เกิดเรื่อง

1993 คำ
เซี่ยอันหรานนั่งคิดนอนคิด ก็จำไม่ได้ว่าตนเองเคยฝันถึงเรื่องพี่ชายของอี้เฟิงหรือไม่ คงเป็นเพราะนางฝันถึงในมุมของตนเองเท่านั้น “เห็นทีเรื่องนี้คงต้องไปถามท่านพ่อเสียแล้ว” เมื่อคิดได้ดังนั้นก็รีบไปขออนุญาตท่านย่า เพื่อพาอวี้หลิงออกไปพบครอบครัวสกุลเซี่ยด้วยกัน ซึ่งท่านย่ากับท่านแม่ก็ไม่ได้ว่าอันใด เพียงกำชับให้ดูแลบุตรสาวให้ดี รถม้าจากเรือนสกุลหลิว จึงมุ่งตรงไปที่คลังสินค้าของเรือนสกุลเซี่ย สกุลเดิมของอันหรานเป็นสกุลพ่อค้า ล่องเรือไปขายสินค้าตามแคว้นต่างๆ จึงต้องมีคลังสินค้าไว้เก็บของจำนวนมากเหล่านั้น เป็นเรื่องดีที่เมืองหลวงของแคว้นตง มีลำน้ำใหญ่ให้เรือสินค้าจอดเทียบท่าได้ ทั้งบริเวณท่าเรือยังเป็นตลาดใหญ่ สามารถเทียบท่าและขายสินค้าได้โดยไม่ต้องเสียค่าแรงในการขนส่งอีก “โอ้โห! ท่านตาท่านยายนอนบนเรือนั่นหรือเจ้าคะ” “ฮ่าๆ มิใช่ เรือเหล่านั้นใช้ขนสินค้ามาขาย ส่วนท่านตา ท่านยาย และท่านลุงทำงานอยู่ตรงนั้น อ่อ! แล้วพวกเขาก็มีเรือนอีกหลังอยู่ทางนู้น” คอสั้นเหลียวมองตามที่มารดาชี้ไป ด้วยเด็กหญิงไม่ค่อยได้ออกจากเรือน จึงได้ตื่นตาตื่นใจกับเรือสินค้าตรงหน้า “โอ๊ะ! อวี้หลิงหลานตามาแล้วหรือ มาๆ เข้ามาทางนี้ก่อน” “ไปเถิด ท่านตาคงเตรียมขนมให้เจ้าแล้ว” เมื่อมารดาพยักหน้าให้ อวี้หลิงจึงค่อยๆ เดินไปหาผู้เป็นตา ดูท่าทางท่านตาก็เป็นคนใจดี เด็กน้อยจึงมิได้หวาดกลัว ยอมให้ท่านตาอุ้มเข้าไปบริเวณคลังเก็บสินค้า และก็เป็นอย่างที่อันหรานคิด บุตรสาวของนางเข้ากันได้ดีกับครอบครัวสกุลเซี่ย ทั้งที่ก่อนหน้าไม่ค่อยได้พบกันบ่อย คงเพราะเห็นว่าทั้งสามใจดี อีกอย่างท่านพ่อและพี่ใหญ่ของอันหรานเป็นคนตลกขบขัน ช่างพูดช่างเจรจา เด็กหญิงตัวน้อยจึงไว้ใจ ยอมให้อุ้มให้กอด “เจ้าอยู่รอที่นี่เถิด พี่จะพาหลิงเอ๋อร์ไปเลือกของบนเรือเสียหน่อย” “ดูแลหลานด้วยนะเจ้าคะ เสี่ยวจูพาสาวใช้ไปช่วยดูทีเถิด” ฮูหยินราชครูพยักหน้าให้สาวใช้ ตามไปดูแลบุตรสาว เพราะกลัวว่าพี่ชายที่ไร้คู่ ขาดทายาท จะไม่รู้วิธีดูแลเด็กน้อย “พี่ชายเจ้าย่อมดูแลหลานเป็นอย่างดี” “ข้ารู้ดีเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่เห็นเช่นนี้ หลิงหลิงก็ซุกซนไม่น้อย” ว่าไปก็ยิ้มไป “หึๆ แม่ดีใจที่เจ้าคิดได้ กลับมาดูแลหลิงหลิงด้วยตัวเอง มิมีผู้ใดรักบุตรของเราได้เท่าตัวเราหรอก” “ข้าเข้าใจดีเจ้าค่ะท่านแม่ เพราะเหตุนี้ หลังจากที่ข้าหย่าขาดแล้ว จึงไม่คิดจะทิ้งหลิงหลิงให้อยู่กับบิดาของนาง อย่างไรเสียเขาก็ต้องแต่งฮูหยินและมีลูกคนใหม่” เซี่ยอันหรานยิ้มฝืน ทั้งที่นางคิดว่าตนเองไม่มีความรู้สึกใดต่อชายหนุ่มแล้ว แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ก็เป็นอันต้องรู้สึกหนักในอกทุกที “แล้วเจ้ามาหาพ่อกับแม่ เพื่อพาหลานมาเยี่ยมอย่างเดียวหรือ” เซี่ยอู๋ชางเห็นสีหน้าของบุตรสาวไม่ค่อยจะสู้ดี จึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เขาเข้าใจดีว่าบุตรสาวปักใจรักบุตรเขยมาก ทั้งหลิวอี้เฟิงก็เป็นบุรุษที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง นางคงยังมีเยื่อใยกับชายหนุ่มอยู่บ้าง “เจ้าค่ะ แต่ที่จริงข้ามีบางเรื่องจะถามท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” “เรื่องใดหรือ” “เรื่องพี่ชายของหลิวอี้เฟิงเจ้าค่ะ พวกท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าเขาสิ้นใจด้วยเหตุใด” คำถามของบุตรสาว ทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างลำบากใจ “พอจะรู้อยู่บ้าง แต่พ่อก็มิได้รู้ตื้นลึกหนาบาง…เรื่องนี้ถือว่าเป็นตราบาปที่ทำให้สกุลหลิวอับอาย เป็นขี้ปากชาวบ้านกันทั่วเมือง” ทั้งคู่เริ่มเอ่ยเล่าเรื่องราวเท่าที่ตนเองรู้มา เดิมที หลิวจิ้งหยาง คุณชายใหญ่สกุลหลิว ถือว่าเป็นบุรุษที่ดีพร้อมไปเสียทุกด้าน เว้นก็แต่เอกบุรุษไม่สนใจทางโลก มุ่งหน้าสู่ทางธรรม เขาลาครอบครัวไปเป็นนักบวช ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในกฎระเบียบ ข้อบังคับ ถึงขั้นอาศัยอยู่อารามบนเขา นานทีปีหนจะกลับเรือน ทว่าเมื่อหลายปีก่อน ชาวบ้านหลายคนเข้าไปพบเห็นคุณชายใหญ่ พาสตรีขึ้นไปหลับนอนในอารามบนเขา ชาวบ้านจึงทำการขับไล่ สาปส่ง จนเจ้าตัวคิดสั้น ฆ่าตัวตาย “ปลิดชีพตนเองหรอกหรือ” “แต่เรื่องนี้ พ่อเองก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า สตรีพวกนั้นใช้ยาปลุกกำหนัดกับเขา แต่บ้างก็ว่านั่นเป็นข่าวลือที่สกุลหลิวปล่อยออกมา เพื่อไม่ให้อับอายไปมากกว่านี้” “เรื่องเป็นเช่นนี้เองหรือ ถึงว่า…” หลิวอี้เฟิงถึงได้รังเกียจนางหนักหนา คงเพราะนางใช้วิธีเดียวกันกับสตรีที่ทำให้พี่ชายต้องตาย หลังจากอยู่พูดคุยกับบิดา มารดา และพี่ชายเป็นนานสองนาน อันหรานและอวี้หลิงก็ต้องโบกมือลาครอบครัวสกุลเซี่ย โดยเด็กน้อยให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะกลับมาเยี่ยมทุกคน ทั้งยังยิ้มหน้าบาน เพราะได้กล้องส่องทางไกลติดไม้ติดมือมาด้วย “ประเดี๋ยวแม่จะแวะซื้อของที่ตลาด เจ้าเอาของเล่นที่ได้มาไว้บนรถม้าก่อนดีหรือไม่” “ลูกอยากเอาไปด้วยเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็ตามใจ มาเถิด” เมื่อบุตรสาวยืนยันเช่นนั้น อันหรานก็ไม่ขัด เพราะคิดว่ากล้องส่องทางไกลเพียงอันใด คงไม่เกะกะวุ่นวาย ทว่าอันหรานกลับคิดน้อยไป เพราะระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังเลือกซื้อของไปทำขนมอยู่นั้น ก็มีเด็กชายอายุราวหกขวบ มาดึงยื้อกล้องส่องทางไกลออกจากมือของหลิงหลิง “เอาของข้าคืนมานะ” “ข้าจะเอา เจ้าจะขายเท่าใดก็ว่ามา” เด็กชายไม่รู้ความ เท้าสะเอวมอง “ไม่ขาย ท่านแม่เจ้าขา ฮื่อ~” “มิต้องร้องลูก พี่ชายเพียงอยากยืมเล่นกระมัง ประเดี๋ยวเขาก็คืนให้เจ้าแล้ว” อันหรานว่า พลางยื่นมือไปขอของคืนจากเด็กน้อย แต่เด็กผู้นั้นกลับเอากล้องส่องทางไกล ฟาดมืออันหรานอย่างแรง พลางผลักอวี้หลิงจนล้มลงกับพื้น เสียงร้องไห้ของเด็กสาวทำเอาคนรอบข้างหันมาสนใจ อันหรานเห็นมือเล็กๆ ของบุตรสาวมีแผล ก็รีบหาผ้ามาเช็ด พลันกอดปลอบร่างเล็กไปด้วย แต่ไม่วายตวัดตามองเด็กชายนิสัยเสีย จนสะดุ้งโหยง แหกปากร้องไห้เสียงดังขึ้นมาอีกคน “อาฟู่หลานอา! เป็นอันใด เหตุใดจึงร้องไห้” เสียงหวานของสตรีที่อันหรานคุ้นเคยดังขึ้น ทำให้รู้ว่าเด็กชายนิสัยเสียคนนี้ เป็นคุณชายน้อยของสกุลจ้ง เพราะเมื่อครู่จ้งเถียนเหม่ยเอ่ยแทนตนว่าอา “ป้าคนนี้ทำข้าขอรับ ฮึก” “หลิวฮูหยิน ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว เหตุใดจึงคิดกลั่นแกล้งเด็กตาดำๆ จิตใจอำมหิตเกินคน” จ้งเถียนเหม่ยด่าเสียงดัง จนคนที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินกันทั่ว เซี่ยอันหรานจึงยิ้มเยาะ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการให้นางอับอาย แต่ครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้จ้งเถียนเหม่ย สมหวังเป็นอันขาด “แล้วคุณหนูจ้งเล่า ถูกสอนมาอย่างไร จึงใส่ความผู้อื่นโดยไม่ไต่ถามเรื่องราวให้ชัดเจน เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น” “ชักจะเกินไปแล้วนะ ทำผิดยังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ หลานชายข้าร้องไห้ดังลั่นถึงเพียงนี้” “แล้วบุตรสาวข้าไม่ร้องไห้อย่างนั้นหรือ” อันหรานอุ้มบุตรสาวแนบอก พลางถกเถียงกับสตรีตรงหน้าไม่เลิก “…” “อีกอย่าง หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่ ว่าหลานชายของเจ้าฉกฉวยเอาของจากบุตรสาวข้าไปก่อน เฮ้อ! ไม่รู้ว่าสอนกันมาอย่างไร” “อย่าได้เอ่ยดูแคลนสกุลของข้า” เมื่อผู้เป็นนายเริ่มอารมณ์ไม่ดี บ่าวไพร่ที่ตามมา ก็กรูเข้าหาอันหรานและบุตร จนเสี่ยวจูต้องรีบเอาตัวมาขวางเอาไว้ “เกิดเรื่องอันใดกันขึ้น” ยังไม่ทันได้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ราชครูหลิวอี้เฟิงก็สาวเท้าเข้ามาเสียก่อน อวี้หลิงเมื่อเห็นบิดามา ก็โผเข้าหาราวกับต้องการที่พึ่งพิง เด็กน้อยสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ผู้ใดเห็นก็ย่อมสงสารจับใจ “อันหราน เหตุใดลูกจึงร้องไห้เช่นนี้ ข้าไม่น่าไว้ใจให้เจ้าพาลูกออกมาเที่ยวเล่นตามลำพังเลย” “ท่านจะมาด่าข้าได้อย่างไร นู่น! คนผิดคือคนของท่าน หาใช่ข้าไม่” ว่าแล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้สามีน่าชังฟัง โดยมีเสี่ยวจูและแม่ค้าที่เห็นเหตุการณ์เป็นพยานให้ “แต่อย่างไรเสีย หน้าที่ดูแลบุตรก็เป็นของเจ้า ปล่อยให้หลิงหลิงมีแผลเช่นนี้ เป็นมารดาที่ใช้ได้แล้วหรือ” “…” “อีกอย่างแทนที่จะรีบพาบุตรไปทำแผล กลับมายืนต่อล้อต่อเถียงเพื่อหาคนผิด” อันหรานอ้าปากหมายจะค้าน แต่ก็เอ่ยแย้งไม่ได้ เพราะนางก็ผิดจริงๆ ที่ไม่รีบพาหลิงหลิงไปทำแผล “แม่ขอโทษนะลูก คนดีของแม่เจ็บมากหรือไม่” “ฮึก เจ็บนิดเดียวเจ้าค่ะ” เด็กน้อยโผมาหาอันหราน อี้เฟิงจึงปล่อยให้บุตรไปอยู่กับมารดา ส่วนตนเองหันมาสนใจเด็กชายที่ทำให้อวี้หลิงของเขาต้องเจ็บตัว “อาฟู่ ข้าขอของเล่นหลิงหลิงคืนด้วย” “นะ นี่ขอรับ” “ต่อไป อย่าได้เที่ยวไปยื้อแย่งของของผู้อื่นเช่นนี้อีก และอย่าคิดใช้กำลังข่มเหงคนอ่อนแอกว่า เราเป็นชาย มีพละกำลังมากกว่า ก็ควรใช้สิ่งที่มีช่วยเหลือผู้อื่น แทนที่จะรังแก” คำสอนยาวเหยียดถูกถ่ายทอดออกมา จ้งเถียนเหม่ยที่ยิ้มเยาะอันหรานก่อนหน้านี้ กลับต้องร้อนรน รีบบอกให้หลานชายเอ่ยขอโทษ “อาฟู่ เจ้าขอโทษน้องหลิงหลิงกับหลิวฮูหยินเสียก่อนเถิด เรื่องนี้เจ้าเป็นคนผิด” เสียงอ่อนเสียงหวาน ราวกับเป็นคนละคนกับที่เถียงอันหรานเมื่อครู่ “ข้าขออภัยขอรับ ข้าขออภัยเจ้าด้วย” “ข้าขออภัยแทนหลานชายด้วยเจ้าค่ะ เขายังเด็กนัก จึงไม่ทันคิดว่าสิ่งไหนควรไม่ควร” “มิเป็นไร ข้าขอตัวก่อน” เมื่อเด็กชายรู้จักขอโทษ อี้เฟิงก็ไม่คิดจะติดใจเอาความ รีบแยกตัวออกมา โดยที่ไม่หันกลับมองจ้งเถียนเหม่ยเลยสักนิด ทำเอาหญิงสาวถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียด กลัวว่าท่านราชครูจะยังโกรธเคืองนาง ทว่าหลิวอี้เฟิงกลับไม่ได้คิดอันใด เร่งพาบุตรสาวมาทำแผลที่เรือน กว่าจะแล้วเสร็จก็ทำเอาบิดา มารดาแทบร้องไห้ตามลูก “มิต้องร้องแล้วๆ คืนนี้พ่อนอนเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่” เห็นว่าบุตรสาวขวัญเสีย อี้เฟิงจึงกอดปลอบ โดยมีอันหรานนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง “นอนกับแม่จะดีกว่า เผื่อว่าท่านพ่อของเจ้ามีงานที่ต้องทำก่อนนอน” “ลูกอยากนอนกับท่านพ่อ” “…” ได้ยินบุตรสาวว่า อี้เฟิงก็ยิ้มเยาะภรรยา แต่ไม่นานสีหน้าสุขใจก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาทันใด “ท่านแม่มานอนด้วยกันนะเจ้าค่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม