คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดท้องฟ้าไร้แสงใดแม้แต่แสงดาวก็ถูกหมู่เมฆมาบดบัง แต่กระนั้นสายตาคู่หนึ่งก็เพ่งมองไปที่กระท่อมหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและห่างไกลผู้คน ทว่าไม่ไกลนักมีทหารยามยืนเฝ้าอยู่สองคน แม้ทหารยามจะเป็นอุปสรรคแต่ก็หมายความว่านี่คือเป้าหมายที่ถูกต้องที่หญิงสาวต้องการมา
‘เมอริอาร์’ ค่อยๆ กระชับผ้าคลุมศีรษะและปิดครึ่งหน้าให้มิดชิด เหลือเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นที่ยังเปิดเผยอย่างเด่นชัดแม้จะเป็นคืนที่ไร้แสงจันทร์เช่นนี้ หญิงสาวร่างบอบบางเหยียดกายลุกขึ้นยืนจากหลังพุ่มไม้ในแขนข้างหนึ่งคล้องตะกร้าอาหารว่างพร้อมขวดเหล้า เธอสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนก้าวออกไปด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
หยุดอยู่ตรงนั้น” ทหารยามเอ่ยเสียงดังพร้อมยื่นปลายหอกใส่หญิงสาว “เจ้าเป็นใคร”
“ว้าย” หญิงสาวแสร้งหวีดร้องอย่างตกใจ
“ข้าเป็นเพียงทาสหญิงคนหนึ่งเท่านั้น ข้านำอาหารว่างและเหล้ามาถวายท่านแม่ทัพ”
“เจ้าเป็นหญิงจากในหมู่บ้านรึ” อีกคนเอ่ยถามแล้วหันไปปรึกษาเพื่อนทหารด้วยกัน “ต้องไปรายงานท่านฟาราจิก่อน หญิงพวกนี้ชอบมาให้ท่าท่านแม่ทัพของเรา”
‘ให้ท่า!’
เมอริอาร์กัดฟันแน่นเมื่อได้ยินประโยคนั้น เธอไม่เคยได้ยินใครสบประมาทเธอมากขนาดนี้ แต่ก็พยายามข่มโทสะในใจและจำเป็นต้องจำใจยืนทนฟังคำประณามนั้นอย่างทำสิ่งใดมิได้ “ท่านฟาราจิอนุญาตให้ข้ามาพบท่านแม่ทัพได้เจ้าคะ” “อย่างนั้นรึ” ทหารยามมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง “งั้นก็เชิญเถิด”
“ขอบคุณเจ้าคะ”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณทหารยามทั้งสองแล้วเดินตรงไปที่กระท่อมหลังนั้น มือที่กำหูตะกร้ากำแน่นจนรู้สึกเจ็บฝ่ามือ ลมหายใจติดขัดอย่างอึดอัด กระนั้นเธอก็พยายามปลุกจิตใจให้กล้าแกร่งไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงได้แก้แค้นสำเร็จแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่เสียดาย เธอสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนผ่อนออกมาช้าๆ ทว่ามั่นคงแล้วผลักบานประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย
เมอริอาร์ยืนปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เป็นกระท่อมที่เล็กกะทัดรัดและแทบไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากมายจนน่าแปลกใจ นี่นะหรือที่พำนักของอูเซอร์คาเร พระอนุชาของฟาโรห์เนเฟอร์คาเรและยังเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งอียิปต์ และที่สำคัญกว่าเขาคือชายที่สังหารพี่สาวคนเดียวของเธอ ทำให้เธอต้องการเป็นเด็กกำพร้าระหกระเหินเร่ร่อนอยู่นานกว่าจะได้มาเป็นบุตรบุญธรรมของ ‘ชีค ฮาเรบ’ หัวหน้าเผ่า ‘วิหคไฟ’
มือเรียววางตะกร้าลงบนโต๊ะกลางห้องและหยิบกริชที่ซ่อนอยู่ออกมาถือไว้ เธอเดินตามเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่ดังลอดผ่านม่านประตูซึ่งทำจากพรมผืนงาม แต่เธอไม่มีเวลาพิจารณาความงามของมันแล้ว แม้ในห้องจะมืดสนิทแต่เมื่อสายตาคุ้นชินกับความมืดแล้วก็ทำให้ไม่ยากที่จะก้าวเดิน ร่างบอบบางก้าวไปอย่างช้าๆ เต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่รอการชำระ
เพียงแค่ปักกริชลงที่กลางหัวใจชายโฉดผู้นี้เท่านั้น ความแค้นทั้งหมดทั้งมวลที่สะสมมานานกว่าห้าปี ก็จะละลายสลายไปสิ้น
ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หญิงสาวหายใจติดขัด แม้จะเคยเห็นเรือนกายบุรุษมามากนักทว่าชายผู้นอนหงายอยู่บนเตียงนี้ช่างเต็มไปด้วยความสง่างามยิ่งนัก เมอริอาร์นึกแปลกใจที่ดวงตาของเธอเห็นภาพของเขาชัดนัก จนเผลอสืบเท้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว นี่นะหรือ อูเซอร์คาเร ชายผู้มีขนตายาวงามงอนเจ้าของเรือนผมสีดำดุจปีกกาและร่างกายกำยำนี่หรือคือบุรุษสูงศักดิ์ที่ ‘เซราเนีย’ พี่สาวของเธอหลงรักและเทิดทูนและก็ตายด้วยน้ำมือชายผู้นี้
มือเรียวเล็กกำกริชแน่นและชูขึ้นเหนือศีรษะ
จู่ๆ ดวงตาที่ปิดสนิทก็เบิกโพลงพร้อมกับร่างที่ทะลึ่งขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว มือแข็งแกร่งฉวยข้อมือที่จับกริชไว้ได้ทันก่อนที่ปักลงกลางอก ชายหนุ่มออกแรงเพียงนิดร่างเล็กก็เสียหลักล้มลงบนเตียงนอน เข่าข้างหนึ่งกดทับร่างเล็กไม่ให้ดิ้นหลุดเป็นอิสระ เพียงแค่เขาบิดข้อมือเล็กๆ นั้นเล็กน้อยกริชก็หลุดร่วงลงอย่างง่ายดาย
“ผู้ใดส่งเจ้ามา”
อูเซอร์คาเรถามน้ำเสียงเหี้ยมแล้วเพ่งพิศมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว เขารู้สึกตัวนานแล้วว่ามีคนก้าวเข้ามา ยังเผลอคิดอยู่ว่าคงเป็นหญิงสาวในหมู่บ้านที่อยากทอดกายให้เขาอีกเมื่อเห็นกริชที่ง้างอยู่เหนือศีรษะก็รู้ทันทีเลยว่าเขาคิดผิด ที่ผิดคาดกว่าคือเขาคิดว่าคงเป็นนักฆ่าฝีมือดี แต่นี่...กลับเป็นหญิงสาวร่างบอบบางและเรือนกายอ่อนนุ่มจนไม่น่าจะมีแรงแม้แต่จะฆ่ามดสักตัว
ถ้าหญิงผู้เป็นนักฆ่าจริงก็น่าเศร้าใจที่ศัตรูประเมินความสามารถของเขาต่ำนัก
“ข้ามาด้วยตัวข้าเอง หาเกี่ยวกับผู้ใดไม่” เมอริอาร์ได้สติก็รีบตอบกลับอย่างไม่หวาดกลัว เธอรู้ดีว่าถ้าการลงมือครั้งนี้ผิดพลาดก็จะไม่ยอมให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะเธอ เธอยินดีจะรับความตายด้วยตนเอง
บางที ความตายอาจเป็นสิ่งที่เธอปรารถนาก็ได้เธอจะได้ไปอยู่กับเซราเนีย-พี่สาวของเธอ
“เจ้าพูดออกมาดีกว่า ข้าไม่อยากให้ลำคอสวยๆ ของเจ้ามีแผล” เขาขู่ปนยิ้มขำๆ แม้จะอีกฝ่ายจะเชิดหน้าตอบราวกับไม่เกรงกลัวความตาย แต่เรือนกายที่อยู่ใต้กายเขากลับสั่นระริกราวกับหนาวเหน็บ ทำให้เขานึกสนุกโน้มกายลงบดเบียดเรือนร่างของหญิงสาว
“เจ้า...เจ้าจะทำอะไร”
เมอริอาร์ถามเสียงสั่นเมื่ออกอิ่มถูกแผงอกกว้างบดขยี้จนร่างกายเธอร้อนผ่าวขึ้นทุกขณะ ข้อมือทั้งสองถูกตรึงแน่นด้วยข้อมือใหญ่ประดุจคีมเหล็กทำให้เธอไม่สามารถเป็นตอบโต้อะไรได้และยิ่งขยับกายหนีก็ยิ่งสัมผัสถูกร่างกายของเขามากขึ้น
“ก็ทำให้เจ้าพูดว่าเจ้าเป็นใคร” ใบหน้าคมเข้มก้มลงกระซิบที่ใบหูพร้อมเป่าลมหายใจร้อนๆ เข้าใส่เพียงแผ่วเบาแต่ก็ทำให้หญิงสาวหน้าแดงจัดขึ้นมา
กลิ่นหอมหวานดุจดอกไม้ป่าที่ลอยคลอเคลียร่างเล็กๆ ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเป็นฝ่ายรำคาญใจ หลายปีที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีเลย แม้ว่ากระท่อมของเขาจะมีหญิงสาวที่พร้อมจะถวายตัวให้แทบทุกค่ำคืนจนต้องให้ทหารมาคอยเฝ้า เพราะความผิดในอดีตก็ทำให้เขาไม่ต้องการสัมผัสสตรีใดอีก แต่สำหรับหญิงสาวคนนี้กลับมีกลิ่นกายที่แสนหอมหวาน ดวงตาที่เธอจ้องมองเขารวมทั้งเค้าโครงหน้าก็แสนจะคุ้นเคย
“บอกข้ามาเถิดว่าสิ่งใดนำพาเจ้ามาถึงที่นี่”
“ข้ามาเพื่อชำระแค้น!!! แค้นที่มีแต่เลือดของเจ้าเท่านั้นที่จะล้างมันได้” น้ำใสๆ เอ่อคลอดวงตาคู่สวย “ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ข้าจะต้องแก้แค้นให้พี่เซราเนียให้ได้”
“เซราเนีย...” อูเซอร์คาเรผละร่างบางออกมาอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาเพ่งมองหญิงสาวที่ขยับกายลุกขึ้นนั่งแล้วคว้ากริชที่หล่นอยู่กำแน่น
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เคยได้ยินว่าเซราเนียมีน้องสาว”
“ข้าคือเมอริอาร์-น้องสาวของพี่เซราเนีย” หญิงสาวประกาศอย่างไม่หวั่นเกรง “ท่านคงไม่เคยรู้ว่าแท้จริงแล้วข้าและพี่เซราเนียเป็นบุตรของหญิงรับใช้ แต่เนื่องจากภรรยาท่านมหาเสนาบดีแท้งบุตรในคืนที่พี่สาวข้าถือกำเนิด ท่านมหาเสนาบดีจึงได้ขอรับพี่สาวข้าไปเป็นบุตรเพื่อมิให้ภรรยาต้องเสียใจ และได้ให้การอุปการะครอบครัวของเราอย่างเงียบๆ จนกระทั้งมารดาของข้าตาย ข้าจึงเหลือเพียงพี่สาวคนเดียว แต่เจ้า...เจ้าก็มาพรากพี่สาวของข้าไป”