่ให้เหมาะสม รวมไปถึงการคัดเลือกสนมชายาของเขาเองด้วย หยางเว่ยหลงไม่เลือกสรรสตรีที่มาจากตระกูลมีหรือเคยมีอำนาจ แต่กลับเลือกสรรสตรีที่เขาคิดว่าปลอดภัยสำหรับเขามาอยู่ข้างกาย หวังเฟยจูเป็นคนแรกที่ชายหนุ่มให้มาดำรงตำแหน่งฮองเฮา ด้วยเพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นน้องสาวของหย่งอ๋อง เจ้าผู้ครองแคว้นอ้ายหย่งที่อยู่ติดกับแคว้นตงเทียน เหตุผลเพราะไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีชาติกำเนิดที่สูงส่งคู่ควร แต่เป็นเพราะว่าหวังเฟยจูไม่มีใจชมชอบในบุรุษเช่นเขาต่างหาก ส่วนสนมชายาคนอื่นๆ ก็มาจากตระกูลบัณฑิตเล็กๆ หรือไม่ก็ตระกูลค้าขาย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มาจากตระกูลนาง นั่นก็คือหลี่กุ้ยเฟย...หลี่ชิงเยว่ สิบปีก่อนหยางเว่ยหลงพาตัวนางมาชุบเลี้ยงในหวัง ห้าปีให้หลังจึงได้มอบตำแหน่งกุ้ยเฟยให้ ด้วยเพราะต้องการตอบแทนน้ำใจของคนตระกูลหลี่ที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ในอดีต โดยเฉพาะหลี่จิ้นพี่ชายของนาง ทว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น หลี่ชิงเยว่เกิดพลัดตกลงไปในทะเลสาบ ในระหว่างที่กำลังนั่งเรือชมความงามและเงียบสงบของอุทยานที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง หลี่ชิงเยว่ตกน้ำไปนานหลายเค่อกว่าที่จะมีคนลงไปช่วยขึ้นมาได้ หลังจากนั้นนางก็หมดสติไปนานร่วมเดือน ก่อนจะรู้สึกตัวและฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ แต่หลังจากที่ฟื้นคืนสติ หลี่ชิงเยว่ก็คล้ายจะแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน... ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเยว่นับว่าเป็นสตรีเรียบร้อย พูดน้อย อ่อนหวานผู้หนึ่ง กิริยามารยาทล้วนถูกต้องตามแบบของสตรีที่เติบโตมาในวังหลวงทุกกระเบียดนิ้ว ทว่าหลังจากที่ฟื้นคืนสติขึ้นมา หลี่ชิงเยว่ก็ทำตัวราวกับว่าได้สูญเสียความทรงจำทุกอย่างไป นางจำสาวใช้คนสนิทของตัวเองไม่ได้ กระทั่งชื่อของตัวเองก็จำไม่ได้ อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจักรพรรดิหยางเว่ยหลงเป็นผู้ใด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้...นางยังเคยบอกรักจักรพรรดิหยางเว่ยหลงผู้นี้อยู่เลย... คิดมาถึงตรงนี้ หยางเว่ยหลงก็รู้สึกวุ่นวายในอก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่การที่เขาจะปล่อยให้นางจดจำเขาไม่ได้ไปตลอดกาลนั้น เป็นสิ่งที่ลึกๆ แล้วจักรพรรดิเช่นเขาไม่พึงปรารถนา แม้ว่าเขาจะตอบรับไมตรีที่นางมีให้ไม่ได้ แต่เขาก็จะไม่ยอมให้นางลืมเลือนเขาเป็นอันขาด! “ซิ่นเฉิง! เตรียมเกี้ยว เราจะไปตำหนักรุ่ยเซียง!” แล้วจักรพรรดิหยางเว่ยหลงก็ทรงเสด็จไปที่ตำหนักของหลี่กุ้ยเฟยกลางดึก ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ได้เสด็จไปที่วังหลังในเวลากลางคืนมานานหลายเดือนแล้ว ซิ่นเฉิงทั้งตกใจและแปลกใจ ทว่าขันทีชราก็เร่งสั่งการให้คนไปเตรียมเกี้ยว ก่อนที่องค์จักรพรรดิจะทรงเปลี่ยนพระทัย “ไปจัดเตรียมขบวนให้พร้อม ส่งคนไปแจ้งที่ตำหนักรุ่ยเซียงด้วยว่าฝ่าบาทจะเสด็จ เร็ว!” “ขอรับกงกง” ขันทีชั้นผู้น้อยโน้มกายรับคำสั่งแล้ววิ่งหายไปในความมืดด้วยความรวดเร็ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม