บทที่4. นอนไม่หลับ

1399 คำ
“ข้าแค่ออกไป...ออกไปเดินเล่น” เมอริอาร์แสร้งยิ้มกลบเกลื่อน “ข้านอนไม่หลับ” “ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเราเจ้าจะทำอะไรก็ระวังหน่อย”   น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอาทร โมเลสโอบไหล่เมอริอาร์แล้วพาเดินกลับกระโจมที่พักของหญิงสาว “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องมากมายให้ครุ่นคิด” “ข้าทราบหน้าที่ของตนเองดี” หญิงสาวหัวเราะขื่นๆ “ข้าจะไม่ทำสิ่งใดให้เผ่าของเราเดือดร้อน” “เมอริอาร์” โมเลสลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยอ่อน “เจ้าก็รู้ว่าข้าปรารถนาในตัวเจ้ามากเพียงใดและข้าก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของชีคฮาเรบ” “ท่านชีคที่ท่านกล่าวถึงคือบิดาของข้า...ข้าจักต้องทำตามประสงค์ของผู้มีพระคุณ” เธอตอบเสียงขุ่นแม้จะยอมรับว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อบุญธรรมตัดสินใจ แต่ก็อาจขัดใจผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมา    “อีกเพียงสามวันเราก็จะไปถึงเมืองหลวง”   “ข้าเหลืออิสรภาพเพียงสองวันเท่านั้นหรือ” “เมอริอาร์ ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้น” “ข้าต่างหากที่ควรพูดเช่นนั้น” หญิงสาวหันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ “ข้าเริ่มง่วงแล้วขอตัวไปพักผ่อน” “ดีแล้ว...พรุ่งนี้เราต้องเดินทางแต่เช้า” เมอริอาร์ก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปในกระโจมอย่างไม่สนใจความห่วงใยของอีกฝ่าย  ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ก่อนแหงนหน้ามองฟ้าที่ไร้แสงดาวเดือน หากเขามีอำนาจมากกว่านี้เขาคงไม่ยอมปล่อยหญิงที่ตนรักให้ผู้อื่น แต่คราวนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว ชายหนุ่มได้แต่สวดภวานาในใจขอให้ปวงเทพเจ้าปกป้องหญิงที่เขารัก เมอริอาร์เดินเข้าในในกระโจมแล้วจึงปลดเสื้อคลุมออก เสื้อตัวในที่สวมอยู่ยังมีรอยเลือดเปื้อนเปรอะราวกับรอยน้ำตา     หญิงสาวได้แต่ยกมือลูบรอยเลือดนั้นราวกับคนละเมอมันเป็นเลือดของชายหนุ่มผู้คร่าชีวิตพี่สาวคนเดียวของเธอ เธอคิดถึงแผนการนับร้อยนับพันเพื่อปลิดชีพของเขาแต่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะง่ายดายเช่นนี้ แววตาที่ชายหนุ่มมองเขาช่างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายแต่ไม่มีทีท่าที่จะตอบโต้เธอเลยแม้แต่น้อย    เขายอมจำนนต่อเธออย่างง่ายดายทั้งที่คนร่างใหญ่อย่างเขาบีบแขนเธอทีเดียวก็คงหักแล้ว หญิงสาวสะบัดหน้าไปมาเพื่อลบภาพดวงตาที่แสนอาดูรของเขา มือเรียวเล็กปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกเพื่อสวมชุดใหม่ หลายปีมานี้เธอได้รับความคุ้มครองดูแลจากชีคฮาเรบ เนื่องจากท่านมหาเสนาบดีที่รับเซราเนียไปเป็นลูกบุญธรรมนั้นฝากชีคฮาเรบคอยดูแลเลี้ยงดูเธอและชีคฮาเรบก็เลี้ยงเธอประดุจลูกในไส้คนหนึ่งเลยทีเดียว แต่เมื่อพี่สาวของเธอเสียชีวิตลงและอำนาจของท่านมหาเสนาบดีหมดลง        ความหวาดระแวงว่าชีคฮาเรบจะคิดแก้แค้นฟาโรห์เนเฟอร์คาเรก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาชนเผ่าวิหคไฟมิได้อยู่อย่างสุขสบายนัก จนเมื่อชีคฮาเรบต้องแสดงความสวามิภักดิ์ต่อฟาโรห์โดยการมอบเธอให้เป็นนางสนม เธอเคยได้ยินว่าฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงรักพระมเหสีมากจนไม่มีนางสนม  แต่กระนั้นการส่งเธอเข้าวังก็ไม่ถูกปฏิเสธ แม้จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้แต่ก็ไม่อาจขัดใจและต้องตอบแทนผู้มีพระคุณ สองวันที่แล้วเธอเริ่มเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อเข้าเมืองหลวง แต่ก็ได้ยินใครต่อใครพูดกันว่าเส้นทางที่เธอต้องผ่านนั้นจะผ่านค่ายทหารที่แม่ทัพอูเซอร์คาเรปกครองอยู่  การได้ยินชื่อ ‘อูเซอร์คาเร’ ทำให้จิตใจของเธอเต้นแรงนักเพราะนี่คือโอกาสเดียวจะได้ชำระแค้นให้พี่สาว   เมื่อใดก็ตามที่เธอได้พบพี่สาว-เซราเนียจะเล่าแต่เรื่องของ ‘เจ้าชายอูเซอร์คาเร’ ที่หลงรักและเทิดทูนยิ่งกว่าชีวิต เธอเคยปลาบปลื้มใจที่พี่สาวมีคนรักแต่เมื่อรู้ว่าพี่สาวคนเดียวของเธอตายเพราะน้ำมือของเจ้าชายอูเซอร์คาเรก็ทำให้เธอแปรเปลี่ยนความรู้สึกที่มีทั้งหมดต่อเขาเป็นความเกลียดชัง        คืนนี้เธอรู้มาว่าที่พักค้างแรมอยู่ใกล้ค่ายทหารของแม่ทัพอูเซอร์คาเร หญิงสาวพยายามหาวิธีที่จะเข้าหาจากการบอกเล่าของชาวบ้านซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นนัก เธอคิดแม้กระทั้งว่า เขาเพียงได้ปักกริชที่กลางอกของเขาได้แม้จะแลกกับชีวิตของเธอ เธอก็ยินดี ทว่า...หญิงสาวไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น เมอริอาร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ขึ้นที่นอน มือเรียวดึงผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นคลุมร่างทั้งที่ไม่อาจจะข่มใจให้สงบได้ ความรู้สึกที่ถูกสัมผัสร่างกายนั้นแสนแปลกประหลาดจนไม่อาจหาคำมาบรรยายความร้อนในร่างกายได้      ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบแปดปีเธอไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับชายใดมาก่อน แม้จะเป็นโมเลส-ชายหนุ่มที่บอกรักเธอวันละเป็นสิบๆ ครั้งก็ตาม         นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่นะ...มันเกิดอะไรขึ้น. .............         เสียงหัวเราะสดใสของเด็กชายตัวน้อยกำลังเล่นสนุกอยู่กับเหล่าทหาร ตั้งแต่แผ่นดินอียิปต์มีพระโอรสองค์น้อยก็มีแต่ความสงบสุข แม้จะมีข่าวคราวการศึกตามชายแดนแต่ฝ่ายที่คว้าชัยชนะก็คืออียิปต์ทำให้นานาประเทศยำเกรง แม้เด็กน้อยจะมีวัยเพียงห้าขวบ แต่เปล่งรัศมีความองอาจสง่างามยิ่งนัก อูเซอร์คาเรทอดสายตามองด้วยความชื่นชม หลายปีที่ผ่านมาเขาเฝ้ามองการเติบโตของเด็กน้อยอย่างเงียบๆ ใบหน้าที่คมเข้มถอดแบบพระบิดามาแทบมิผิดเพี้ยนในขณะที่ในดวงตามีแววอ่อนโยนเช่นเดียวกับพระมารดา “เสด็จอา!”         “เจ้าชายอโมนี”   อูเซอร์คาเรยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากแล้วย่อกายลงรับเจ้าชายอโมนี-พระโอรสพระองค์โตของฟาโรห์เนเฟอร์คาเร           “ข้าคิดถึงเสด็จอา” อโมนีกอดคอผู้เป็นอาอย่างรักใคร่ “เสด็จพ่อบอกว่าเสด็จอาจะมา ข้าตั้งตารอให้ท่านสอนข้าใช้ดาบ ทำไมเสด็จอาเสด็จมาช้าจัง” อูเซอร์คาเรหัวเราะในลำคอแล้วอุ้มโอรสของฟาโรห์เนเฟอร์คาเรขึ้นนั่งบนท่อนแขน “แล้วพระอนุชาของเจ้าชายล่ะพ่ะย่ะค่ะ” “อมุน-มินอยู่กับเสด็จแม่” อโมนีเอ่ยตอบอย่างฉะฉาน “แต่ตอนนี้เสด็จแม่มีแขก” “อโมนี...อาเจ้าเพิ่งมาถึงก็ให้ไปพักผ่อนก่อนเถิด” องค์ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรตรัสขึ้นพร้อมแย้มสรวลแล้วยื่นพระหัตถ์ออกไปรับโอรสมาส่งให้โมตูดูแลต่อ “เจ้ามาช้าไปสองวันจนข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว” “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” อูเซอร์คาเรก้มศีรษะลง  “ช่างเถิด...เจ้ามาก็ดีแล้ว” ฟาโรห์ยื่นพระหัตถ์แตะไหล่แม่ทัพหนุ่มผู้กร่ำศึกจนผิวเป็นสีทองแดง “ท่าทางเจ้ายังอ่อนเพลียไปพักผ่อนเสียก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกัน” “มิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเลอะฝุ่นนี่ออกก็สามารถทำงานได้แล้ว” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรปรายพระเนตรมองอย่างรู้ทัน แม้จะมีเสื้อคลุมอยู่พระองค์ก็ทรงเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ทรงโคลงพระเศียรแล้วก้าวพระบาทนำมาที่ห้องพักของแม่ทัพหนุ่มผู้ซึ่งไม่ยอมรับตำแหน่งอนุชาคืนดังเดิม           “เจ้าคงรู้เรื่องปัญหาของชนเผ่าเร่ร่อนทั้งหลายบ้างแล้ว” “กระหม่อมทราบเรื่องนั้นดี” อูเซอร์คาเรยกมือขึ้นกดบริเวณช่องท้อง ทุกครั้งที่ก้าวเดินจะรู้สึกเจ็บแปลบๆ จนเผลอนิ่วหน้าตลอดการเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความทรมานจนทำให้ใช้เวลาถึงห้าวันเต็ม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม