“อย่าคุยเรื่องพ่อกูดีกว่าว่ะ ป่านนี้คงกกเมียเด็กหลับไปแล้วล่ะ” ภีมะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นแล้วเทลงคอราวกับกระหายน้ำนักหนา พลันสายตาก็เห็นนิรกาญเปิดประตูบาร์ออกมาก่อนจะเดินออกไปข้างนอก กฤชมองตามพลางแสยะยิ้มเมื่อเห็นนายพรานจ้องมองนางสมันสาวไม่วางตา
“สเปคมึงไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า” กฤชถามขณะมองใบหน้ารกที่เต็มไปได้หนวดเคราเหมือนโจรของเพื่อนรัก ภีมะกระตุกยิ้มพลางลุกขึ้นยืน
“มีคนบอกว่ากินเด็กแล้วจะอายุยืน กูยังไม่อยากตายก็เลยต้องกินเด็ก” ภีมะเอ่ยประชดอย่างกวนๆ หากกฤชรู้อยู่เต็มอกจึงส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ไอ้เวร! ประชดพ่อตัวเองมันบาปนะโว้ย!”
“กูน่ะลูกกตัญญูนะโว้ย พ่อแต่งงานกับเด็กกูยังยอม…ไม่คุยแล้วว่ะเสียอารมณ์ กูกลับก่อนนะ ที่เหลือมึงจัดการเลยละกัน” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็เดินออกจากบาร์ทันที
นิรกาญออกจากบาร์พลอยสุขก็เดินไปตามถนนที่พลุกพล่านที่เต็มไปด้วยเหยี่ยวราตรี จนกระทั่งสุดทางถนนบันเทิง ผู้คนก็เริ่มจะบางตาลง แสงไฟก็เริ่มน้อยลง บรรยากาศริมทางก็สว่างเป็นจุดๆ หญิงสาวมองรอบๆ แล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น สายตามองบ้านไม้ชั้นเดียวที่อยู่ท้ายถนนก็ใจชื้นขึ้นมา
“ป่านนี้แม่คงหลับแล้ว” นิรกาญบ่นพึมพำกับตัวเองพลันมีกำลังใจขึ้นเมื่อนึกถึงใบหน้ามารดาที่รอเธออยู่ที่บ้าน รองเท้าผ้าใบเก่าๆ สีแดงรีบก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น ส่วนมือถือถุงอาหารที่กุ๊กประจำร้านแบ่งให้แกว่งไปมา
“ว้าย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงก่อนจะรีบถอยไปด้านหลังเมื่อมีชายสองคนเดินออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง
“จะรีบไปไหนน้องสาว ให้พี่สองคนไปส่งไหม?”
สายตาหื่นกระหายมองร่างกลมกลึงไม่วางตา ขณะที่เท้าก้าวเข้ามาหาหญิงสาวอย่างคุกคาม นิรกาญตกใจรีบถอยขณะที่ดวงตากลมมองผู้ชายรูปร่างบึกบึนอย่างระวังตัว เธอจำได้ว่าเห็นคนทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะที่เธอไปเสิร์ฟอาหารก่อนหน้านี้
“ต้องการอะไร ฉันไม่มีของมีค่าหรอกนะ” หญิงสาวจ้องมองคนทั้งสองอย่างหวาดระแวง ภายในใจเต้นตุบๆ ด้วยความหวาดกลัว
“ทำไมน้องสาวประเมินค่าตัวเองต่ำจัง ทั้งสวยทั้งน่ากินขนาดนี้พี่นี่แทบจะอดใจไม่ไหวแล้วรู้ไหม?” มันคนหนึ่งยกมือขึ้นลูบคางตัวเอง แววตากักขฬะของพวกมันมองเธอด้วยความหื่นกระหาย แม้พวกมันทั้งสองคนไม่ได้ฉุดกะชากนิรกาญเข้าป่าหญ้าข้างทาง แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนเธอแทบไม่ต้องสงสัย ร่างบางรีบนิ่งคิดตั้งสติเพื่อหาทางรอด
“ฉันก็สวยแต่รูปหรอกค่ะพี่ ข้างในพรุนไปทั้งตัวแล้ว นี่ก็เพิ่งไปตรวจเลือดมาเอง” นิรกาญใช้แผนการอย่างแยบยล จนเศษสวะทั้งสองมองหน้ากันอย่างชั่งใจ
“ไม่น่าเชื่อ” หนึ่งในพวกมันกวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า นิรกาญเห็นพวกมันลังเลก็รีบสวมบทบาทคุณโสผู้กร้านโลกทันที พลางเดินส่ายสะโพกไปข้างหน้าอย่างใจถึง คราวนี้พวกมันสองคนเป็นฝ่ายถอยบ้าง
“แหมพี่จ๋า ฉันทำงานกลางคืนหาเลี้ยงตัวเองกับแม่แก่ๆ ถ้าไม่เป็นอีตัวรับแขกคืนละห้าหกคน เงินก็ไม่พอใช้กันพอดี ผัวเฮงซวยมันก็ทิ้งฉันไปเพราะกลัวติดโรค” ร่างโปร่งระหงเดินนวยนาดเข้ามาใกล้อย่างย่ามใจ จนพวกมันสองคนก้าวไปด้านหลังแทบจะในทันที
“มึงมีหมวกกันน็อคไหมวะ” คนหนึ่งเอ่ยถามขณะสายตามองใบหน้างามด้วยความเสียดาย
“ไม่มีโว้ย! มึงก็รู้อยู่ว่ากูไม่ชอบใส่”
“เอาไงดีวะไอ้กล้า ผู้หญิงที่ไต้ภีมอยากฟันดันเสี่ยงโรค ขืนหิ้วไปให้แล้วไต้ติดโรคขึ้นมามึงกับกูตายแน่ๆ” ทั้งสองถามกันอย่างลังเล นิรกาญได้ใจพลันส่งสายตาอ้อนๆ ไปให้อย่างยั่วยวนเต็มที่
“ไต้ภีมะนะเหรอจ๊ะที่ให้พี่มาจับตัวฉัน อูย…ช่างเป็นบุญของฉันแท้ๆ พาฉันไปเถอะ ฉันมีปลอกให้ไต้ใส่ ไม่ต้องห่วงนะพี่ ฉันอยากได้เงินเพิ่ม คืนนี้ได้ทิปไม่เท่าไหร่เอง” นิรกาญได้ทีก็ใส่จริตจะกร้านเต็มที่ราวกับนักแสดงออสการ์
“ไปตรวจเลือดมาใหม่ให้ดีก่อนนะนังกะหรี่คนสวย ถ้าปลอดภัยพี่สองคนจะมาใช้บริการ” คนชื่อกล้ามองหญิงสาวอย่างนึกเสียดาย
“ไปโว้ยไอ้เส็ง เสียเวลาฉิบ! อุตส่าห์จะเอาใจนายซะหน่อยดันมาเจอกะหรี่ขี้โรคซะได้” ไอ้กล้าพูดอย่างอารมณ์เสียแล้วเดินหายเข้าไปในทางที่พวกมันมา นิรกาญเป่าลมหายใจแรงๆ อย่างโล่งอก
“เกือบไปแล้วนังนิ่ม” ร่างบางเดินแกมวิ่งเพื่อให้ถึงบ้านไวๆ เพราะถ้าหากพวกมันสองคนคิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเธอจะซวยเอาได้ ที่แท้ก็เป็นลูกสมุนของไต้ภีมะนี่เอง คิดว่าตัวเองมีอำนาจคับฟ้าแล้วจะจับใครก็ได้หรือยังไงกัน คนทุเรศเอ้ย! นิรกาญก่นด่าภีมะอยู่ในใจ
หลังจากนั้นสิบนาที หญิงสาวก็มาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ไฟในบ้านยังคงเปิดสว่างอยู่ แสดงว่าแม่ยังไม่นอนและคงจะรอเธออยู่อีกตามเคย
“นิ่มกลับมาแล้วคะแม่” นิรกาญรีบส่งเสียงไปก่อนตัว ประนอมนั่งเช็ดใบตองอยู่ในห้องนั่งเล่นพลันเงยหน้ามองบุตรสาวคนเล็ก ร่างบางรีบเดินไปนั่งข้างมารดาพลางกอดเอวเจ้าเนื้อหลวมๆ แล้วหอมแก้มทีนึง
“แก้มแม่นี่หอมจังเลย”